Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

บทสัมภาษณ์ “หม่อมน้อย จาก ชั่วฟ้าดินสลาย” จากงานเขียนกลายเป็นภาพยนตร์

 

   
            “หม่อมน้อย ม.ล. พันธุ์เทวนพ เทวกุล” หวนคืนเก้าอี้ผู้กำกับภาพยนตร์อีกครั้งในรอบ 13 ปี กับการถ่ายทอดบทประพันธ์ชั้นดี…ที่ยังร่วมสมัย มาเป็นโศกนาฏกรรมรักชั้นเยี่ยม…ที่จะตราตรึงทุกหัวใจ ในภาพยนตร์เรื่อง “ชั่วฟ้าดินสลาย”
 
แรงบันดาลใจที่หยิบยกเรื่อง “ชั่วฟ้าดินสลาย” มารีเมคใหม่อีกครั้งหลังจากห่างหายจากการกำกับหนังไปนานสิบกว่าปี
          คือโดยแท้แล้วไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้ทำหนังเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่เป็นวรรณกรรมเรื่องสั้นที่ประทับใจมากตั้งแต่ยังเป็นเด็ก แล้วก็อ่านหลายครั้งหลายครามาก รวมทั้งภาพยนตร์ก็ได้ดูถึงสองครั้งที่เค้าสร้าง ก็ประทับใจมาก ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้สร้างเป็นภาพยนตร์โดยตัวเองกำกับ เพราะทราบว่าใครๆก็อยากทำ ผู้กำกับหลายท่านก็อยากทำไม่ว่าจะเป็นคุณวิจิตร คุณาวุฒิ, ท่านมุ้ย, ยุทธนา มุกดาสนิท หรือจะเป็น เป็นเอก รัตนเรือง คือเรื่องนี้เป็นวรรณกรรมเรื่องสั้นที่ทุกๆ คนอยากจะทำ มีคุณค่าทางด้านความหมายของชีวิต ความหมายของความรัก แล้วก็ความเข้มข้นของตัวละคร แล้วก็เนื้อหาสาระที่ลึกซึ้งอันนี้ยังไม่นับรวมภาพและฉากในเรื่องที่น่าประทับใจ น่าตื่นตาตื่นใจ 
          จนกระทั่งเสี่ยเจียง (สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ) นัดมาคุยเนี่ย เราก็ตั้งตัวไม่ค่อยติดเพราะว่าจริงๆ แล้วความปรารถนาแท้ๆ เนี่ยเป็นความปรารถนาของคุณเจียงเลยที่อยากให้ทำเรื่องนี้ เพราะตอนแรกเราก็ยังไม่ได้มีความตั้งใจจะทำภาพยนตร์ในช่วงนี้ แล้วคุณเจียงก็ได้พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา แกก็ถามว่ามีเรื่องอะไรมั้ยที่น่าสนใจ เราก็บอกว่าช่วงนี้ยังไม่อยากทำอะไรเลย แต่ถ้าถามถึงความต้องการจริงๆ ก็จะมีอยู่เรื่องหนึ่งที่อยากทำมานานแล้วก็คือเรื่อง “ชั่วฟ้าดินสลาย” คุณเจียงก็บอกว่า เออก็ทำเรื่องนี้เลยสิ เพราะแกก็รู้จักเรื่องนี้เป็นอย่างดี และคิดว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่มีคุณค่า เป็นวรรณกรรมเรื่องสั้นที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของเมืองไทย และเคยถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ที่โด่งดังมาก่อนแล้วด้วย ประกอบกับเป็นความตั้งใจของเราที่อยากทำเรื่องนี้ด้วย เพราะมีโอกาสได้อ่านเรื่องสั้นมาตั้งแต่สมัยเมื่อ 20-30 ปีก่อนแล้วก็ได้ดูหนังเวอร์ชั่นเก่าด้วย ก็คิดว่าเรื่องนี้สมควรที่จะถูกทำเป็นภาพยนตร์มากๆ 
          โดยท่านก็มีไอเดียอยู่แล้วว่าอยากให้ “อนันดา เอเวอริ่งแฮม” กับ “เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์” เล่น ซึ่งทั้งคู่ก็เป็นลูกศิษย์ของผมเอง ก็เลยยิ่งเอ๊ะ…ฝันไปหรือเปล่าเนี่ย อยู่ๆ ก็ได้มาทำเรื่องนี้จริงๆ โดยที่ได้ลูกศิษย์เรามาถ่ายทอด โดยมีบริษัทหนังใหญ่สนันสนุนอีกด้วย ก็เลยกลับไปอ่านอีกทีหนึ่งก็ยิ่งเห็นภาพชัดเจนขึ้น แล้วก็รู้สึกว่าเป็นภาระด้วยเป็นความหนักใจด้วย เพราะว่าไม่ได้ตั้งตัวเลย 
          คือสำหรับ “ชั่วฟ้าดินสลาย” เนี่ยมีความรู้สึกว่าอยากดูคนอื่นทำ เพราะเป็นเรื่องที่เราประทับใจแล้วเราชอบมาก ทีนี้พอต้องมาทำเองก็รู้สึกว่าเป็นภาระที่หนักอยู่เหมือนกันว่าจะต้องทำยังไงให้มันออกมาดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ ก็ต้องกลับไปศักษางานของ “ครูมาลัย ชูพินิจ” อีกครั้งหนึ่ง แต่ก็โชคดีที่ผมเคยกำกับละครโทรทัศน์เรื่อง “แผ่นดินของเรา” ซึ่งครูมาลัยท่านก็เป็นผู้แต่ง ก็จะมีความใกล้เคียงกันอยู่ แล้วก็กลับไปศึกษาประวัติของท่านอีกครั้งหนึ่งด้วย ถึงตั้งสติทำ Pre-production คือการเตรียมงานทั้งหมด โดยที่คิดว่าจะรักษาวรรณกรรมเรื่องสั้นนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ การดำเนินเรื่องเลยจะใกล้เคียงกับในหนังสือมากที่สุด มากกว่าในเวอร์ชั่นอื่นๆ ที่เคยทำมา คือเราซื่อตรงกับบทประพันธ์มาก อาจพูดได้ว่าเรารักษาบทประพันธ์ไว้ 80 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว จะมีเพิ่มหรือขยายความขึ้นก็ไม่มากนัก แต่ก็ยังอยู่ในพื้นฐานหรือว่าบทประพันธ์ของท่าน เพราะมันเกิดจากบทประพันธ์ที่ดีเหลือเกิน ทั้งเนื้อหาสาระ อารมณ์ของเรื่อง มันสมบูรณ์มาก แต่ก็คิดหนักเหมือนกันนะว่าจะทำออกมาในแบบไหน เพราะไม่เคยคิดว่าจะได้ทำ แต่ก็เอาบทประพันธ์เรื่องนี้มาอ่านอีกครั้งหนึ่ง ทีนี้จากจุดนั้นก็เลยมีแรงบันดาลใจเกิดขึ้นมาว่า เนื้อหาสาระไม่เพียงแต่สนุกในแง่เรื่องราวอย่างเดียว ไม่ใช่แค่ประเด็นพระเอกเป็นชู้กับเมียอาเพียงแค่ประเด็นนั้น แต่มันกลับกลายว่ามีประเด็นทางพุทธศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอย่างมาก คือการไร้สติสัมปะชัญญะของมนุษย์ แล้วก็การตกเป็นทาสของกิเลสตัณหาของตัวละครสองตัว คือ “ส่างหม่อง” และ “ยุพดี” ได้กระทำสิ่งที่เป็นบาปซึ่งนำไปสู่ความหายนะของชีวิต
 
