Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

นักเขียนไทย ในเกลียวคลื่นสังคมใหม่

 

 
แม้วรรณกรรมไทยจะถูกกระแสคลื่นวรรณกรรมแปลจากต่างประเทศถาโถมจนบางครั้งอาจกวัดแกว่งไปบ้าง โดยเฉพาะงานแปลนิยายรักเกาหลี-ญี่ปุ่นที่ทะลักเข้ามาจนกลายเป็นแฟชั่นของกลุ่มวัยรุ่นในขณะนี้ หรือแม้กระทั่งวรรณกรรมกระแสหลักจากฟากฝั่งตะวันตกที่ไหลเข้ามาไม่ขาดสายเช่นกัน
 
ท่ามกลางสภาวการณ์ดังกล่าวยังมีกลุ่มนักเขียนไทยที่ยังยืนโต้คลื่นพายุลูกแล้วลูกเล่าอย่างทระนง และยังคงสร้างสรรค์งานเขียนที่แสดงอัตลักษณ์ และความเป็นตัวตนของนักเขียนได้อย่างชัดเจน โดยไม่ถูกพัดพาให้ไหลไปตามกระแส หรือทำให้รู้สึกหวั่นไหว
 
ทั้งนี้สืบเนื่องจากการเสวนา 'วรรณศิลป์ไทยในกระแสสังคมโลกาภิวัตน์' ที่จัดโดย กองทุนกฤษณา อโศกสิน ในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติที่ผ่านมา ซึ่งมีแง่มุมหลายอย่างที่น่านำมาขบคิดสำหรับนักเขียนยุคปัจจุบัน ทั้งในแง่ของแนวคิดการผลิตงานเขียน หรือแม้กระทั่งความพยายามผลักดันผลงานดีๆ ของไทยออกไปสู่สายตาชาวโลกบ้าง หลังจากที่ต้องนำเข้าหนังสือแปลต่างประเทศมานาน
 
การถกเถียงจึงนับว่ามีสีสันมาทีเดียว เริ่มจาก ชาติ กอบจิตติ นักเขียนผู้สร้างสายธารวรรณกรรมแนวสมจริง (realistic) เจ้าของผลงานเรื่อง พันธุ์หมาบ้า, คำพิพากษา, จนตรอก และเวลา ที่ได้รับการกล่าวขานถึงมากที่สุดสำหรับวงวรรณกรรมวิจารณ์ ซึ่งเขาได้พูดถึงความพยามที่จะแปลวรรณกรรมไทยออกไปต่างประเทศว่า
 
"ผมว่าเรากำลังหลงประเด็น ภาษาอังกฤษไม่ได้หมายความว่าแค่ฝรั่งอ่าน ต้องยอมรับว่าใครก็อ่านได้ทั่วโลก อาจจะเป็นคนจีนหรือญี่ปุ่นที่อ่านภาษาอังกฤษได้ เป้าหมายคือ กลุ่มคนที่ใช้ภาษาอังกฤษได้ บางคนกำลังคิดว่าถ้าเขียนเรื่องให้ฝรั่งอ่าน จำเป็นจะต้องเขียนเรื่องให้เหมือนฝรั่ง ผมว่ากำลังเดินทางผิด ฝรั่งที่อยู่นิวยอร์กคงไม่ต้องการจะรู้เรื่องนิวยอร์กเท่าไหร่ ถ้าผมเขียนเรื่องคลองหมาหอนมันจะน่าสนใจกว่า เพราะไม่อย่างนั้นสินค้าจะไปซ้ำกัน ทำให้ไม่มีความต่าง และคงไม่ต้องไปแก้เรื่องท่วงทีการเขียน เรายืนยันการเป็นตัวของตัวเอง เหมือนเรามีการรำไทย ดนตรีไทย ถ้าไปเล่นเป็นออร์เคสตราก็สู้เขาไม่ได้
 
