นางสาวมริน เปรมปรี : พฤติกรรมการอ่านหนังสือของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น : กรณีศึกษาโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในกรุงเทพมหานคร.
พฤติกรรมการอ่านหนังสือของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น : กรณีศึกษาโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในกรุงเทพมหานคร.(Reading Behaviors among Junior High School Students : Case Study in Bangkok Metropolitan Area under The Office of Basic Education Commission) โดย นางสาวมริน เปรมปรี
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเข้าใจพฤติกรรมการอ่านหนังสือของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นและวิเคราะห์หาปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการอ่านหนังสือของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นโดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากจำนวนตัวอย่าง 500 ราย ซึ่งกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้กรอกแบบสอบถามด้วยตนเอง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติการวิเคราะห์การถดถอยอย่างง่าย การวิเคราะห์การถดถอยพหุและการวิเคราะห์การถดถอยพหุแบบขั้นตอน
ผลการศึกษาด้านพฤติกรรมการอ่านหนังสือ พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีเวลาการอ่านหนังสือเฉลี่ยประมาณ 78 นาที/วัน โดยใช้เวลาอ่านหนังสือแบบเรียน เฉลี่ยประมาณ 37 นาที/วัน ใช้เวลาในการอ่านหนังสือนอกเหนือแบบเรียนเฉลี่ยประมาณ 48 นาที/วัน
ผลการวิเคราะห์การแปรผันสองทางโดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์การถดถอยแบบง่ายพบว่า ตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการอ่านหนังสือ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 มี 9 ตัว คือ ระดับชั้นปีที่ศึกษา คะแนนเฉลี่ยสะสม ระดับคะแนนวิชาภาษาไทย การเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน การศึกษาของผู้ปกครอง รายได้ของครอบครัว สภาพแวดล้อมในครอบครัวที่เอื้อต่อการส่งเสริมการอ่าน ทัศนคติเกี่ยวกับการอ่านหนังสือและเขตการศึกษา
ส่วนผลการวิเคราะห์การแปรผันหลายทาง การวิเคราะห์การถดถอยแบบพหุ พบว่า ตัวแปรอิสระทั้งหมดร่วมกันอธิบายการแปรผันของพฤติกรรมการอ่านหนังสือ ได้ร้อยละ 11 และในจำนวนตัวแปร 16 ตัวนั้น ภายหลังจากควบคุมอิทธิพลของตัวแปรอิสระตัวอื่นๆ แล้วพบว่ามีเพียง 2 ตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการอ่านหนังสืออย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยมีอิทธิพลทางบวกต่อพฤติกรรมการอ่านหนังสือได้แก่ ระดับชั้นปีและ เขตการศึกษา ส่วนการวิเคราะห์การถดถอยแบบพหุขั้นตอน พบว่า ตัวแปรอิสระที่สามารถอธิบายการแปรผันของพฤติกรรมการอ่านหนังสือได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 มี 5 ตัว ได้แก่ รายได้ของครอบครัว เขตการศึกษา ทัศนคติเกี่ยวกับการอ่านหนังสือ ระดับคะแนนวิชาภาษาไทย และสุดท้ายคือระดับชั้นปีที่ศึกษาโดยตัวแปรรายได้ของครอบครัวสามารถอธิบายการแปรผันของพฤติกรรมการอ่านหนังสือได้ดีที่สุด
The purposes of the study are to understand the reading behavior of Junior High School students in Bangkok Metropolitan Area under The Office of Basic Education Commission and to analyze the factors that have an impact on those students’ reading behavior.
Data has been collected from 500 samples by self administered questionnaires. Simple Regression Analysis, Multiple Regression Analysis and Stepwise Multiple Regression Analysis were used to analyze the data.
The result of the reading behavior study indicates that the samples have averagely 78 minutes per day to read. They spent averagely 37 minutes per day to read academic books and 46 minutes per day to read other books.
The result of Simple Regression Analysis shows that 9 variables have an impact on the reading behavior at the 0.05 significance level. These variables are; the level of academic year, GPA scores, Thai subject grades, the participation in activities for supporting reading, the study level of the parents, family income, family environment which enhances and supports reading, the attitudes toward reading, and educational area.
The Multiple Regression Analysis result indicates that all independent variables can explain the variance of reading behavior about 11 percent. After controlling all other independent variables, only 2 of the 16 variables has significant impact on reading at the 0.05 significance level. That variable, which has positive impact on reading behavior is the level of academic year and educational area.
