Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

บุนทะนอง ชมไชผน’นักเขียนซีไรต์ลาวล่าสุด

             
 
              หลังจากตั้งท่ามานานหลายเพลา สมาคมนักประพันธ์ลาวก็ได้ฤกษ์ประกาศผลซีไรต์ปี 2011 ต่อสาธารณชน สื่อมวลชนเสียที ณ ห้องประชุมชั้นสองของกระทรวงแถลงข่าว วัฒนธรรมและท่องเที่ยว เอาเมื่อบ่ายวันศุกร์ที่  23  กันยายน 2011/2554 เวลา 14.00 น. คล้อยหลังการประกาศผลซีไรต์ประเทศไทยไป 3 วัน  ซึ่งไม่เคยล่าช้าหลังไทยเช่นนี้มาก่อนตลอด 13  ปีที่ผ่านมา !
 
              ข่าวเบื้องลึกเปิดเผยว่า คณะกรรมการตัดสินทั้ง  5 ท่านอันประกอบด้วย ท่านวิเสด สะแหวงสึกสา นักเขียนซีไรต์ 2002 จากรัฐสภาเป็นประธานฯ และกรรมการ ท่านโอทอง คำอินซู นักเขียนซีไรต์ 2008 อำนวยการวารสารวันนะสิน ท่านทองใบ โพทิสาน นักเขียนซีไรต์ 2004 ปลัดกระทรวงแถลงข่าว วัฒนธรรมและท่องเที่ยว ท่านกงเดือน  เนดตะวง ประธานสมาคมห้องสมุดแห่งชาติ และท่านกะวิน เจียงคำชนนี นักกวีรางวัลแม่น้ำโขง จากกรมพิมพ์จำหน่าย  
     
              บรรยากาศในวันแถลงข่าวประกาศผลเป็นวันที่วงการญาติน้ำหมึกของลาวได้คึกคัก ตื่นเต้น อีกครั้งหนึ่ง  หลังจากที่ได้ตื่นเต้น คึกคักมาแล้วที่รัฐบาลประกาศยกย่องศิลปินแห่งชาติ และศิลปินดีเด่นช่วงต้นปี และมามอบรางวัลตอนกลางปีนี้ 
     
              งานแถลงข่าวฯ นำโดยท่านผิวลาวัน  หลวงวันนา รองประธานสมาคมนักประพันธ์ลาวคนที่หนึ่ง (ประธานฯ จันที  เดือนสะหวัน ป่วย)  ท่านสมสุก  สุกสะหวัด รองประธานสมาคมนักประพันธ์ลาวคนที่สอง  ท่านสุบัน  หลวงลาด หัวหน้ากองเลขานุการสมาคมฯ นักเขียน  คณะกรรมการตัดสิน  และนักข่าวสื่อมวลชนมากหน้ามากันอย่างพร้อมเพรียง   และที่ขาดไม่ได้ก็คือ บุนทะนอง  ชมไชผน  นักเขียนอิสระผู้โดดเด่นค้างฟ้าเมืองลาว ศิลปินดีเด่น นักเขียนรางวัลช่อการะเกดเกียรติยศ ซึ่งเป็นผู้คร่ำหวอดในวงการน้ำหมึกลาวมากว่า  40 ปี  ได้รับประกาศเกียรติเป็นนักเขียนซีไรต์ลาวคนล่าสุดอย่างภาคภูมิจากเรื่องสั้น “กระดูกอเมริกัน”
     
              บุนทะนอง เกิดเมื่อปี 1953 ที่บ้านหาดทรายคูน เมืองโขง แขวงจำปาสัก พ่อเคยรับราชการเป็นสรรพากรในสมัยลาวเก่า  แม่เป็นชาวบ้าน ต่อมาครอบครัวย้ายมาอยู่บ้านเกิดพ่อที่เวียงจันทน์ เขาจบชั้นมัธยมต้นได้รับประกาศนียบัตรทั้งลาวและฝรั่งเศส  ได้รับทุนศึกษาต่อที่สถาบันกฎหมายและการปกครอง  และเริ่มเขียนบทความ บทกวี และเรื่องสั้นลงตีพิมพ์ในวารสารต่างๆ มีผลงานรวมบทความและเรื่องสั้นเล่มแรกชุด “ด้านสว่างของความมืด” นามปากกาบุเรงนองออกจำหน่าย  ไม่เกินสามเดือน ก็ถูกตำรวจนอกเครื่องแบบข่มขู่ให้เลิกเขียน  เมื่อประเทศเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็น “สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว” ปลายปี 1975  เขาตัดสินใจจับปากกาแทนการเป็นนักกฎหมาย เข้าเป็นพนักงานกรมพิมพ์จำหน่าย กระทรวงแถลงข่าวร่วมกับนักเขียนแนวหน้าของลาวอีกหลาย 
     