การตีความบทประพันธ์
          คือในระยะเวลา 2-3 ปีหลังเนี่ยเราเองก็ศึกษาทางพุทธศาสนามากขึ้น ทำให้เราเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์มากขึ้นกว่าเดิม แล้วก็ละเอียดอ่อนมากขึ้น เข้าใจมากขึ้นว่าชีวิตมนุษย์คืออะไร ทำให้เข้าใจตัวละครมากขึ้น ละเอียดมากขึ้น เข้าใจธาตุแท้ของตัวละครมากขึ้น ก็พูดได้ว่า มันเป็นเรื่องที่ตีแผ่สันดานดิบ สิ่งที่ซ่อนลึกเบื้องหลังตัวละครทุกตัว เพราะฉะนั้นตรงนี้เนี่ย พุทธศาสนาได้ทำให้เราประจักษ์ถึงความหมายของการมีชีวิตอยู่ของคน แล้วก็อะไรที่ทำให้มนุษย์เป็นทุกข์ เพราะฉะนั้นก็จะเป็นประเด็นเดียวกับที่ผู้ประพันธ์คือ “ครูมาลัย ชูพินิจ” ซ่อนอยู่ในบทประพันธ์ของท่าน เลยคิดว่า นอกจากในเชิงบันเทิงแล้วเนี่ย เรื่องนี้มีคติสอนใจ มีภาพของธรรมชาติที่สะท้อนว่ามนุษย์เป็นทาสของอะไร เป็นทาสกิเลสโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว อันนี้ก็ถือเป็นแก่นหลักของหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในความคิดที่เกี่ยวกับเชิงความรัก เพราะมนุษย์เราพอเกิดมีความรักก็จะเกิดความผูกพันอยากใกล้ชิดกับสิ่งที่ตัวเองรัก แรกๆ ก็จะเป็นสุขดี แต่ต่อๆ มามันก็จะเริ่มเบื่อหน่ายแล้วก็ต้องการอิสระ เพราะธรรมชาติของมนุษย์ก็คือเกิดคนเดียวและตายคนเดียว มนุษย์มีอิสรภาพ ตรงนี้เป็นสัจธรรม และเป็นสิ่งที่ทุกคนมีแต่มองข้ามไปในทุกยุคทุกสมัย ประเด็นของเรื่องนี้เป็นอมตะ ไม่เชยเลย ถึงแม้จะเขียนเมื่อเกือบ 70 ปีที่แล้ว
 