The result of the Stepwise Multiple Regression Analysis shows that 5 independent variables explain the variance of reading behavior at the 0.05 significance level. Those variables are ; family income, educational area, the attitudes toward reading, Thai subject grades and the level of academic year. The family income variable has most impact on reading behavior.
สรุปข้อค้นพบที่น่าสนใจจากการศึกษาเรื่องพฤติกรรมการอ่านหนังสือของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น มีดังนี้
- ด้านสิ่งแวดล้อมรอบตัวนักเรียนกลุ่มตัวอย่างพบว่า การสนับสนุนการอ่านของผู้ปกครองยังขาดมิติการจัดสรรหนังสือให้กับเด็ก การสนับสนุนการอ่านของโรงเรียนในส่วนของสภาพห้องสมุดทางกายภาพส่วนใหญ่เป็นที่พึงพอใจของนักเรียนแต่ยังขาดในส่วนของกิจกรรมกระตุ้นหรือส่งเสริมพฤติกรรมการอ่านของนักเรียนและการสนับสนุนการอ่านของครู อาจารย์ยังขาดการปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างในเรื่องการอ่านหนังสือและขาดการกระตุ้นหรือการแนะนำด้านการอ่านในภาคปฏิบัติแก่นักเรียนอย่างเป็นรูปธรรมและสุดท้ายสิ่งแวดล้อมในชุมชนพบว่าแหล่งหนังสือที่สำคัญที่กลุ่มตัวอย่างสามารถเข้าถึงได้มากที่สุดคือร้านเช่าหนังสือของภาคเอกชน
- ด้านทัศนคติและแรงจูงใจส่วนบุคคลของกลุ่มตัวอย่างในเรื่องการอ่านหนังสือ พบว่า นักเรียนกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีทัศนคติต่อการอ่านอยู่ในระดับปานกลางถึงระดับดี แต่มีแรงจูงใจในการอ่านหนังสืออยู่ในระดับปานกลางถึงระดับต่ำซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าปัจจัยแวดล้อมตัวเด็กยังขาดการกระตุ้นหรือการสร้างแรงจูงใจให้เด็กอยากอ่านหนังสือจริงๆ ทำให้แม้เด็กจะมีทัศนคติต่อการอ่านหนังสือไปในทางที่ดีแต่ก็ยังขาดแรงจูงใจที่จะแสดงออกพฤติกรรมการอ่านหนังสือ
- ด้านพฤติกรรมการอ่านหนังสือของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง พบว่า ประเภทหนังสือที่กลุ่มตัวอย่างนิยมอ่านมากที่สุดคือ การ์ตูน โดยแหล่งที่มาของหนังสือที่นักเรียนกลุ่มตัวอย่างอ่านนั้นมาจากการซื้อหามาด้วยตนเองเป็นอันดับแรก และรองลงมาเป็นการเช่าจากร้านให้เช่าหนังสือของเอกชนแสดงให้เห็นว่าการอ่านหนังสือของกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ยังมีค่าใช้จ่ายเป็นตัวเงินที่จะได้มาซึ่งหนังสือที่อ่าน หน่วยงานหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องยังไม่สามารถจัดสภาพแวดล้อมหรือจัดกิจกรรมที่เอื้อต่อการให้บริการด้านหนังสือโดยไม่มีค่าใช้จ่ายหรือมีค่าใช้จ่ายน้อยได้