ผมว่าต้องเอาสิ่งที่มีผลักดันออกไป ซึ่งสำหรับนักเขียนรุ่นหลังจากผมไปจะลำบากเหนื่อย เพราะว่าทุกวันนี้ทั่วโลกอ่านหนังสือเล่มเดียวกัน พอขึ้นเบสท์เซลเลอร์ที่เมืองนอก เมืองไทยมีขายมีแปลแล้ว เหมือนวัฒนธรรมกินไก่เคเอฟซีมีทั่วโลก นักเขียนใหม่ๆ จะลำบาก พิมพ์แล้วขายไม่ได้ อะไรที่ไม่มีกำไร สำนักพิมพ์ไม่รู้จะมาพิมพ์ทำไม เขาคงเลือกเล่มดังๆ ที่ขายได้ แต่ผมอยากบอกว่าเมื่อคุณนำเข้าแล้ว น่าจะนำออกไปบ้าง กำไรขนาดนั้นเจียดมาสักล้านหนึ่ง คิดเสียว่าทำเพื่อวรรณกรรมไทย แต่อย่าไปหวังว่าฝรั่งจะอ่าน ผมอยากให้ประเทศไกลๆ ที่อ่านภาษาไทยไม่ได้ ได้อ่านภาษาอังกฤษ อย่างน้อยๆ ให้เขาได้รู้ว่าคนไทยเขียนหนังสือได้ เขียนหนังสือเป็น อันนี้ต่างหากที่เราควรตระหนักกัน
 
แต่สำหรับผมเชื่ออย่างหนึ่งว่างานดีๆ ไม่ต้องกลัวหรอก วันนี้ไม่ได้แปล วันหน้าต้องได้แปล เพราะของดีน่าจะอยู่ ถ้าดีจริง อาจจะไม่ต้องดิ้นรนกันวันสองวัน แต่ทำอย่างไรถึงจะให้คนของเราอ่านหนังสือเยอะๆ ก่อน อันนี้เป็นปัญหาใหญ่ ปัญหาเฉพาะหน้าที่ควรจะต้องตระหนักกัน ถ้าไม่มีคนอ่าน หวังไปข้างนอกคงลำบาก แต่สิ่งที่น่าจะเป็นไปได้คือเมื่อเราซื้อลิขสิทธิ์เขามา 10 เล่ม เราน่าจะขายให้เขาได้สักเล่มหรือบังคับขาย เหมือนเอาสินค้าไปแลกเปลี่ยน โดยองค์กรหรือสมาคมต่างๆ นี่แหละ ไม่ต้องไปหวังจะให้รัฐบาลมาช่วยหรอก"
 
ด้าน คุณหญิงวิมล ศิริไพบูลย์ เจ้าของนามปากกา 'ทมยันตี-โรสลาเรน-ลักษณวดี-กนกเรขา' นักเขียนนวนิยายที่ครองใจคนอ่านมายาวนานถึงครึ่งศตวรรษ ตลอดการทำงานบนเส้นทางนักเขียนยาวนานกว่า 55 ปี ปัจจุบันมีผลงานประพันธ์ครบ 100 เรื่อง มองและเล่าถึงผลิตผลที่ได้จากการมองสภาวการณ์ของสังคมที่เป็นเรื่องภายในประเทศและต่างประเทศว่า
 
"เรื่องภายในประเทศมีการตั้งพล็อตเพื่อจะเขียนในเรื่องที่จะให้ความรู้ ซึ่งการเขียนเรื่องใหม่ๆ นั้นยากมาก ยกตัวอย่างเช่น 'ประกาศิตเงินตรา' ตอนที่เขียนนั้นยังไม่เกิดภาวะฟองสบู่ แต่มันใกล้เต็มทีแล้ว ในฐานะที่เรียนๆ ตกๆ พาณิชยศาสตร์-การบัญชี เศรษฐศาสตร์ หรือเรื่องกฎหมายล้มละลาย ที่ต้องสอบซ่อมปีละสองครั้งเสมอ ภูมิความรู้จึงแน่นมากเลย (ฮา) ดังนั้นเริ่มมองในฐานะที่เรียนการเงิน (finance) ถ้าเป็นอย่างนี้ประเทศไทยต้องล้มแน่ จึงเริ่มต้นเขียน 'ประกาศิตเงินตรา' แล้วต่อมาแบงก์ของฟิลิปปินส์เริ่มล้ม ก่อนจะมาเป็นไทย นี่คือการเขียนที่เอาหลักวิชาเข้าไปจับว่า ทำอย่างไรจะเอาเรื่องของการโค่นล้ม และการกุมอำนาจแบงก์มาเขียนให้คนอ่านเข้าใจซึ่งเป็นเรื่องยากเย็นที่สุด
 