ในช่วงของการเตรียมงานสร้าง ได้มีการรีเสิร์ชข้อมูลยังไงบ้าง แล้วมันยากง่ายแค่ไหน 
          มันยากตั้งแต่ตัวเรื่องแล้วล่ะเรื่องนี้ คือโดยโครงเรื่องเนี่ยมันไม่สามารถเกิดขึ้นในยุคปัจจุบันได้ เพราะว่าท่านแต่งเรื่องนี้เนี่ยในปี 2486 ในสมัยรัชกาลที่ 8 นะฮะ ในสมัยสงครามโลกเนี่ย เพราะฉะนั้นในความน่าเชื่อต่างๆ เนี่ยมันเหมาะกับยุคนั้น มันไม่สามารถจะดัดแปลงเป็นยุคปัจจบันได้ โดยพื้นเพของสังคม ของวัฒนธรรม ของประเพณี ในความเชื่อของคนในสังคม เพราะฉะนั้นเราเลยจำเป็นที่จะต้องเริ่มเรื่องในปี 2486 ซึ่งเป็นปีแรกในการแต่งเรื่องนี้พอดี เพราะฉะนั้นเราก็ต้องศึกษาในประวัติศาสตร์ในยุคนั้นจริง ซึ่งยุคนั้นคือยุคสงครามโลก แล้วก็ตัวเรื่องเนี่ยดำเนินโดยคนเล่าซึ่งคงเป็นตัวครูมาลัยเองซึ่งไปพบกับโศกนาฏกรรมชีวิตของหนุ่มสาวคู่หนึ่ง แล้วก็เล่าออกมาสู่นวนิยายเรื่องสั้น เพราะฉะนั้นเราเลยคิดว่าการดำเนินเรื่องทั้งหมดคงเป็นไปในตามหนังสือถ้าจะดี คือผู้เล่าเนี่ยเป็นนักประพันธ์แล้วเดินทางเข้าไปตั้งใจที่จะไปล่าสัตว์ในป่าตามคำเชิญของพะโป้ซึ่งเป็นคหบดีชาวพม่า เจ้าของสัมปทานป่าไม้แทบกำแพงเพชร-ตาก แล้วเมื่อเข้าไปที่นั่นเค้าก็ได้พบกับความลึกลับกับความน่าฉงนต่างๆ ของหลายๆ เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเนี่ยความยากของมันคือเรื่องมันเริ่มต้นที่ปี พ.ศ. 2486 แล้วก็ย้อนไปอีก 10 ปีซึ่งเป็นปี 2476 ซึ่งเป็นปีที่สองของการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศเรา แน่นอนที่สุดมันต้องศึกษาสองสมัยเลยทั้งพ.ศ. 2486 กับ 2476 ว่าเป็นยังไง ไม่ว่าจะเป็นทางด้านความรู้สึกนึกคิด ทางด้านอิทธิพลทางการเมืองที่มีมาเกี่ยวกับตัวละครในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นทางด้านเสื้อผ้า ฉาก ทุกอย่างต้องมองย้อนกลับไปในปี 2486 ไม่พอ ยังต้องย้อนไปในปี 2476 อีก เพราะฉะนั้นเนี่ยการบ้านของทุกฝ่ายเนี่ยก็จะค่อนข้างยาก เพื่อจะให้เกิดความสมจริงในภาพยนตร์เรื่องนี้
          ซึ่งระยะเวลาในการเตรียมงานก็ประมาณครึ่งปีได้กว่าจะถ่ายทำ ทุกฝ่ายก็ทำงานอย่างเร่งรีบมาก แล้วก็ความยากของเรื่องแรกคือการเขียนบทก็ค่อนข้างยาก เพราะว่าเป็นนวนิยายเรื่องสั้นบางๆ แล้วก็เป็นเรื่องเล่า ส่วนใหญ่จะเป็นจะเป็นการพูดคุยกันของคนเล่าเรื่องกับทิพย์ซึ่งเป็นผู้จัดการปางไม้ลูกน้องของพะโป้เนี่ย ก็จะมีการสนทนากันแล้วก็ย้อนกลับไปย้อนกลับมา แล้วก็มักจะเป็นคำบรรยายมากกว่า เพราะฉะนั้นในการสร้างบทภาพยนตร์เนี่ยจะค่อนข้างยาก เพราะว่าถ้าเป็นเรื่องเล่าอย่างเดียวเนี่ยถ้าเป็นภาษาหนังสือก็โอเค แต่ว่าพอเป็นภาพแล้วมันอาจจะไม่สนุก ต้องขยายความให้มากกว่านั้นอีก แล้วกับภาษาของท่านของครูมาลัยซึ่งเป็นความเด่นของเรื่องนี้มีภาษางดงามมาก ท่านใช้ภาษาไทยได้ไพเราะมากเกือบจะพูดได้ว่าเป็นบทกวี เพราะฉะนั้นเนี่ยเราเลยจับว่าในแง่การสร้างภาพเนี่ย ภาพในภาพยนตร์เรื่องนี้เนี่ยจะต้องงามเหมือนบทกวี ให้เหมือนงานศิลปะ เพราะฉะนั้นเนี่ยมันก็จะต้องทำการบ้านเยอะมากที่จะแปลคำบรรยายออกมาเป็นภาพที่สวยงาม และรักษาไว้ด้วยภาษาที่งดงามของท่าน
 
ใช้เวลานานแค่ไหนในการเขียนบท
          เขียนจริงๆ มันไม่นานเลย แต่ว่าตอนคิดน่ะนาน ขั้นตอนการคิดมันเริ่มมาตั้งแต่ตอนที่ตัดสินใจจะทำเรื่องนี้แน่ๆ มันก็เริ่มคิดมาจากตรงนั้น บวกกับตะกอนเก่ามันยังมีอยู่ ตะกอนเดิมมันยังมีอยู่ตั้งแต่สมัยอ่านแรกๆ ตอนเป็นนักศึกษา อ่านหลายเที่ยวด้วย แล้วอย่างที่บอกได้ทำละครเรื่อง “แผ่นดินของเรา” มาแล้วด้วย ซึ่งครูมาลัยเขียนหลัง “ชั่วฟ้าดินสลาย” แต่คาแร็คเตอร์ตัวละครมีอะไรที่ใกล้เคียงกันอยู่ ทำให้คุ้นกับงานของครูมาลัย เรื่องราว แล้วแถมอยู่ในยุคสมัยเดียวกันด้วยนะ จริงๆ โทนของเรื่องก็ใกล้เคียง คาแร็คเตอร์ก็ใกล้เคียงกัน เพราะฉะนั้นขั้นตอนการคิดใช้เวลา 4 เดือน แต่ตอนเขียนใช้เวลาแป๊บเดียว ไหลลื่นมาก ใช้เวลาเขียนเพียง 3 อาทิตย์เท่านั้น แต่ปกติเราเป็นคนเขียนบทเร็วอยู่แล้ว ขั้นตอนคิดน่ะนาน 
          แล้วก่อนที่จะเขียนเราก็ไปเลือกโลเกชั่นหลายๆ ที่ ตอนแรกๆ ยังไม่ปักใจว่าจะใช้ที่ไหน ตอนแรกคิดถึงเชียงใหม่, เมืองกาญจน์ แต่ตอนหลังทีมงานก็แนะนำถึงเชียงราย มีแม่น้ำ ป่าเขา เหมือนตอนที่ครูมาลัยไป แล้วเชียงรายก็ยังเป็นโลเกชั่นที่เวอร์จิ้นอยู่ ยังสมบูรณ์มาก ไม่ค่อยมีใครมาถ่าย เพราะเชียงใหม่ก็ถ่ายกันเยอะแล้ว เมืองกาญจน์ก็ปรุแล้ว ยิ่งเขาใหญ่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่เชียงรายยังใหม่มาก พอไปเห็นโลเกชั่นจริงๆ ก็หลงเลย ยังเวอร์จิ้นจริงๆ ยังงามจริงๆ ยิ่งตรง “น้ำตกขุนกรณ์” เนี่ย มันมีพันธุ์ไม้ที่มีที่นี่ที่เดียว ยังไม่เคยมีใครถ่ายทอดมาก่อน ภูเขาสลับซับซ้อนตามความคิดเราเลย เพราะในตอนเริ่มเรื่องเนี่ย จะเห็นแนวภูเขาสลับซับซ้อนซึ่งเปรียบเหมือนใจมนุษย์เรานี่เอง มีความงาม ลึกลับสลับซับซ้อนให้เราอยากเข้าไปค้นหา ซึ่งเชียงรายมีความสมบูรณ์มากที่สุด แล้วยังมี “ลำน้ำกก” มีเกาะอยู่ตรงกลาง เหมือนที่ครูมาลัยเคยไปเที่ยวป่าแล้วเป็นแรงบันดาลใจให้แกเขียนนวนิยายหลายๆ เรื่องออกมา ซึ่งการที่ได้โลเกชั่นมาก่อนก็ทำให้เห็นภาพชัดขึ้นเวลาที่เขียนบทออกมา ซึ่งช่วงนั้นก็เป็นช่วงเดียวกับที่พัฒนาความคิดก่อนการเขียนบท
 