- ด้านปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการอ่านหนังสือของกลุ่มตัวอย่างพบว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการอ่านหนังสือของกลุ่มตัวอย่างมากที่สุดคือ รายได้ของครอบครัว ซึ่งสะท้อนถึงฐานะทางเศรษฐกิจที่จะกำหนดความสามารถในการเข้าถึงหนังสือหรือความสามารถที่จะมีค่าใช้จ่ายในการจัดหาหนังสือมาอ่าน รวมทั้งบทบาทของครอบครัวในการกำกับดูแลให้นักเรียนมีพฤติกรรมการอ่านหนังสือที่เหมาะสม และปัจจัยรองลงมาคือสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการเข้าถึงการอ่านหนังสือได้ง่ายสะท้อนผ่านตัวแปรเขตการศึกษา การจัดสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการส่งเสริมการอ่านหนังสือของเด็กจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ และปัจจัยที่สำคัญอีกประการหนึ่งจากข้อค้นพบในการศึกษาครั้งนี้คือ บทบาทของผู้ปกครองในการกำกับดูแลและจัดหาหนังสือให้เด็กอ่านเนื่องด้วยการอ่านหนังสือของกลุ่มตัวอย่างซึ่งอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นยังต้องอาศัยการกระตุ้นและกำกับดูแลจากผู้ปกครองเป็นสำคัญ การสร้างความตระหนักเห็นคุณค่าในการส่งเสริมการอ่านหนังสือให้กับบุตรหลานของครอบครัวผู้ปกครอง จึงเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อการเกิดพฤติกรรมการอ่านหนังสือของเด็กวัยนี้เป็นอย่างยิ่ง โดยสามารถสรุปปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการอ่านหนังสือของกลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้ ได้ดังนี้
- ความสามารถในการเข้าถึงหนังสือ
- บทบาทของผู้ปกครองในการกำกับดูแลและจัดหาหนังสือให้อ่าน
- การจัดสิ่งแวดล้อมทางสังคมที่เอื้อต่อการส่งเสริมการอ่าน ทั้งด้านบริการแหล่งหนังสือ และด้านกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน
จากข้อค้นพบที่น่าสนใจเหล่านี้ นำมาซึ่งการเสนอข้อเสนอแนะต่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับงานการส่งเสริมการอ่านหนังสือของประเทศ ดังรายละเอียดในหัวข้อต่อไป
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
จากที่คณะกรรมการส่งเสริมการอ่านเพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนการส่งเสริมการอ่านให้เกิดเป็นรูปธรรมได้มีเป้าหมายในการพัฒนาความสามารถในการอ่านและการรู้หนังสือของคนไทยและเพิ่มปริมาณการอ่านหนังสือของคนไทย จากเดิมเฉลี่ยอ่านปีละ 5 เล่มต่อคน เป็น 10 เล่มต่อคน ภายในปี พ.ศ. 2555 นั้น จากข้อค้นพบในงานวิจัยนี้ ผู้วิจัยจึงมีข้อเสนอแนะที่อาจเป็นประโยชน์ในการกำหนดนโยบายและการส่งเสริมการอ่านให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวที่ตั้งไว้ โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน ดังนี้
- สร้างสิ่งแวดล้อมในครอบครัวที่เอื้อต่อการส่งเสริมการอ่านหนังสือ หน่วยงานที่ทำงานโดยตรงกับกลุ่มผู้ปกครอง เช่น กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ที่มีบทบาทในการดูแลการตั้งครรภ์ของหญิง ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของครอบครัวที่จะต้องมีบทบาทในการดูแลบุตรที่กำลังจะเกิดมา โรงเรียนต่างๆ ทั้งที่อยู่ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ และโรงเรียนในสังกัดอื่นๆ สถานประกอบการทั้งภาครัฐและเอกชน ควรที่จะรณรงค์ให้ผู้ปกครองมีความตระหนักเห็นคุณค่าการส่งเสริมการอ่านหนังสือในครอบครัวโดยผู้ปกครอง เห็นคุณค่าการอ่านหนังสือ เป็นแบบอย่างในการอ่านหนังสือ และกำกับดูแลให้เด็กอ่านหนังสือ เนื่องด้วยเด็กในวัยนี้จำเป็นต้องสร้างนิสัยรักการอ่านด้วยการกำกับดูแลจากผู้ปกครองเป็นสำคัญ รวมทั้งการจัดหาหนังสือให้กับเด็กซึ่งนอกจากผู้ปกครองจะมีความตระหนักเห็นคุณค่าการส่งเสริมการอ่านแล้วยังต้องมีความรู้ความเข้าในในการจัดหาหนังสือหรือการเลือกหนังสือให้มีความเหมาะสมกับวัยของเด็กด้วย ดังนั้น การรณรงค์ส่งเสริมการอ่านในครอบครัวจึงไม่ได้เป็นเพียงการรณรงค์ให้รักการอ่านในภาพกว้างๆ แต่ต้องมีการลงรายละเอียดถึงหลักการและวิธีการที่ผู้ปกครองจะสามารถเรียนรู้และนำไปปฏิบัติได้จริง อีกทั้งมีเครื่องมือที่ช่วยในการปฏิบัติ เช่น จัดทำคู่มือ “การเลี้ยงดูบุตรด้วยหนังสือ” (เป็นคู่มือที่อธิบายถึงประโยชน์ของการส่งเสริมการอ่านหนังสือให้กับเด็ก และวิธีการการส่งเสริมการอ่านหนังสือ รวมทั้งการเลือกหนังสือที่เหมาะสมกับช่วงวัยให้กับเด็ก) แจกให้กับผู้ปกครองหรือมีการจัดอบรมผู้ปกครองในประเด็นดังกล่าวเพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจในเรื่องการส่งเสริมการอ่านหนังสือให้กับครอบครัวซึ่งเป็นสถาบันแรกและสำคัญยิ่งต่อการสร้างประชากรที่มีคุณภาพ โดยงานการส่งเสริมการอ่านในครอบครัวนั้นสามารถทำผ่านหน่วยงานได้หลายหน่วยงานที่มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้ปกครอง เช่น กรมอนามัยที่เป็นหน่วยแรกในการอภิบาลหญิงตั้งครรภ์ โรงพยาบาลในแผนกด้านแม่และเด็ก โรงเรียน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่สามารถจัดสรรงบประมาณในการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจด้านการส่งเสริมการอ่านในครอบครัวให้กับคนในชุมชนด้วยวิธีการต่างๆ รวมทั้งกระทรวงศึกษาธิการที่จะต้องสนับสนุนให้ผู้ปกครองมีความเข้าใจและมีบทบาทในการส่งเสริมการอ่านให้กับบุตรหลานของตน ซึ่งอาจจัดหลักสูตรห้องเรียนผู้ปกครองโดยเป็นภาคบังคับในแต่ละภาคการศึกษาที่ผู้ปกครองจะต้องได้รับการอบรมเรื่องการส่งเสริมการอ่านหนังสือให้กับบุตรหลาน และเพื่อให้เกิดระบบการกำกับให้มีการปฏิบัติจริงอย่างต่อเนื่องอาจสร้างกลไกติดตามการส่งเสริมการอ่านในครอบครัวผ่านการเรียนการสอนวิชาภาษาไทย เช่น มีตารางเวลากำกับการอ่านหนังสือร่วมกับผู้ปกครอง โดยในทุกสัปดาห์นักเรียนจะต้องมารายงานผลการใช้เวลาอ่านหนังสือร่วมกับผู้ปกครองอย่างน้อย 1ครั้ง ให้คุณครูและเพื่อนนักเรียนได้รับทราบรวมทั้งรายงานปัญหาอุปสรรคในการอ่านหนังสือร่วมกันกับผู้ปกครองเพื่อให้คุณครูและเพื่อนนักเรียนได้ให้แนวทางการแก้ไขปัญหาเพื่อพัฒนาการส่งเสริมการอ่านในครอบครัวต่อไป ซึ่งกล่าวได้ว่า การสร้างสิ่งแวดล้อมในครอบครัวให้เอื้อต่อการส่งเสริมการอ่านหนังสือนั้นนอกจากหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องต้องมีส่วนเข้ามาส่งเสริมแล้วกระทรวงศึกษาธิการเองก็จะต้องเป็นหลักในการทำงานกับผู้ปกครองเพื่อพัฒนาการส่งเสริมการอ่านหนังสือในครอบครัวไทยให้เกิดขึ้น
- สร้างสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนที่เอื้อต่อการส่งเสริมการอ่านหนังสือ