แต่คนอ่านเมืองไทยชอบอ่านเรื่องน้ำลายแม่ค้าน้ำตาผัว รักกันหนาพากันหนี ครั้งหนึ่งมีเจ้าชายองค์หนึ่งกับเจ้าหญิงองค์หนึ่งอย่าง 'ดั่งดวงหฤทัย' คนที่ต่ำที่สุดคือเสนาบดี นอกนั้นใหญ่โตมโหฬารทั้งนั้น แสดงว่าคนไทยชอบดูยี่เก ชอบเรื่องเจ้าชายกับเจ้าหญิง เหมือนเขียนนิทานให้ฟัง ทั้งที่ความจริงแล้ว 'ดั่งดวงหฤทัย' เป็นนิทานที่เล่าให้ลูกฟังตอนขับรถอยู่บนภูเขาแอลฟ์ เพราะไม่อยากให้ลูกหลับ กลัวรถตกภูเขา เลยต้องเล่านิทานเจ้าหญิงองค์หนึ่งเจ้าชายองค์หนึ่ง…แล้วชี้ทะเลสาบอยู่ทางโน้นทางนี้ เล่าไปเรื่อย หลอกไปเรื่อย กระทั่งจอดรถได้ ทั้งแม่และลูกรอดชีวิต"
 
และกล่าวต่อว่า "ถ้าเป็นเรื่องของการเมืองและอำนาจรัฐ เรื่อง 'ในฝัน' ที่เขียนตั้งแต่อายุ 19 เล่าถึงการครองอำนาจรัฐด้วยหลักการทูต การครองอำนาจรัฐด้วยวิธีการปกครอง แต่ถ้าพูดถึงปัญหาคนไทยไม่ยอมรับ เนื้อหาที่เตรียมไว้เป็นตั้งๆ เหลือนิดเดียว เพราะถึงเขียนขายไม่มีคนอ่าน ไม่ยอมอ่านดื้อๆ จะทำอย่างไร นี่คือส่วนที่นักเขียนต้องยำย่อยลงไป พยายามให้คนอ่านเข้าใจในเนื้อหาอย่างนั้นด้วย อย่างเรื่อง 'เจ้าชายแห่งรัตติกาล' สอนการยุทธ์ทางเรือใบ เล่าถึงการรบของกองเรือระหว่างสเปนกับอังกฤษ การยุทธ์ขณะนั้นเป็นอย่างไร หรือที่กำลังอยากเขียนมากคือเรื่องเกี่ยวกับรัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันของตะวันออกกลาง ผู้ที่เมื่อใดพูด ทั้งโลกต้องฟัง ราคาน้ำมันจะขึ้นหรือลงขึ้นอยู่กับคนนี้"
 
สำหรับนวนิยายที่ได้รับการแปลเป็นภาษาต่างประเทศนั้น นวนิยายอมตะเรื่อง 'คู่กรรม' ได้รับการแปลเป็นภาษาญี่ปุ่น และพิมพ์ซ้ำถึง 6 ครั้ง และรัฐบาลญี่ปุ่นกำลังสร้างเป็นภาพยนตร์ เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างไทยกับญี่ปุ่น รวมถึง 'พิษสวาท' กับ 'ในฝัน' กำลังแปลเป็นภาษาอังกฤษโดยกระทรวงต่างประเทศ
 
"ถามว่าเมื่อเราอ่านเรื่องแปลของฝรั่ง เรื่องแปลของเยอรมนี ยิ่งตอนนี้เรื่องแปลของเกาหลี-ญี่ปุ่นเยอะมาก ทำไมไทยไม่แปลของเราออกไปขายบ้าง แต่ปัญหามันมี เวลาไปต่างประเทศอย่างงานหนังสือที่แฟรงก์เฟิร์ต ศูนย์กลางที่เปลี่ยนแปลงหนังสือทั้งหมดของยุโรปนั้นอยู่ที่เยอรมนี เราไปยืนดูว่าเขาพิมพ์หนังสือเป็นอย่างไร หน้าปกเป็นอย่างไร และเทรนด์ของหนังสือเป็นอย่างไร ซึ่งหนังสือที่ขายได้แน่ๆ และเจ็บปวดที่สุด คือหนังสือระลึกชาติ ถ้าแปลจากของฝรั่งมา คนไทยเชื่อ แต่พอนักเขียนไทยพูดถึงเรื่องระลึกชาติ กลับบอกว่างมงาย ทุกวันนี้หนังสือพระพุทธศาสนาที่ฝรั่งเอาไปแปลแล้วเพี้ยนไปหมดนั้น มันขายได้ ดิฉันกำลังจะเอาชุดจิตวิญญาณและพุทธศาสนาของตัวเองแปลกลับไปขายฝรั่งบ้าง ปัญหาเกิด ไม่มีมือแปล อย่าง 'สุริยวรรมัน' ใครจะแปลได้ เพราะแต่งเป็นกาพย์ตั้งแต่คำแรกจรดคำสุดท้าย ทุกวรรคส่งสัมผัสหมด นี่คือปัญหาซึ่งจะหาคนใช้ภาษาอังกฤษที่ดีแล้วแปลกลับไปขายฝรั่งไม่มี ฉะนั้นไม่รู้จะทำอย่างไร"
 
นักเขียนพร้อมที่จะนำเสนอเรื่องใหม่ๆ อยู่แล้ว "อยากถามว่าคนอ่านพร้อมไหมที่จะรับเรื่องเหล่านี้ ถามว่านักเขียนรู้ไหมกับโลกาภิวัตน์ ขณะนี้นักเขียนรู้ไปจนถึงขนาดว่าการเมืองในเอเชียเป็นยังไง สิ่งที่อยากเขียนใจจะขาดคือตอนนี้เรากำลังเกิดเอเชียบอนด์ ถ้าเมื่อไหร่ตั้งเอเชียบอนด์ได้เหมือนกับเงินยูโร มันจะพลิกโลกเหมือนกัน ยิ่งนั่งมองยิ่งปากกาสั่นอยากเขียนๆ อยากเล่าจังเลยว่าอะไรมันจะเกิด เหมือนสนามบินสุวรรณภูมิ มันแยงตาประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ กำลังเกิดอะไรขึ้นในระบบการขนส่งทั้งหมด แต่เราพูดไม่ได้ ปัญหาทั้งหมดตรงนี้นักเขียนรู้ แต่คนอ่านรับได้ไหมถ้าเราเขียนวิชาการครึ่งหนึ่ง และนวนิยายครึ่งหนึ่ง โลกถึงแม้จะเปลี่ยนไปอย่างไรก็ตาม มันต้องเกี่ยวกับว่าคนอ่านสามารถรับวิวัฒนาการตัวนั้นได้ด้วยหรือไม่
 
ทุกวันนี้ได้แต่นั่งดูว่าเราน่าจะมีผลงานที่ออกไปสู่ต่างประเทศบ้าง มิใช่เสียดุลการค้า รับของเขาเข้ามาอยู่ตลอดเวลา หวังว่าเด็กรุ่นใหม่จะรับภาระนี้ต่อจากเรา เพื่อให้คนได้รู้จักนักเขียนไทยบ้าง ในขณะเดียวกันต้องมองด้วยว่าจะทำอย่างไรให้งานเขียนของเราโดดเด่นขึ้นมา ดังนั้นพยายามจะปั้นนักเขียนใหม่ๆ ขึ้นมา"
 
ขณะที่ สุวรรณา เกรียงไกรเพ็ชร์ ในฐานะนักวิจารณ์กลับมองกระแสสังคมใหม่ที่ส่งผลต่อนักเขียนไทยอีกด้านหนึ่งว่า "จริงๆ วรรณศิลป์ไทยหรือนักเขียนไทย จะอยู่ด้วยตัวเองในกระแส ไม่จำเป็นต้องคิดด้วยซ้ำไปว่ากระแสเวลานี้เป็นยังไง ไปถึงไหน โลกเป็นอย่างไร แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องปิดหูปิดตาไม่รับรู้กระแส ถ้ามองจริงๆ แล้วตัวตนของผู้เขียนต่างหากที่จะเป็นผู้สร้างให้เกิดกระแสนั้นขึ้นมา ต่อให้ได้ฟังความจริงว่าเรื่อง 'ดั่งดวงหฤทัย' ที่หลงรักกันจะตายนั้นเป็นนิทานเล่าให้ลูกฟัง ถึงตอนนี้ก็ยังหลงรักอยู่ดี นี่คือวรรณศิลป์จริงๆ ไม่ได้หมายความว่านึกอยากจะเขียนอะไรก็เขียน นึกจะพูดอะไรก็พูด แต่เป็นวรรณศิลป์ที่มีตัวตนของมันอย่างชัดเจน จำเป็นไหมที่จะต้องเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับคนอื่น
 