ในแง่เนื้อหาสาระของหนัง ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดในสมัยโบราณ แต่ก็ใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย 
          คือความเด่นของงานเขียนในบทประพันธ์ทุกงานของครูมาลัย ชูพินิจเนี่ย คือท่านเป็นพหูสูตรมาก คือท่านไม่ได้เป็นนักประพันธ์ที่เขียนเฉพาะนวนิยายอย่างเดียว ท่านเขียนบทความ ท่านเขียนสารคดี ทั้งทางด้านการเมือง ทางด้านกีฬา ทางด้านบันเทิง คือท่านเป็นพหูสูตรมากแม้ในเรื่องต้นไม้ ท่านมีความรู้มาก เพราะฉะนั้นเนี่ยทุกงานที่ท่านกลั่นกรองมาเนี่ยจะเป็นอมตะ ที่ถือความเป็นธรรมชาติของชีวิตมนุษย์เป็นหลัก งานของท่านจะสะท้อนแก่นแท้ของมนุษย์ มีการสะท้อนว่าอะไรคือคุณความดี อะไรคือสัจธรรม อะไรคือธรรมะ อะไรคือศีลธรรม อะไรคือกิเลส ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องชีวิตของคนที่เป็นคนจริงๆ นวนิยายของท่านไม่ได้มีแค่นางเอก พระเอก ผู้ร้าย ตัวละครของท่านเป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อมีทั้งส่วนที่ดีและไม่ดี มีทั้งความกล้าหาญ ความขี้ขลาด ความเกลียด ความชัง เป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อมีวิญญาณ เพราะฉะนั้นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อมีวิญญาณเนี่ยก็จะไม่มีคำว่าเชยเกิดขึ้น ก็ยังคงเป็นมนุษย์ คือไม่ว่าสภาวะทางสังคมจะเปลี่ยนไปอย่างไร หรือความเจริญก้าวหน้าจะเป็นเช่นไร ก็ยังคงเป็นมนุษย์ยังมีความหยิ่งทะนงในเกียรติภูมิ มีความต้อยต่ำ มีความรัก มีความริษยา มีความทะยานอยาก มีความปรารถนา ยังมีกิเลสตัณหาในทุกยุคทุกสมัยไม่ว่าอะไรจะเปลี่ยนไปยังไงก็ตาม แต่มนุษย์ก็ยังคงเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้นเนี่ยแก่นแท้ของท่านก็ยังคงไม่มีคำว่าเชยเกิดขึ้นแน่นอน
 
