ปฐมบทแห่งโศกนาฏกรรมจากวิญญาณแห่งดนตรี
คำถามซึ่งผมไตร่ตรองขณะอ่าน ปฐมบทแห่งโศกนาฏกรรมจากวิญญาณแห่งดนตรี (The Birth of Tragedy)[1] คือ เพราะเหตุใดวรรณคดีไทยถึงได้มีเรื่องราวโศกนาฏกรรมน้อยเหลือเกิน เรามีตำนานพระยากงพระยาพาน[2] มีนิทานพื้นบ้านก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ แต่เรื่องราวเหล่านี้ก็ไม่ได้ถูกบรรจุขึ้นทำเนียบ ไม่มีกวีแต่งเป็นร่าย กาพย์ กลอน หรือละครรำ เป็นแต่เพียงนิทานพื้นบ้านเล่าขานแบบกันมุขปาฐะ มีปัจจัยทางจิตวิทยาหรือวัฒนธรรมอันใดที่ผลักไสคนไทยให้ห่างไกลจาก “มนุษย์โศกนาฏกรรม” ตามนิยามของนิทเชอ
ปฐมบทแห่งโศกนาฏกรรมจากวิญญาณแห่งดนตรี เป็นหนังสือเล่มแรกของนิทเชอ โศกนาฏกรรม หรือ Tragedy โดยรากศัพท์มาจากคำว่า tragos “แพะ” และ aeidein “การร้องเพลง” รวมกันเป็น “เสียงร้องประสานของแพะ” หรือของ “จิตวิญญาณตามธรรมชาติซึ่งอยู่เบื้องหลังอารยธรรมต่างๆ [จิตวิญญาณนี้] จะคงสภาพเดิมไม่ว่าประวัติศาสตร์จะผันแปรไปเพียงใด” แพะคือสัตว์สัญลักษณ์ของเทพไดโอนิซุส เทพเจ้าแห่งความเมามาย อันเป็นขั้วตรงข้ามของอพอลโล เทพเจ้าแห่งปัญญา ผู้เป็นเทพประจำตัวชาวกรีก ศิลปะแห่งโศกนาฏกรรมอันเป็นสุดยอดของศิลปะทั้งปวง เกิดขึ้น ณ จุดตัดในประวัติศาสตร์ของเทพเจ้าสององค์นี้
ในสมัยกรีกโบราณ อโครโปลิส[3] เป็นนาวาแห่งอารยธรรมที่ล่องอยู่ท่ามกลางทะเลคนเถื่อน ชาวกรีกมองโลกภายนอกกำแพงเมืองว่าเป็น “หม้อต้มเดือดของแม่มด” และคนเถื่อนที่อาศัยอยู่ในนั้นจัด “งานเฉลิมฉลอง มหกรรมการร่วมเพศอย่างพิสดาร” เพื่อปกป้องตัวเองจากภาวะเสื่อมถอยภายนอก ชาวกรีกจึงสร้างวัฒนธรรมแบบอพอลโล เทพผู้ “ห่อหุ้มตัวเองอยู่ในผ้าคลุมแห่งมายา
[4]” ท่ามกลางโลกภายนอกอันแปรปรวน ผู้นับถือเทพอพอลโลต้องสามารถ “นั่งอยู่อย่างสงบบนแผ่นไม้ที่กำลังโต้คลื่นลมอันบ้าคลั่ง”
ปรัชญาแห่งอพอลโลยังปรับลงมาใช้ในระดับความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในสังคม การรักษาความเป็นตัวของตัวเองในสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเป็นจุดกำเนิดของแนวคิดแบบปัจเจกชน ศิลปะกรีกคลาสสิกหรือศิลปะแบบอพอลโลจึงเป็นรูปปั้น รูปสลักที่ขับเน้นความสวยงามของตัวบุคคล