นอกจากนี้หนังสือแปลที่ไหลทะลักเข้ามามากมาย หลายคนตั้งคำถามว่าทำไมจึงมีแต่แปลเข้า แต่ไม่ได้มีการแปลออก หรือแปลจากภาษาไทยเป็นภาษาต่างประเทศบ้าง "การที่จะถ่ายจากภาษาหนึ่งไปสู่ภาษาอื่น มันต้องเป็นตัวตนที่แท้จริงในวัฒนธรรมตรงนั้นก่อน ถามว่าวรรณกรรมญี่ปุ่นเขาแปลอะไรกันเข้ามาบ้าง จริงๆ วรรณกรรมที่กำลังอยู่ในกระแสของญี่ปุ่น กลายเป็นกระแสเด็กๆ กระแสทีวี กระแสการ์ตูน วรรณกรรมดีๆ ของญี่ปุ่นแปลมาน้อยมาก เพราะว่ามันแปลยาก กว่าจะแปลออกมาแต่ละเล่ม ลองนึกดูแล้วกันว่าถ้าจะแปล 'พันธุ์หมาบ้า' หรือ 'สุริยวรรมัน' จะแปลยังไง ขนาดตัวเองยังต้องอ่านไปแปลไปอยู่ในตัว ต้องแปลไทยเป็นไทย สำนวนต่างๆ แม้แต่คำภาษาสันสกฤตโบราณที่เป็นรากเหง้าของเรายังไม่คุ้นเคย"
 
และสะท้อนปัญหาการเปิดรับกระแสอย่างกระตือรือร้นของสัมคมไทยว่า "กลัวว่าจะตกรถไฟหรือกลัวไปไม่ทัน คิดว่าควรจะมองดูตัวเองให้ชัดเจนดีกว่า ว่าได้เดินในวัฒนธรรมของตัวเองอย่างเต็มที่อย่างสุดฝีมือแค่ไหน อันนี้ต้องการบอกว่าไม่ต้องพยายามมองปัญหาของภาษามากนัก ถ้างานนั้นมีตัวตนที่ดีหรือมีสิ่งที่คนอื่นเขาอยากจะเรียนรู้ จะมีคนที่มารับทำตรงนี้ออกไปเอง คนที่เขาอยากแปล แสดงว่าเขาเห็นคุณภาพ เขาต้องอ่านและเข้าใจพอสมควร แต่ว่านักเขียนต้องตรวจอีกที เพราะว่าทุกวันนี้อ่านเรื่องที่เขาแปลๆ กันมา นึกว่าตัวเองภาษาต่างประเทศไม่ดีแล้ว ภาษาไทยยังแย่ด้วย ฉะนั้นภาษาเป็นเครื่องถ่ายทอดเท่านั้น แต่ว่าสิ่งที่อยู่ในภาษาคือตัวตน ความคิด จิตวิญญาณทั้งหลายสำคัญกว่า"
 
นอกจากนี้ ชาติ กอบจิตติ ที่ลงทุนพิมพ์งานของตัวเอง หรือแม้กระทั่งแปลเป็นภาษาอังกฤษเองด้วย กล่าวว่า "ตัวผมมีหนังสืออยู่ประมาณ 14 เล่ม ถ้าเทียบกับคนอื่นถือว่าน้อยมากในอาชีพเขียนหนังสือ แต่ทำอย่างไรที่จะให้หนังสือจำนวนนี้พิมพ์ซ้ำได้ทุกปี และนั่นคือประเด็นที่ผมมอง เรียนตามตรงว่าผมเป็นคนขี้เกียจและอยากสบาย ทำยังไงจึงจะให้หนังสือจำนวนน้อยๆ นี้อยู่ได้ สำหรับพิมพ์ซ้ำทุกปี วิธีเล่นแร่แปรธาตุคือพยายามเปลี่ยนปกอยู่เรื่อยๆ (หัวเราะ) เข้าปัญหาว่าทำอย่างไรถึงจะอยู่ได้ ผมมองว่าถ้าเราทำงานที่เราชอบ ที่เราสนุก จริงๆ ต้องมีคนที่ชอบเหมือนเราด้วย
 