เรื่องราวของ “ชั่วฟ้าดินสลาย” พูดถึงอะไรบ้าง
          จะพูดไปมันก็ตัณหาราคะนั่นแหละ พูดง่ายๆ คือในโครงสร้างแล้วเนี่ยภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้ดำเนินโดยพล็อตเรื่อง เพราะพล็อตมีอยู่สั้นๆ นิดเดียวเท่านั้นเอง ก็คือหลานชายเป็นชู้กับเมียของอา อาซึ่งมีบุญคุณอย่างสูงมากที่เลี้ยงตัวเองมาราวกับพ่อบุญธรรม คือมีบุญคุณสูงมาก แล้วตัว “ส่างหม่อง” (อนันดา เอเวอริ่งแฮม) ซึ่งเป็นตัวละครเอกก็เป็นเด็กกำพร้าพ่อแม่ตายไป แล้วก็อาชุบเลี้ยงเอาไว้ ซึ่งทั้งคู่เนี่ยเป็นชาวพม่า ตัว “พะโป้” (ธีรพงศ์ เหลียวรักวงศ์) เนี่ยเป็นคหบดีชาวพม่าที่มาได้สัมปทานป่าไม้ในแทบกำแพงเพชร-ตาก แล้วก็ร่ำรวยมีอาณาจักรของตัวเองในกลางป่า ก็มีหลานชายคนเดียวชื่อส่างหม่อง ซึ่งพะโป้ก็ได้เลี้ยงมาตั้งแต่เด็กแล้วก็รักเหมือนลูก ให้ความรัก ให้ความรู้ ให้การศึกษาเป็นอย่างดี ส่วนพะโป้ก็เป็นคหบดีใหญ่ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างสูง มีทั้งเงิน มีทั้งอำนาจ แต่ขาดภรรยา มีนางบำเรอเต็มไปหมด แต่ก็ยังหาผู้หญิงที่ตัวเองรักไม่ได้จนกระทั่งมาเจอกับ “ยุพดี” (เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์) หญิงสาวจากพระนครทันสมัย ที่จบมาจากคอนแวนต์ แล้วทำงานอยู่ที่สโมสรสปอร์ตคลับของฝรั่ง เป็นผู้หญิงสมัยใหม่ในยุคนั้น เป็นผู้หญิงที่รักการอ่านหนังสือรักการดนตรี เป็นผู้หญิงที่ทันสมัยมากในยุค 2476 แถมยังสวยงามเลอโฉมมาก พะโป้ก็พายุพดีไปอยู่ที่อาณาจักรของตนที่เขาท่ากระดาน กำแพงเพชร ก็ไปในฐานะภรรยา ที่นั่นเองยุพดีก็พบกับส่างหม่อง หลานชายคนเดียวสุดที่รักของพะโป้ ซึ่งงดงามหล่อเหลาราวกับเทพบุตร แล้วก็เป็นผู้ชายที่ยังบริสุทธิ์ มีชีวิตอยู่กับธรรมชาติ ส่างหม่องจบมาจากพฤกษศาสตร์มหาวิทยาลัยย่างกุ้ง แล้วก็มีชีวิตรักธรรมชาติ ไม่ชอบในเมือง เก็บตัว ขี้อาย แต่เป็นมนุษย์ที่จิตใจสะอาด ไม่ได้มีสังคมเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องกับเค้าเลย แต่พอได้มาอยู่ด้วยกันกลางป่าเช่นนั้นเนี่ย กับผู้หญิงที่อยู่ในสังคมเมืองและทันสมัยมาก ด้วยพลังอำนาจของธรรมชาติ ด้วยอำนาจของกิเลสตัณหาที่มีอยู่ในจิตใจของมนุษย์ทุกคนเนี่ย โศกนาฏกรรมชีวิตรักของทั้งสามคนก็เกิดขึ้นที่นั่น
 
ตอนแรกที่คุยกับเสี่ยแล้วรู้ว่าเป็นอนันดา กับพลอย เฌอมาลย์ นี่คือตรงใจเลยหรือเปล่า
          ก็เป็นเหตุผลหลักเลยที่รับทำเรื่องนี้ เพราะว่าทั้งคู่เนี่ยเป็นลูกศิษย์ที่เราค่อนข้างพึงพอใจ สอนเค้ามาตั้งแต่เค้ายังเด็กทั้งคู่ แล้วทั้งคู่ก็ประสบความสำเร็จด้วย แล้วจะพูดไปในบทบาทนักแสดงยุคใหม่นี่นะ มันน่าดู อยากดูว่านักแสดงรุ่นใหม่แล้วมีฝีมือได้มาเล่นด้วยกันในบทชีวิตที่เข้มข้นแบบนี้เนี่ยมันจะเป็นยังไง คือไม่ต้องทำเองก็ได้นะ คนอื่นทำเราก็อยากดู แต่นี่ยิ่งเราทำเองมันก็เหมือนกับเจอนักแสดงที่คุ้นมือเราก็ยิ่งโอเคใหญ่เลย
 