              เริ่มเขียนนวนิยายเรื่อง “ล้างเลือดด้วยเลือด”  แปลวรรณกรรมรัสเซียเรื่อง “เหล็กที่ชุบแล้วคืออย่างนี้แหละ”  และใช้นามปากกา “สหายไฟ” เขียนเรื่องสั้นและบทกวีไว้จำนวนมาก  เคยเป็นบรรณาธิการวารสาร “วันนะสิน” และออกไปทุ่มเทเคลื่อนไหวก่อตั้งสโมสรนักเขียนหนุ่มต่างแขวงตั้งแต่ภาคใต้จนถึงภาคเหนือ มีผลงานร่วมกับเพื่อนนักเขียนลาวและของตนเองออกมามากมายเช่น ยิ้มที่ไม่ยอมเป็นอดีต ปืนและดอกไม้ ลงสู่ถนนล้านช้าง  ออกทาง  ข้างถนน หัวใจไหลของ นอกจากนั้นยังมีผลงานเพลงและตั้งวงดนตรีอออกผลงานชุด หนุ่มลาว คารม และล่าสุดมีผลงานรวมบทกวีและบทเพลงคัดสรรชุด “กล่อมโลกด้วยคำกวี” พร้อมซีดีเพลงชุด ตำนานปฏิวัติร็อค ปี 2008 สำนักช่างวรรณกรรมประกาศเกียรติเป็นนักเขียนลาวช่อการะเกดเกียรติยศ ต้นปี 2011 รัฐบาล สปป.ลาว ประกาศเกียรติเป็น “ศิลปินดีเด่น” ปัจจุบันเขาไม่ได้เป็นพนักงานของรัฐ เขาประกาศตนเป็น “เขียนอิสระ” อย่างภาคภูมิ ซึ่งคำว่า “อิสระ”นี่เองที่บุนทะทองถูกกีดกัน ถูกเซ็นเซอร์ผลงานตลอดสิบปีที่ผ่านมาอันทำให้เขาไม่ส่งผลงานเข้าชิงรางวัลต่าง ๆมาตลอด 13  ปีนั้น  บุนทะนองเปิดเผยอีกว่าเขาเพิ่งได้รับการติดต่อจากสมาคมนักประพันธ์ลาวเชิญร่วมแถลงข่าวประกาศผลซีไรต์เมื่อเย็นของวันที่ 22 กันยายนเอง
     
              การประกวดวรรณกรรมซีไรต์ลาวปีนี้ถือเป็นปีที่ 14 และเป็นขนบ “สามช่า” อย่างไทย กล่าวคือ ปีนี้ประกวดเรื่องสั้น ปีหน้านวนิยาย ปีที่สามบทกวี วนเวียนเช่นนี้ไปเรื่อยๆ การประกวดซีไรต์ลาวเริ่มคึกคัก เป็นที่สนใจในวงการวรรณกรรมลาวมาตั้งแต่ปีกลาย 2010 มีผู้ส่งบทกวีเข้าประกวดตั้ง 30 เล่ม และปีนี้มีรวมเรื่องสั้นส่งเข้าชิงถึง 37 เล่มคัดเข้ารอบ 17 เล่ม ถ้าย้อนไป 12 ปีแรกก่อนโน้น (1998 – 2009) โดยเฉลี่ยปีละ 10 เล่มเท่านั้น   
     