ผมมีกลุ่มคนอ่านอยู่แล้วกลุ่มหนึ่ง ประมาณสัก 4-5 พันคน ซึ่งเราจะต้องดูแลเขาให้ดี ต้องซื่อสัตย์กับเขา งานทุกชิ้นที่จะออกไป หมายความว่าจะต้องทำตามสติปัญญาเต็มความสามารถของเรา และไม่เอาเปรียบเขา คิดเสมอว่าคนอ่านมีพระคุณกับผม เมื่อเรามีกลุ่มคนอ่านที่แน่นอน เราไม่จำเป็นจะต้องไปทำอะไรที่บางทีเขียนไปแล้วคนไม่อ่าน บางทีเราอยากเขียน แต่คนไม่อ่าน แต่ผมจะไม่กระทบปัญหาแบบนั้น เพราะคนอ่านของผมพร้อมที่จะไปกับผม จะลากไปไหนก็ไปด้วยกัน เพราะเราไม่เคยทรยศเขา ดังนั้นผมจะสบายใจในแง่ที่ว่าสามารถทำงานที่อยากทำได้ และคนอ่านตอบรับพอสมควร ทำให้มีอิสระในการทำงาน
 
ไม่ต้องกลัวเขาไม่อ่าน ตรงกันข้ามเขากลัวว่าเราจะไม่เขียนด้วยซ้ำ เพราะบางทีผมทำงานช้า" นักเขียนรางวัลซีไรต์ กล่าว
 
————-ล้อมกรอบ—————–
 
ประชาคม ลุนาชัย : เจ้าของผลงาน 'นิทานแสงเดือน' รวมเรื่องสั้นรอบสุดท้ายรางวัลซีไรต์ปีล่าสุด ถึงเขาตั้งใจจะให้มีผลงานออกมาปีละเล่ม แต่เมื่อได้ฟังเขาพูดถึงงานเขียนที่กำลังจะออกมาเร็วๆ นี้ ถือว่าเยอะมากทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นรวมเรื่องสั้นที่จะออกมาเป็นชุดๆ ถึง 4-5 ชุด หรือนวนิยายเรื่องใหม่ 'เขียนฝันด้วยชีวิต' รวมถึงงานเขียนอื่นอีก ในฐานะนักเขียนเขามองประเด็นนี้ว่า…
 
"โลกมันเปลี่ยนมาตลอด วัฒนธรรมเปลี่ยน สังคมเปลี่ยน เทคโนโลยีไปเร็วมาก แต่ว่าความเป็นมนุษย์นั้นเปลี่ยนไปไม่มากหรอก ความเปลี่ยนแปลงของผมยังมุ่งเน้นความเป็นมนุษย์ เพราะงานศิลปะไม่ใช่เรื่องของความทันสมัย งานที่วิ่งตามสมัยมันก็ล้าสมัยไปเร็วเหมือนกัน ถามว่างานแปลเข้ามาเยอะ ทำให้ตลาดคนอ่านเปลี่ยนไป นักเขียนต้องปรับตัวอย่างไรให้ทันกระแสสังคม ผมว่าขึ้นอยู่กับแต่ละคนมองยังไง สำหรับผมเพียงแต่เฝ้ามองยุคสมัย ไม่เอาตัวเองเข้าไปยุ่งด้วย ผมชอบที่จะปลีกตัวมาอยู่อย่างสงบ คิดไตร่ตรองให้ละเอียดขึ้น ไม่ต้องรีบเร่งที่จะเขียนหนังสือออกมา ทำตัวเองให้ช้าลง อาจจะสวนทางกับกระแสมากกว่า ทุกวันนี้ยังฟังเสียงน้ำฝนเสียงลม เป็นการปรับตัวเองให้เข้ากับโลก แต่เป็นโลกอีกด้านหนึ่ง ซึ่งทับซ้อนกันอยู่
 