- พัฒนาห้องสมุดให้มีกิจกรรมส่งเสริมการอ่านที่เข้าถึงเด็กนักเรียนอย่างแท้จริง เนื่องด้วยจากข้อค้นพบแสดงให้เห็นว่าในด้านกายภาพของห้องสมุดในโรงเรียนค่อนข้างเป็นที่พึงพอใจของนักเรียนแต่สิ่งที่ยังขาดคือกิจกรรมการส่งเสริมการอ่านของห้องสมุดที่จะต้องพัฒนาให้เป็นกิจกรรมเชิงรุกมากขึ้นไม่ใช่เป็นเพียงแหล่งหนังสือที่ให้นักเรียนมาอ่านหรือมายืมหนังสือเท่านั้น เช่น ควรมีการเชิญชวนประชาสัมพันธ์รณรงค์ส่งเสริมการอ่าน จัดกิจกรรม นิทรรศการต่างๆของห้องสมุด เพื่อให้นักเรียนได้รับการกระตุ้นเรื่องการอ่านหนังสือมากขึ้น ทำให้ห้องสมุดมีบรรยากาศของการเรียนรู้อย่างกระตือรือร้น เช่น มีมุมการเล่านิทาน หรือเล่าเรื่องในหนังสือที่น่าสนใจ แนะนำหนังสือที่ดี มีการจัดเวทีพูดคุยเกี่ยวกับหนังสือโดยบุคคลที่อยู่ในความสนใจของเด็กๆ โดยจะต้องเป็นกิจกรรมที่ให้นักเรียนเป็นผู้ร่วมคิดร่วมทำด้วยจึงจะเป็นกิจกรรมที่มีประสิทธิผลและบรรลุเป้าหมายในการเข้าถึงตัวเด็ก
- สร้างครูบรรณารักษ์ที่สามารถทำงานส่งเสริมการอ่านได้จริง โดยเป็นครูบรรณารักษ์ที่ทำงานส่งเสริมการอ่านเชิงรุก สามารถจัดหาและแนะนำหนังสือตามความต้องการของเด็กได้ สามารถวางแผนระบบการบริการเชิงรุก แผนการประชาสัมพันธ์ และการสร้างบรรยากาศแห่งการเรียนรู้ในห้องสมุด โดยตัวครูบรรณารักษ์เองจะต้องมีความตระหนักเห็นคุณค่าการอ่านหนังสือ เป็นแบบอย่างในการอ่านหนังสือ มีทักษะและเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการส่งเสริมการอ่านหนังสือให้กับนักเรียน
- สร้างความตระหนักและการเห็นคุณค่าการอ่านหนังสือและพัฒนาทักษะการส่งเสริมการอ่านให้ครูผู้สอน เนื่องด้วยครูยังขาดความเป็นแบบอย่างในเรื่องการอ่านหนังสือเพราะยังไม่มีความตระหนักถึงคุณค่าการอ่าน หน่วยงานภาคนโยบายและบริหารงานจึงต้องจัดสรรงบประมาณในการอบรมครูผู้สอนให้เห็นคุณค่าและเข้าใจกระบวนการการส่งเสริมการอ่านและเพิ่มทักษะการบูรณาการเรื่องการส่งเสริมการอ่านเข้ากับการสอนของตนเอง อีกทั้งควรมีการบรรจุมาตรการด้านการส่งเสริมการอ่านลงไปในหลักสูตรการเรียนการสอนเพื่อให้มีการส่งเสริมการอ่านในระบบโรงเรียนอย่างเข้มข้น
- สร้างสิ่งแวดล้อมในชุมชนที่เอื้อต่อการส่งเสริมการอ่าน
3.1)พัฒนาแหล่งหนังสือที่มีอยู่ในชุมชนให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น เช่น ห้องสมุดประชาชนที่มีอยู่ควรมีการพัฒนารูปแบบบริการที่หลากหลายและทันสมัยมากขึ้นและมีการประชาสัมพันธ์ให้คนเข้าไปใช้บริการ รวมทั้งสวนสาธารณะที่นอกจากจะเป็นสถานที่ออกกำลังกายหรือพักผ่อนหย่อนใจแล้วยังสามรถสร้างมุมอ่านหนังสือเพื่อเพิ่มช่องทางการอ่านหนังสือให้กับคนในชุมชนมากขึ้น เป็นการบริหารจัดการพื้นที่ที่มีอยู่ให้เป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสร้างสิ่งแวดล้อมในชุมชนให้เอื้อต่อการส่งเสริมการอ่านนั้น เช่น สำนักงานกรุงเทพมหานคร ซึ่ง ณ ปัจจุบันก็มีการขับเคลื่อนในเรื่องนี้อยู่ และองค์การบริหารส่วนตำบลทั้งหลายที่สามารถนำแนวคิดนี้ไปกำหนดนโยบายของท้องถิ่นได้