              เรื่องสั้น “กระดูกอเมริกัน” เป็นหนึ่งในเรื่องสั้นชุด “ปล่อยนก” ที่ส่งเข้าชิง ผู้เขียนจะต้องยกเรื่องสั้น 1 เรื่องในเล่มขึ้นมาให้คณะกรรมการอ่านพิจารณาตัดสิน  นี่คือกติกาของซีไรต์ลาว  “กระดูกอเมริกัน” ชนะใจกรรมการเพราะมีความโดดเด่นด้านกลวิธีการนำเสนอ มีเนื้อหาสะเทือนใจสูง ทั้งแสดงออกด้านมนุษยธรรมของคนลาว  เล่าถึงคณะผู้เชี่ยวชาญกระดูกของสหรัฐที่ขอเข้ามาในปีพ.ศ. 2531 เพื่อค้นหาซากกระดูกทหารนักบินอเมริกัน 11 นายที่ขึ้นจากฐานทัพเมืองอุบล มาทิ้งระเบิดที่ลาวจนโดนยิงตกในสงครามอินโดจีนปี พ.ศ. 2515  ในขณะที่ทหารลาวชื่อบุดตาแก้ว ซึ่งได้ร่วมขุดค้นร่อนหากระดูก  กลับสูญเสียพ่อแม่ และญาติพี่น้องไปในสงครามอินโดจีนที่สหรัฐมาก่อขึ้น ทั้งไม่เหลือแม้กระทั่งกระดูกไว้บรรจุในธาตุเลย มันเป็นความแค้นเคืองและเศร้าสลดอย่างยิ่ง  แต่เขาและรัฐบาลลาวก็มีน้ำใจ มีมนุษยธรรมเพียงพอ เพื่อความสงบสุขของประชาคมโลกได้ให้การช่วยเหลือค้นหากระดูกดังกล่าวอย่างดียิ่ง เพื่อนำกลับไปสู่ความอบอุ่นของญาติในสหรัฐนั้น  เรื่อง “กระดูกอเมริกัน” ได้คะแนนรวม 316 จากเต็ม 350 คะแนน
     
              การประกวดและการตัดสินวรรณกรรมซีไรต์ลาวนับวันเปิดกว้างมากขึ้น ไม่มีคำว่า คนของพรรคฯ คนอาวุโสมีเส้นมีสาย นักเขียนเก่านักเขียนใหม่อีกต่อไปแล้ว เป็นตัวบ่งชี้ว่าลาวพร้อมในการแข่งขันระดับภูมิภาค โดยเฉพาะอีกสี่ปีข้างหน้าการเปิดกว้างสู่ “ประชาคมอาเซียน”  ที่ผลสำรวจว่าเยาวชนลาวมีความรู้เรื่องอาเซียนมาเป็นอันดับหนึ่ง  ส่วนเยาวชนไทยรั้งที่สามสุดท้ายนั้น  คนลาวย่อมมีของดีอวดคนไทยอย่างแน่นอน !.
     
              ******สำหรับรองซีไรต์ลาวปีนี้ที่น่าสนใจ  2 คน คือรองอันดับหนึ่งเรื่องสั้น “ของดี” ของปิติ  ทิวาชน นักเขียนหนุ่มจากภาคใต้แขวงสะหวันนะเขด ได้ 300 คะแนน เรื่องเล่าถึงความกล้าหาญของแม่เฒ่าในการตัดสินโยนของดีของขลังศักดิ์สิทธิ์ที่นับถืออย่างงมงายมาตั้งแต่บรรพชนนั้นทิ้งไป  ซึ่งถือว่าเป็นนักเขียนที่มาแรงน่าจับตาอีกคนหนึ่ง  โดยเฉพาะปีหน้ารอบนวนิยาย เขากำลังซุ่มเขียนนวนิยายเพื่อล่ารางวัลอย่างเงียบ ๆ
     
              ส่วนรองอันดับสอง  เรื่อง “เจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งนครบาดาล” ของดอกเข็มแดง นักเขียนหญิงรุ่นใหม่แห่งนครหลวงเวียงจันทน์ที่น่าจับตามองอีกคน ได้ 297 คะแนน เป็นเรื่องเล่าเหมือนนิทานซ้อนนิทานในความเชื่อเก่าแก่ของคนลาวและยังซ้อนชีวิตจริงอีกด้วย  โดยตัวเดินเรื่องเป็นครอบครัววณิพกที่หากินในเมือง  และสามารถตีความได้หลายระดับอย่างน่าสนใจ
 
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : http://www.komchadluek.net