ศิลปะที่ตรงข้ามกับรูปปั้น รูปสลักคือคีตกาล ดนตรีเป็นงานศิลปะประเภทเดียวที่ไม่ได้ลอกเลียนแบบมาจากธรรมชาติ[5] หรืออย่างน้อยไม่ได้ลอกเลียนแบบมาจากรูปธรรมที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ถ้าดนตรีจะลอกแบบอะไรสักอย่างหนึ่ง สิ่งนั้นน่าจะเป็น “แรงปรารถนา” (will)[6] ดนตรีสื่อถึงนามธรรมที่ขับเคลื่อนอยู่ภายในตัวมนุษย์ นิทเชอเรียกสิ่งนี้ว่า “ธรรมชาติ” ดนตรีคือยาพิษที่ช่วยขจัดอาการปัจเจกแบบอพอลโล คืนชาวกรีกสู่ธรรมชาติ สู่ “หม้อต้มเดือดของแม่มด” ณ โลกแห่งนั้น มนุษย์ทุกคนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติ วินาทีที่มนุษย์สัมผัสจิตวิญญาณ จะบังเกิดอาการสุขล้ำ เนื่องจาก “ความเจ็บปวดนำมาซึ่งความหรรษา และความสุขสุดยอดบีบเค้นเสียงร้องอันเจ็บปวดทรมาน”
ที่เหลืออยู่ก็แค่ปรับแปลงดนตรีมาเป็นละครโศกนาฏกรรม ซึ่งก็คือการปรากฏตัวบนเวทีของนักแสดง นิทเชอมองขั้นตอนนี้เป็นเพียงก้าวสั้นๆ เพราะนักแสดงคือเพียงร่างทรงของดนตรี ไม่มีความหมายมากไปกว่าเครื่องเคียงประกอบเสียงเพลง [7] การแสดงคือศิลปะแบบอพอลโล ที่เน้นความเป็นปัจเจก ย้ำเตือนให้ชาวกรีกไม่ให้หลงลืมบทบาทของตัวเองในฐานะผู้ล่องอยู่ในนาวาแห่งอารยธรรม ด้วยเหตุนี้ ละครโศกนาฏกรรมจึงเป็นการประจบกันระหว่างอพอลโล (การแสดง) และไดโอนิซุส (ดนตรี) และจัดได้ว่าเป็นศิลปะขั้นสูงสุด
[8]
ย้อนกลับมาคำถามที่เกริ่นไว้ในตอนต้น เพราะเหตุใด วรรณคดีไทยถึงได้มีเรื่องราวโศกนาฏกรรมน้อยเหลือเกิน ผมเชื่อว่า นั่นเป็นเพราะจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมไทยตรงข้ามกับวัฒนธรรมกรีกโดยสิ้นเชิง เราคือบุตรแห่งไดโอนิซุสมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก เป็นสังคมของ “คนเถื่อน” ที่ยึดมั่นในหมู่คณะ ครอบครัว และชนเผ่ามากกว่าปัจเจก สุดยอดศิลปะไทยจึงเกิดขึ้นเมื่ออิทธิพลแบบอพอลโลของพุทธศาสนา[9]เผยแพร่เข้ามายังดินแดนสุวรรณภูมิ และกลายเป็นประติมากรรมพระพุทธรูป
แน่นอนว่าคำอธิบายนี้ไม่สมบูรณ์ ยังมีปริศนาอีกมากมาย เหตุใดดนตรีไทยจึงไม่ก่อกำเนิดละครโศกนาฏกรรมแบบดนตรีกรีก โขนซึ่งถือเป็นสุดยอดแห่งนาฏศิลป์นั้นเกี่ยวพันอย่างไรกับจิตวิญญาณของอพอลโลและไดโอนิซุส การที่เราปั้นรูปพระศาสดาหรือบุคคลที่ตายไปแล้วแทนที่จะปั้นรูปปัจเจก ถือว่าประติมากรรมไทยเป็นศิลปะแบบอพอลโลได้หรือเปล่า หรือแม้แต่คำถามดั้งเดิม เหตุใดวรรณคดีไทยถึงได้มีโศกนาฏกรรมน้อยเหลือเกิน ก็ยังคงต้องค้นคว้าหาคำตอบกันอีกยาว