บางทีโลกาภิวัตน์อาจเป็นเพียงแค่สีสัน แต่ไม่ใช่แก่นของมนุษย์ เป็นเพียงการย้อมสีเท่านั้น ไม่ได้เจาะลึกลงไปที่มนุษย์ เพราะมนุษย์มีความซับซ้อนแยบยลมากขึ้น เทคโนโลยีพัฒนาไปขนาดไหน แต่ประเทศเรายังมีเข้าเจ้าเข้าทรงกันอยู่ ผมนั่งมองอย่างวิเคราะห์และสะท้อนออกมามากกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับสังคม ผมมองหลายๆ เหตุการณ์ อย่างความรุนแรงภาคใต้ หรือนิสิตจุฬาฯ กระโดดตึกตาย แสดงว่ามนุษย์ปัจจุบันไม่มีความมั่นคงหรือมนุษย์อ่อนแอลงหรือเปล่า ไม่เรียนรู้ที่จะปรับตัว โลกสร้างมนุษย์พันธุ์ไหน ผมมองอะไรที่เกิดขึ้น แล้วนำมาคิด แต่จะเขียนหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
 
หากพูดถึงหนังสือแปลทุกเวลานี้เรานำเข้าอย่างเดียว ไม่มีการส่งออก ตรงนี้ทำให้เราขาดทุนนิรันดร งานเขียนดีๆ ของไทยมีมากและน่าสนใจ แต่ว่ากระบวนการต่างๆ องค์กรไหนจะแปล ใครจะทำ ไม่มีองค์กรไหนจัดการ ถ้าเป็นงานเขียนภาษาไทยอยู่ คนต่างประเทศน้อยมากที่เขาจะสนใจ สมาคมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องน่าจะทำงานอย่างจริงจัง ที่ผ่านมาหลายๆ สมาคมเหมือนไปทำกิจกรรมอื่น ถ้าจะทำจริงๆ ต้องมีจุดเริ่มต้น เพราะถ้าต่างประเทศให้ความสนใจ หนังสือจะสามารถไปได้โดยธรรมชาติของมัน เหมือนงานแปลที่ทะลักเข้ามา เพราะงานดีๆ ของไทยยังมีอยู่เยอะ
 
ธรรมชาติของหนังสือเป็นไปตามกระแสโลกอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว นักเขียนต้องยอมรับในกลุ่มนี้ แต่นักเขียนไม่มีหน้าที่สร้างกระแส เพราะเรายังอยู่กับวิถีชีวิตอยู่กับวิถีการทำงานของเรา อยู่กับงานศิลปะ ผมยังอยู่กับนักอ่านกลุ่มเล็กๆ ของผมไม่กี่พันคน ที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างช้าๆ แต่ดีที่ยังเพิ่ม ผมไปของผมอย่างนี้ นักเขียนไม่ได้มีหน้าที่ไปวิเคราะห์ตลาดคนอ่านถึงขนาดนั้น ส่วนรางวัลต่างๆ เป็นเพียงปัจจัยภายนอก ผมคงไม่ได้คาดหวังกับรางวัลมากนัก ผมยังคงสร้างสรรค์งานเขียนด้วยแรงศรัทธา เขียนงานออกมาให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง"
 
—————————————
 
นิวัต พุทธประสาท : นักเขียนหนุ่มเจ้าของเวบไซต์ www.thaiwriter.net ที่สร้างความสนใจให้กับนักอ่านวรรณกรรมได้มากพอสมควร และยังเป็นบรรณาธิการสำนักพิมพ์เม่นวรรณกรรม ผลงานเล่มล่าสุดของเขาคือรวมเรื่องสั้น 'รสรัก' ขณะนี้กำลังซุ่มเขียนนวนิยายเรื่องใหม่ แม้ยังไม่มีชื่อเรื่องแต่เขาแย้มๆ ให้ฟังว่าเป็นเรื่องของวิญญาณหลังความตาย คาดว่าจะออกมาต้นปีหน้า เมื่อถามถึงเรื่องนี้เขาแสดงทรรศนะว่า…
 