3.2)ควรมีการเชื่อมต่อระบบบริการหนังสือระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน
เนื่องด้วยจากผลการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่างมีแหล่งการเข้าถึงหนังสือในชุมชนน้อยมาก โดยแหล่งสำคัญคือ ร้านเช่าหนังสือของเอกชน สอดคล้องกับข้อค้นพบเรื่องแหล่งที่มาของหนังสือส่วนใหญ่ที่กลุ่มตัวอย่างอ่านก็พบว่ามาจากการซื้อเองและการเช่าจากร้านเช่า ทำให้เห็นแนวโน้มของพฤติกรรมการบริโภคหนังสือของเยาวชนกลุ่มตัวอย่างที่ค่อนข้างมีการรับบริการจากภาคเอกชนมาก ผู้วิจัยจึงเห็นควรพัฒนาแหล่งหนังสือ โดยเฉพาะในส่วนของภาคเอกชน เช่น ร้านเช่าหนังสือหรือร้านขายหนังสือ โดยมีการเชื่อมโยงระหว่างกลไกรัฐกับภาคเอกชน เช่น มีมาตรการสนับสนุนธุรกิจเหล่านี้จากรัฐ อันได้แก่ มาตรการด้านการลดหย่อนภาษี การสนับสนุนหนังสือที่จะนำมาให้เช่าในร้าน เพื่อเป็นการหนุนเสริมเพิ่มการเข้าถึงหนังสือของเยาวชน โดยถ้าร้านเช่าเหล่านี้ สามารถหาหนังสือที่ดี หลากหลาย และมีความน่าสนใจมาให้บริการเช่าได้ในราคาที่ถูกก็จะช่วยดึงดูดความสนใจของเยาวชนให้อ่านหนังสือมากขึ้น
3.3)จัดรณรงค์ส่งเสริมการอ่านในชุมชนและจัดสรรงบประมาณท้องถิ่นเพื่อ
การส่งเสริมการอ่านหนังสือ โดยมีการกำหนดแผนงานการส่งเสริมการอ่านให้อยู่ในแผนระดับชุมชน เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนในระดับท้องถิ่นในการรณรงค์ส่งเสริมการอ่านซึ่งสามารถทำได้ในหลากหลายรูปแบบ เช่นการสร้างศูนย์การเรียนรู้ ห้องสมุดชุมชนที่มีการบูรณาการหลายเรื่องของท้องถิ่นเข้าด้วยกันโดยการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน หรือการจัดสวัสดิการให้ในด้านการพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กในครัวเรือน เช่นครัวเรือนที่มีเด็ก จะได้รับสวัสดิการเป็นเงินที่สามารถนำไปเลือกซื้อหนังสือให้เด็กอ่านได้ปีละ 2 เล่ม เป็นต้น
- สร้างสิ่งแวดล้อมในสังคมที่เอื้อต่อการส่งเสริมการอ่าน
4.1) รณรงค์เผยแพร่การส่งเสริมการอ่านผ่านสื่อต่างๆ เนื่องจากรัฐบาลได้กำหนดให้การอ่านเป็นวาระแห่งชาติ และมีเป้าหมายในการพัฒนางานด้านนี้ จึงสมควรที่จะมีการรณรงค์ผ่านสื่อต่างๆ เพื่อสร้างกระแสด้านการอ่าน เช่น เพิ่มการสนับสนุนรายการวิทยุและรายการโทรทัศน์ส่งเสริมการอ่านให้มีจำนวนมากขึ้น เป็นต้น
4.2) ปรับยุทธศาสตร์การทำงานส่งเสริมการอ่านให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงด้านการอ่านหนังสือและธรรมชาติของประชากรกลุ่มเป้าหมาย เนื่องด้วยจากข้อค้นพบของการศึกษาครั้งนี้เราพบว่ากลุ่มตัวอย่างนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นมีการอ่านหนังสือเฉลี่ยใน 1เดือนก่อนการสำรวจเท่ากับ 21เล่ม ซึ่งพอที่จะสะท้อนได้ว่าในหนึ่งปีกลุ่มตัวอย่างมีแนวโน้มที่จะอ่านหนังสือมากกว่า 10เล่มแน่นอน เพราะฉะนั้นจากการวางนโยบายและเป้าหมายด้านการส่งเสริมการอ่านให้สอดรับกันนโยบายชาติกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่ได้ตั้งเป้าว่าภายใน 3 ปี สถิติเด็ก กทม.