คาแร็คเตอร์และพื้นเพชีวิตของสามตัวละครหลักที่ต้องมาเผชิญชะตากรรมร่วมกันโดยไม่คาดฝันนี้เป็นอย่างไรบ้าง 
          “ส่างหม่อง” เนี่ยถ้าจะพูดถึงก็เหมือนกับเป็นพระเอกในยุค 2486 ที่สมบูรณ์ไปเสียทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ รูปร่างหน้าตา การศึกษา ฐานะทางสังคม แล้วก็ทัศนะที่มีต่อชีวิต ดูเหมือนจะเป็นตัวละครในอุดมคติ ผู้ชายที่อายุ 20 กว่าๆ แล้วไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เที่ยวผู้หญิง มีความรู้ เป็นคนเล่นกีฬา กล้าหาญ อยู่ในป่า ไม่เล่นการพนัน เป็นเหมือนกับมนุษย์ที่ดูสมบูรณ์มาก แล้วก็ที่สำคัญคือเคร่งศาสนาและวัฒนธรรมประเพณีอีกต่างหาก มันก็แลดูห่างไกลจากพวกผู้ชายในยุคปัจจุบันมากนะ 
          ส่วน “ยุพดี” เนี่ยก็ห่างไกลจากนางเอกในยุคนั้น คือตัวละครสองตัวเนี่ยตรงกันข้ามกันเลย แต่มีความเหมือนอยู่หนึ่งอย่างคือทั้งคู่กำพร้าพ่อแม่เหมือนกัน แต่ยุพดีเนี่ยเป็นผู้หญิงที่เติบโตมาในโรงเรียนคอนแวนต์แล้วพอพ่อแม่ตายไปตัวเองก็อยู่โรงเรียนประจำที่คอนแวนต์ ก็ต้องสูชีวิต แล้วก็เป็นคนรักการอ่านหนังสือซึ่งก็เป็นหนังสือฝรั่งหมด แล้วก็ฟังดนตรี รักศิลปะ เพราะฉะนั้นเธอจึงได้อิทธิพลฝรั่งมามาก จบคอนแวนต์ปุ๊บก็ไปทำงานที่บริษัทฝรั่ง โดยเริ่มต้นที่ห้างของฝรั่งแล้วไปสิ้นสุดที่สปอร์ตคลับของฝรั่ง เธอเป็นผู้หญิงทันสมัยมาก เปรี้ยวมาก ถ้าเป็นสมัยนี้ก็เรียกว่าแรงมาก เป็นตัวของตัวเองสูงไม่ยอมอยู่ในกรอบของประเพณีใดๆ ทั้งสิ้น รักความเป็นไทย และความอิสระของมนุษย์ ประเทศไทยตอนนั้นเปลี่ยนแปลงในปีพ.ศ. 2475 เรื่องนี้เริ่มต้นในปี 2476 ในยุคของยุพดีเนี่ย เค้าเป็นผู้หญิงที่เป็นประชาธิปไตยจริงๆ เป็นผู้หญิงที่เข้าใจในสิทธิมนุษยชน เป็นตัวของตัวเองกรอบประเพณีอะไรแตะต้องเธอไม่ได้ 
          เพราะฉะนั้นเมื่อตัวละครสองคนมาเจอกันเนี่ย ผู้ชายอยู่ในกรอบประเพณีสูงมาก ส่วนผู้หญิงไม่อยู่ในกรอบประเพณีเลย เมื่อสองตัวละครมาเจอกันเนี่ยมันจะเป็นยังไง นี่แหละเป็นความชาญฉาดของครูมาลัย ชูพินิจในการสร้างตัวละครมาก น่าสนใจมาก ซึ่งจริงๆ แล้วมันตรงกันข้ามนะ ที่จริงผู้หญิงควรอยู่ในกรอบประเพณี ผู้ชายควรจะไม่อยู่ในกรอบ แต่นี่ท่านสลับกันน่ะ มันเลยเป็นอะไรที่น่าดู 
          ส่วน “พะโป้” ที่เป็นอาเนี่ยก็คือเป็นตัวละครที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมาก คือผมเองก็ปูแบ็คกราวด์เดิมของครูมาลัยเนี่ยท่านบอกแต่ว่าเป็นชาวพม่า ก็เลยพยายามเจาะลงไปว่าพะโป้เนี่ยน่าจะมีเชื้อสายจากเจ้านายใหญ่ที่รัฐฉาน เพราะคำบรรยายในหนังสือเนี่ยบอกว่าพะโป้มีบ้านของตัวใหญ่ราวกับปราสาทราชวังของเจ้าโบราณ ก็เลยจับจุดตรงนี้ แล้วก็พะโป้เนี่ยมีบ่าวไพร่เป็นชนเผ่าต่างๆ มากมาย ทั้งมอญทั้งพม่า ทั้งกะเหรี่ยงอะไรอย่างนี้ ก็เลยคิดว่าน่าจะมีเชื้อสายเจ้านายใหญ่ที่มาจากรัฐฉาน แล้วก็มาทำกิจการป่าไม้ในช่วงพรมแดนระหว่างพม่ากับไทย ช่วงตาก-กำแพงเพชรพอดี แล้วยิ่งในยุคนั้นเนี่ยคนที่ได้สัมปทานป่าไม้ของแถบพม่านี่คืออังกฤษ เพราะฉะนั้นพะโป้น่าจะมีกิจการร่วมกันกับอังกฤษ และน่าจะมีความรู้ทางภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี เราเลยสร้างให้พะโป้เนี่ยมีเชื้อสายเจ้านายใหญ่ซึ่งมาสร้างเนื้อสร้างตัวในเมืองไทยจนร่ำรวยมหาศาล ทีนี้พะโป้ก็น่าสนใจแน่นอนที่สุดพอมีเชื้อสายมาจากราชวงศ์เนี่ยก็จะมีความหยิ่งในศักดิ์ศรีสูงมาก แล้วก็สร้างเนื้อสร้างตัวเองจนร่ำรวยมหาศาลเช่นนั้นเนี่ยพะโป้จะเป็นผู้ที่มีความสำเร็จมากและมีอำนาจมาก และเป็นผู้ทรงอิทธิพลในแถบนั้น เป็นที่เกรงกลัวและเป็นที่เกรงใจของเจ้าหน้าที่ในยุคนั้นเสียด้วยซ้ำไป มีแต่คนรักและเกรงบารมี แต่ว่าก็น่าเสียดายที่ภรรยาของพะโป้เสียไปนานแล้ว และเขาก็ไม่ได้รักใครอีกต่อไปเลย ก็มีแต่นางบำเรอในบ้าน แต่ก็จะเป็นโชคชะตาเหมือนกันที่ทำให้พะโป้ไปพบเจอยุพดีในวันที่มีวัย 50 กว่าซึ่งคนในยุคนั้นเนี่ยถือว่าแก่แล้วนะในยุคสมัย 2476 น่ะ ยุพดีก็อายุ 20 ต้นๆ เพราะฉะนั้นผู้ชายอายุ 50 กว่าๆ แล้วมาเจอผู้หญิงสวยขนาดนั้น แล้วก็เปรี้ยวทันสมัยถึงขนาดนั้นก็ต้องหลงเป็นธรรมดา 
          เพราะฉะนั้นตัวละครสามตัวเนี่ยจะเป็นตัวละครที่น่าสนใจ แล้วพะโป้เนี่ยไม่เคยรักผู้หญิงคนไหนเท่ายุพดี นอกจากแม่ตัวเองกับภรรยาเก่า แล้วก็ไม่มีผู้ชายคนไหนที่พะโป้จะรักเท่ากับส่างหม่อง คือพะโป้รักพ่อของตัวเองและก็พี่ชาย รองจากนั้นก็คือส่างหม่อง เพราะฉะนั้นโศกนาฏกกรรมรักครั้งนี้มันเลยน่าสนใจ เมื่อชะตากรรมทำให้ส่างหม่องกับยุพดีต้องมารักกัน ในขณะที่พะโป้เนี่ยมีผู้หญิงที่รักที่สุดคือยุพดี แล้วมีผู้ชายที่รักที่สุดคือส่างหม่อง แล้วสองคนนี้มารักกัน และกลับทรยศหักหลังพะโป้ มันจึงเป็นประเด็นที่น่าสนใจน่าดูเป็นอย่างยิ่ง
 