"บทบาทของผมทั้งการเป็นนักเขียน บรรณาธิการ และเวบมาสเตอร์ ทุกอย่างสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้ เพราะเมื่อถึงยุคหนึ่งมันเปลี่ยนไป ยุคผมอาจจะไปเทียบกับยุคลุงอาจินต์หรือว่าคุณชาติไม่ได้ แต่ผมว่านักเขียนรุ่นใหม่ไม่ได้วิ่งตามกระแสสังคมนัก แต่เป็นการสร้างกลุ่มก้อนขึ้นมาเอง สังคมเปลี่ยนเร็ว เราต้องรู้ว่าอะไรที่ควรปรับเปลี่ยน สำหรับความเป็นตัวตน เรามีอยู่แล้ว เพียงแต่ตัวตนของเราไม่สามารถไปปลุกเร้ากระแสวรรณกรรมได้ ไม่สามารถเข้าสู่วิญญาณของคนรุ่นใหม่ๆ ได้ ช่องว่างยังมีอยู่ระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ ดังนั้นต้องพยายามเข้าถึงกลุ่มคนอ่านให้มากขึ้น
 
ถ้ามองหนังสือแปลดังๆ ที่เข้ามาในเมืองไทย อย่าง 'รหัสลับดาวินชี' ซึ่งเป็นหนังสือระดับโลก ทั่วโลกเขาอ่านกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนๆ เรียกว่าทุกหย่อมหญ้าของโลกเขาอ่านกันอยู่แล้ว เพราะมันเป็นฉบับภาษาอังกฤษ เข้าถึงคนทั่วโลกได้เร็ว เหมือนหนังฮอลลีวู้ดเข้ามา และหนังสือมีการตลาดอย่างดี แต่ถึงอย่างไรงานเขียนของนักเขียนไทยก็ยังมีคนอ่านอยู่ แม้ว่าวรรณกรรมแนวซีเรียสจะมีคนอ่านน้อยมาก ผมบอกได้เลยว่าคนอ่านวรรณกรรมแนวนี้มีอยู่ประมาณ 3,000 คน นี่ผมถือว่าเยอะแล้วนะ แต่จริงๆ ยังน้อยอยู่ ผมไม่ได้โทษคนอ่านว่าทำไมมีน้อยจัง เพราะคนอ่านวรรณกรรมแนวนี้ในต่างประเทศมีน้อยเหมือนกัน เพราะเรื่องไม่ได้รื่นรมย์ กลับมีแต่เรื่องของปัญหา ซึ่งคนอ่านเข้าไม่ถึงจุดนั้น จึงยากที่คนจะอ่าน และยังขาดการตลาดเชิงรุก
 
อย่างการทำเวบไซต์ถือว่าเป็นสื่อที่ได้ผลพอสมควร ทำให้ข่าวสารด้านความเคลื่อนไหวได้รับการตอบสนอง และได้กลุ่มคนที่สนใจจริงๆ อย่างการประกวดเรื่องสั้นมีคนรุ่นใหม่ๆ ให้ความสนใจมากทีเดียว โดยเฉพาะต่างจังหวัดสามารถกระจายข่าวในแวดวงวรรณกรรมได้ค่อนข้างมาก เพียงแต่เราเป็นคนกลุ่มเล็กๆ ที่ไม่มีทุนสนับสนุนให้ขยายขอบเขตได้มากกว่านี้ เพราะถ้าทำได้มันจะเป็นเหมือนห้องสมุดเล็กๆ ทุกวันนี้ผมลงทุนเอง ต้องเสียเวลาพอสมควร ถ้ามีองค์กรที่สนใจให้ความสนับสนุนน่าจะขยายวรรณกรรมออกไปสู่วงกว้างได้ แต่เนื่องจากว่ามันไม่ได้มีมูลค่าทางธุรกิจ คงไม่มีองค์กรไหนที่อยากจะเข้ามาทำ
 
ผมอยากบอกว่าตอนนี้เราถูกสื่อทั้งหลายรุกเข้ามามาก แต่เราตั้งรับอย่างเดียว ทำอย่างไรถึงจะสามารถดึงคนเข้ามาอ่านวรรณกรรมได้ เขาจะได้รู้ว่าหนังสือเล่มนี้ควรค่าที่จะอ่าน บางทีอาจต้องมีการจัดเสวนาโดยร่วมมือกับองค์กรต่างๆ น่าจะเปิดตลาดเชิงรุกบ้าง ไม่ใช่ตั้งรับอย่างเดียว เหมือนกับดาราหรือคนดังเขาทำกัน ถ้าทำได้จะทำให้วรรณกรรมซีเรียสเป็นที่รู้จักมากขึ้น"
 
ที่มา จุดประกาย วรรณกรรมปีที่ 16 ฉบับที่ 6176วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548
โดย : พรชัย จันทโสก / jantasok@yahoo.com