ที่อ่านหนังสือจะเพิ่มขึ้น คิดเป็น 10 เล่มต่อปีต่อคนนั้นอาจจะต้องมีการศึกษาสภาพการอ่านหนังสือของเด็กในเขตกรุงเทพมหานครอย่างแท้จริง เพื่อกำหนดนโยบายให้มีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่ และเพื่อความชัดเจนมากขึ้นในการกำหนดนโยบาย เช่น ใน 10เล่มที่ตั้งเป้าไว้นั้น จะต้องมีการกำหนดประเภทหนังสืออย่างชัดเจน เป็นต้น และในการวางแผนเพิ่มช่องทางการเข้าถึงหนังสือให้กับเยาวชนนั้นจะต้องมีความสอดคล้องกับธรรมชาติวิถีชีวิตของเยาวชนปัจจุบันโดยบูรณาการเข้ากับฐานข้อมูลการวิจัยในระดับมหภาคที่สะท้อนวิถีชีวิตเยาวชนไทยในปัจจุบัน เช่น การวิจัยเกี่ยวกับการใช้เวลาว่างของเยาวชนไทย เพื่อนำการส่งเสริมการอ่านเข้าไปในวิถีชีวิตของเยาวชน ตัวอย่างเช่นการจัดพื้นที่การอ่านให้มากขึ้นในห้างสรรพสินค้าหรือสถานบันเทิงหรือสถานที่อื่นๆที่เป็นแหล่งรวมตัวของกลุ่มเยาวชน
4.3) พัฒนาสื่อหนังสือให้มีความน่าสนใจและเหมาะสมกับความต้องการของเด็ก เนื่องด้วยผลการศึกษาในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มตัวอย่างซึ่งอยู่ในช่วงวัยรุ่นมีการอ่านหนังสือการ์ตูนมากที่สุดเพราะฉะนั้นการพัฒนาเนื้อหาและรูปแบบหนังสือให้สอดคล้องกับความต้องการของเยาวชนจึงเป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มพฤติกรรมการอ่านในกลุ่มเด็กและเยาวชน เช่น การพัฒนาหนังสือการ์ตูนให้มีรูปแบบที่น่าสนใจ มีเทคนิคการเล่าเรื่องที่ดีโดยใส่เนื้อหาที่เป็นประโยชน์ เช่น เรื่องของบุคคลที่เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับวัยรุ่นได้ หรือเนื้อหาที่มีความรู้เจาะลึกไปในวิชาชีพบางวิชาชีพเพื่อให้ผู้อ่านได้รู้และเข้าใจในวิชาชีพนั้นๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการเปิดโลกทัศน์ให้กับผู้อ่านได้ การพัฒนาเนื้อหาหนังสือและรูปแบบหนังสือให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้อ่านจึงเป็นสิ่งที่รัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญและศึกษาหาแนวทางในการพัฒนาหนังสือให้ตอบสนองความต้องการต่อประชากรทุกช่วงวัยอย่างแท้จริง
4.4) สร้างสถาบันหรือหน่วยงานกลางในการพัฒนาระบบหมุนเวียนหนังสือของประเทศ เนื่องด้วยข้อค้นพบประเด็นสำคัญที่สุดของการศึกษานี้คือ ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการอ่านหนังสือสูงสุดคือการเข้าถึงหนังสือของกลุ่มตัวอย่าง ผู้วิจัยจึงเห็นว่าการพัฒนาระบบหมุนเวียนหนังสือเพื่อให้มีการเข้าถึงหนังสือได้โดยง่ายและหลากหลายมากขึ้นเป็นสิ่งที่สำคัญ จึงควรมีหน่วยงานที่จะเป็นศูนย์กลางในการทำงานด้านนี้ของประเทศอย่างเฉพาะเจาะจงเพื่อให้มีการเชื่อมต่อเครือข่ายหนังสือที่มีอยู่ในทุกภาคส่วนให้เป็นหนึ่งเดียวกันทั้งประเทศ เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการกระจายหนังสือมากขึ้น และแนวทางในการกระจายหนังสือหรือหมุนเวียนหนังสือจะต้องมีช่องทางที่หลากหลายมากขึ้นไม่ใช่เพียงในห้องสมุดของภาครัฐเท่านั้นแต่จะต้องมีนวัตกรรมหรือรูปแบบใหม่ๆ เกิดขึ้นในการกระจายหนังสือให้ถึงมือเด็ก ซึ่งหน่วยงานกลางดังกล่าวนี้จะต้องค้นหาและพัฒนานวัตกรรมการส่งเสริมการอ่านของสังคมไทยต่อไป