การคัดเลือกนักแสดงอย่าง “บี๋ ธีรพงศ์” มารับบท “พะโป้” มีความยากง่ายอย่างไร
          คือจริงๆ แล้วพะโป้เนี่ยเราดูไว้หลายคนมาก แล้วก็เป็นความน่ามหัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่งพอนักแสดงชั้นนำหลายท่านทราบว่าผมจะทำเรื่องนี้เป็นหนังขึ้นมาเนี่ย ก็เสนอตัวสมัครเข้ามาเล่นหลายท่านทีเดียว ซึ่งหลายๆ ท่านก็เหมาะด้วยฝีมือ และไม่ปฏิเสธเลยว่าจะแสดงได้เป็นอย่างดี แต่ว่าท้ายสุดผมเลือกคือคุณบี๋ ธีรพงศ์ เหลียวรักวงศ์ด้วยหลายอย่าง ด้วยลักษณะบุคลิกของแกด้วย แล้วก็ด้วยความเหมือนของคุณบี๋กับอนันดาพอมาอยู่ด้วยกันแล้วเราเชื่อได้ว่าทั้งคู่เนี่ยเป็นอาหลานกัน แล้วก็ด้วยวัยของคุณบี๋ด้วย แล้วก็ด้วยผิวพรรณ ด้วยโครงของใบหน้า ด้วยเสียง แล้วความพิเศษบางอย่างในตัวคุณบี๋ที่ดูเหมือนมีความมีอำนาจซ่อนอยู่ข้างในตัวจริง มันมีพลังอะไรบางอย่างในตัวจริง แล้วก็สำหรับภาพยนตร์เนี่ยแกยังไม่ช้ำ เพราะฉะนั้นก็เลยคิดว่าโดยภาพลักษณ์ของคุณบี๋เนี่ยเหมาะที่จะเป็นพะโป้ และถ้าพูดถึงในแง่การแสดงนะ ถ้าพูด ณ ตอนนี้ผมพอใจมากในการแสดงของนักแสดงนำในเรื่องนี้ คือทุกคนเนี่ยสามารถเข้าถึงแก่นแท้ในตัวละครของครูมาลัย ชูพินิจได้อย่างสมบูรณ์ พูดได้เลยว่าสมบูรณ์
 
ยังมีตัวละครเด่นๆ อีกหลายตัว อย่าง “ทิพย์” ของ “เจี๊ยบ ศักราช” เป็นยังไงบ้าง
          “ทิพย์” เนี่ยตามคาแร็คเตอร์เป็นชาวพระนคร เป็นคนกรุงเทพฯ แต่ว่าเป็นผู้ชายที่สู้ชีวิตทำงานทุกอย่างเพื่อให้ได้คือเป็นผู้ชายในยุคนั้นจริงๆ คือทำงานทุกอย่างเพื่อให้ได้เงิน และก็ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไปวันๆ หนึ่ง ทิพย์เนี่ยเคยทำงานเหมืองที่ภูเก็ต เป็นนักพจญภัยกับชีวิต ไปทำงานเหมืองที่ภูเก็ต ไปทำโรงไม้เป็นผู้จัดการโรงไม้ แล้วก็มาเจอกับพะโป้ พะโป้เลยชวนไปเป็นผู้จัดการปางไม้ที่กลางป่าเขาท่ากระดานที่กำแพงเพชร ก็กลายเป็นลูกน้องที่สนิทและไว้ใจพะโป้ ทิพย์เป็นคนทำงานเก่ง รับผิดชอบ ต่อสู้ชีวิต และมองคนในแง่ดีเสมอ เป็นมิตรกับทุกคน 
          การเลือก “ศักราช ฤกษ์ธำรง” มาเล่นตรงนี้ก็ด้วยลักษณะภายนอกด้วย ด้วยผิวก็ตรงตามที่ครูมาลัยได้กำหนดเอาไว้ เป็นคนผิวคล้ำ ร่างกายบึกบึน ออกจะแมนๆ แต่ว่ามีจิตใจโอบอ้อมอารี เข้าใจจิตใจ เข้าใจคน แล้วก็ศักราชเนี่ยพอมาลองบทแล้วเหมาะ ยิ่งพอเติมหนวดลงไปแล้วกลายเป็นทิพย์ที่ใช่เลย เป็นคนที่ซื่อสัตย์ต่อเจ้านายเป็นอย่างยิ่ง เป็นคนปรารถนาดีกับทุกคน ไม่มองคนในแง่ร้ายเลย แต่ว่าเป็นตัวละคนที่ต้องรับรู้โศกนาฏกรรมรรมของตัวละครทุกตัวที่เกิดขึ้นโดยที่ตัวเองเนี่ยไม่สามารถทำอะไรได้เลย ไม่สามารถแก้ไขใดๆ ได้ โดยที่ต้องเผชิญกับปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นในตอนจบของเรื่องอย่างน่าสะเทือนใจ
          ทิพย์นี่เป็นตัวละครที่สำคัญมากทีเดียว เพราะว่าเป็นตัวเล่าเรื่องระหว่างส่างหม่องกับยุพดีแล้วก็พะโป้ ให้ “นิพนธ์” (เพ็ญเพชร เพ็ญกุล) ฟัง ทิพย์เป็นผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เป็นผู้ที่รู้ที่มาที่ไป เห็นเหตุการณ์การเป็นชู้ของส่างหม่องและยุพดี แล้วก็เป็นผู้ที่รู้การตัดสินใจของพะโป้ที่เมื่อรู้ว่าคนที่รักมากที่สุดสองคนเป็นชู้กัน และพะโป้ตัดสินใจทำอย่างไร ทำโทษตัวละครทั้งสองอย่างไร ทิพย์จะเป็นผู้ที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด แล้วจากการที่เค้าเป็นคนจิตใจดี เป็นลูกน้องของพะโป้ที่ซื่อสัตย์ต่อเจ้านายมาก แล้วก็เป็นคนที่คล้ายกับพี่เลี้ยงส่างหม่อง เป็นคนที่ทำงานอยู่ด้วยกันแล้วก็รู้จักส่างหม่องเป็นอย่างดี แล้วก็รักส่างหม่องมาก เพราะฉะนั้นในเรื่องร้ายครั้งนี้เนี่ยทิพย์จะเป็นเหมือนตัวละครที่เจ็บปวดที่สุดเพราะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนท้ายๆ ของเรื่องนี่ที่พะโป้ไม่ยอมหยุดทำร้ายเด็กทั้งสองคน กลับกลายเป็นทรมานหนักขึ้นๆๆ จนไปสู่ความตาย เพราะฉะนั้นตัวละครทิพย์เนี่ยเป็นตัวที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เป็นคนที่เห็นความทุกข์ของทุกเหตุการณ์ แล้วก็ประสบการณ์ครั้งนี้เนี่ยมันทำให้เค้าเหมือนกับว่ามีแผลในใจ แล้วก็เล่าเรื่องนี้ออกมาด้วยความทรมาน ทีนี้ในการเลือกตัวละครตัวนี้เนี่ยก็ต้องพิถีพิถันมากเพราะว่า “ประจวบ ฤกษ์ยามดี” เคยเล่นบทนี้มาแล้วแล้วก็ได้ตุ๊กตาทอง ผมเองก็ลองคัดเลือกมาแล้วหลายๆ คน แล้วคนที่เหมาะสมกลายเป็นศักราช ฤกษ์ธำรง ที่มีลักษณะภายนอกด้วยมีความบึกบึน เป็นผู้ชายที่สีผิวและบุคลิกภายนอกตรงกับที่ครูมาลัย ชูพินิจบรรยายเอาไว้ แล้วก็เป็นคาแร็คเตอร์ของผู้ชายที่ซื่อสัตย์มากๆ มองโลกในแง่ดี แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นนักเลงทำงานในป่าได้ กินเหล้าจัด มีผู้หญิงเยอะ แต่ว่าไม่ผูกมัดกับผู้หญิงคนไหน แต่รักงานรักการทำงาน ก็เลือกศักราชด้วยเพราะบุคลิกภายนอกด้วยแล้วพอเติมหนวดเข้าไปกลายเป็นรูปลักษณ์ภายนอกใกล้กับตัวละครตัวนี้มาก 
 