และนี่คือคำถามที่นิทเชอฝากทิ้งไว้ให้คนอ่าน พวกเราทุกคน
[1] ผมอ่านฉบับแปลภาษาอังกฤษโดยวอเตอร์ คอฟแมนน์ แต่คุณธวัชชัย ดุลยสุจริตแปลหนังสือเล่มนี้ลงเป็นตอนๆ ในนิตยสาร วิภาษา เพิ่งจบไปเมื่อไม่นานนี้เอง คาดว่าจะมีรวมเล่มออกมาในไม่ช้า
[2] ซึ่งใช้โครงเรื่องเดียวกันกับโศกนาฏกรรมคลาสสิคของโอเดปุซ
[3] เมืองของชาวกรีกโบราณ ชาวกรีกจะผูกพันกับเมืองใหญ่ที่ตัวเองใช้ชีวิต มากกว่าจะรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ “ประเทศกรีก” ซึ่งยังไม่ปรากฏในสมัยนั้น
[4] ในต้นฉบับเยอรมัน นิทเชอใช้คำสันสกฤตตรงตัวเลยว่า “Maya”
[5] เพลโตถือว่าศิลปะเป็นของต่ำ เนื่องจากมันทำได้แค่การลอกเลียนแบบ แนวคิดของเพลโตเป็นต้นกำเนิดการไล่ลำดับชั้นทางศิลปะของนักปรัชญาหลายคน ยกตัวอย่างเช่น เฮเกลจัดดนตรีเป็นหนึ่งในศิลปะชั้นสูงด้วยเหตุผลคล้ายๆ กันว่ามันเป็นศิลปะที่ไม่ต้องอาศัยวัตถุดิบ หรือรูปร่างรูปทรง ไม่น่าแปลกใจถ้านิทเชอจะได้รับอิทธิพลจากแนวคิดนี้
[6] แนวคิดตรงนี้สะท้อนไปยัง “Will to Power” (ความปรารถนาแห่งอำนาจ) อันเป็นคติอันโด่งดังของนิทเชอในผลงานชิ้นหลังๆ
[7] บทวิเคราะห์ของนิทเชอที่มองละครโศกนาฏกรรมโดยไม่สนใจเนื้อหาสาระของเรื่องเลย น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากเพลโต และตรงข้ามกับการมองโศกนาฏกรรมแบบอริสโตเติลโดยสิ้นเชิง อริสโตเติลคือนักปรัชญาผู้ยกย่องวิชาศิลปะ และพยายามทำความเข้าใจผ่านเนื้อหาสาระ ซึ่งน่าจะเป็นแนวทางที่คนธรรมดาคุ้นเคยกันมากกว่า
[8] ที่ตีความมาทั้งหมดนี้ อาศัยหลักฐานอื่นๆ นอกเหนือจากตัวบทของหนังสือเยอะมาก ตั้งแต่วิกิพีเดีย คำขึ้นต้นของวอลเตอร์ คอฟแมนน์ รวมถึงคำวิจารณ์ของนิทเชอในวัยชราที่มีต่อหนังสือเล่มแรกในชีวิตของตัวเอง นิทเชอมอง ปฐมบทแห่งโศกนาฏกรรมจากวิญญาณแห่งดนตรี ว่าเป็นผลงานที่ล้มเหลว อาย แรนด์ ผู้เขียน The Fountainhead รวมถึงนักปรัชญาหลายคนมองว่าใจความของมันขัดแย้งกับสิ่งที่นิทเชอเขียนถึงในภายหลัง ส่วนคอฟแมนน์แก้ต่างโดยบอกว่านักวิจารณ์เหล่านั้นมองไม่เห็นความย้อนแย้งซ่อนเงื่อนในสาส์นของนิทเชอ
[9] นิทเชอพยายามโยงอพอลโลและพุทธเข้าหากันแบบกลายๆ แต่คอฟเมนน์ผู้แปลมองว่าเป็นความไม่เข้าใจวัฒนธรรมตะวันออกของตัวนิทเชอเองมากกว่า
โดย ภาณุ ตรัยเวช http://www.onopen.com/loveyouallmass/10-08-02/5502