มาถึงอีกตัวละครหนึ่งคือตัว “นิพนธ์” (เพ็ญเพชร เพ็ญกุล) ที่เหมือนเป็นคนนอกและตัวแทนที่พาคนดูเข้ามารับรู้เรื่องราวครั้งนี้
          คือตัว “นิพนธ์” หรือคนเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นเรื่องเนี่ย คือพล็อตเรื่องดำเนินเรื่องในปี 2486 ด้วยการที่นิพนธ์เดินทางมาที่ปางไม้กลางป่าเขาท่ากระดานของพะโป้เนี่ย เพราะว่าตัวพะโป้เศรษฐีชราเนี่ยเป็นเพื่อนกับตัวพ่อของนิพนธ์ก็เลยชวนนิพนธ์มาล่าสัตว์ที่นั่น ในหนังสือไม่เจาะจงว่าเป็นใครและทำอาชีพอะไร รู้แต่เพียงว่าพ่อของนิพนธ์เป็นเพื่อนเก่าของพะโป้เท่านั้น มีแต่คำว่า ข้าพเจ้า เวลาอ่านเลยคิดว่าข้าพเจ้าเนี่ยคือครูมาลัย ชูพินิจเองนี่แหละที่เล่าเรื่องนี้ พอจากการศึกษาเราได้รู้ว่าครูมาลัย ชูพินิจเองเนี่ยมีเพื่อนคุณพ่อเป็นชาวพม่าแล้วทำกิจการป่าไม้ชื่อพะโป้จริงๆ คือเชื่อเลยว่าท่านสร้างฉากและตัวละครที่ได้แรงบันดาลใจจากบุคคลในชีวิตจริงของท่านแต่ว่าไม่ใช่เรื่องราวเดียวกันแบบนี้นะ คือท่านเอาแต่ฉากและคาแร็คเตอร์มาเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นในภาพยนตร์เนี่ยผมเลยกำหนดให้นิพนธ์เนี่ยมีอาชีพเป็นนักเขียนนักประพันธ์และนักหนังสือพิมพ์ เพราะในช่วงนั้นเนี่ยช่วงปี 2480-2486 เนี่ยครูมาลัยท่านก็ทำหนังสือพิมพ์อยู่ ท่านเขียนบทความ เขียนเรื่องสั้น เขียนนวนิยายอยู่แล้ว ก็เลยสร้างตัวละครตัวนี้แล้วตั้งชื่อว่านิพนธ์ ซึ่งในหนังสือไม่มีชื่อ จะเป็นข้าพเจ้าเฉยๆ แล้วก็คงเป็นตัวแทนที่จะพาคนดูเข้าไปค่อยๆ รู้เรื่องส่างหม่องกับยุพดีไปทีละนิด โดยผ่านบทสนทนาระหว่างนิพนธ์กับทิพย์ ทิพย์จะเป็นคนเล่าเรื่องทั้งหมดให้นิพนธ์ฟังทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนกระทั่งไปพบกับความหายนะในตอนจบของเรื่อง
 
บทนี้ก็ได้ “แจ๊บ เพ็ญเพชร” กลับคืนจอมาเล่นหนังด้วย เป็นอย่างไรบ้าง 
          แจ๊บดูเป็