นักสื่อสารรักการอ่าน
ผลการศึกษาการอ่านหนังสือในประเทศอังกฤษ (The Reading Agency and BML Survey Book Reading and Library use, 2005) พบว่า ชาวอังกฤษอ่านหนังสือสัปดาห์ละ 4.6 ชั่วโมง หรือ 39 นาทีต่อวัน และอ่านเนื่องจากได้รับอิทธิพลจากการอ่านของเพื่อนหรือผู้ใกล้ชิด 1 ใน 5 อ่านหนังสือเพราะมีผู้แนะนำ 1 ใน 6 จะแนะนำหนังสือให้กับผู้อื่นต่อ และ 1 ใน 7 จะพูดคุยถึงเรื่องหนังสือที่พวกเขาอ่าน จำนวนผู้อ่านจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และจะเพิ่มเป็นทบทวีคูณถ้ามีการดำเนินการส่งเสริมการอ่าน
โครงการวิจัยปฏิบัติการเชิงสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมนักสื่อสารรักการอ่าน คณะนิเทศศาสตร์ เกิดขึ้นด้วยการสนับสนุนจากแผนงานสื่อสารสุขภาวะเยาวชน (สสย.) ภายใต้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เพื่อมุ่งเสริมแรงนักสื่อสารรักการอ่านที่กระจายกันทำงานอยู่ทั่วประเทศ
นักสื่อสารรักการอ่านคือใคร คือทุกคนที่แนะนำให้ผู้อื่นรักที่จะอ่านหนังสือ การอ่านหนังสือให้เด็กเล็กๆฟังก็เป็นการแนะนำให้เด็กๆ รักที่จะอ่านหนังสือได้เช่นกัน ดังนั้น พ่อแม่ ครู พี่เลี้ยงเด็ก เจ้าหน้าที่ห้องสมุด หรือใครก็ตามย่อมเป็นนักสื่อสารรักการอ่านได้ทั้งสิ้น แต่นักสื่อสารรักการอ่านต้องมีเทคนิค คือ รู้จักหนังสือ รักการอ่านหนังสือ รู้วิธีสื่อสารสู่ผู้อ่าน และรักคนอ่านหนังสือ
รู้จักหนังสือ คือรู้จักแบ่งประเภทของหนังสือและคุณสมบัติของหนังสือที่ดี รู้จักเลือกประเภทของหนังสือที่จะนำมาสื่อสารให้เหมาะสมกับวัยและความสนใจของเด็กๆ หรือกลุ่มเป้าหมายได้
รักการอ่านหนังสือ เพราะการที่จะแนะนำให้ผู้อื่นรักหรือชอบสิ่งใดย่อมเกิดจากสำนึกที่เรามีอยู่ เด็กๆ มักมีพฤติกรรมเลียนแบบ ผู้ที่รักการอ่านหนังสือนอกจากจะเป็นต้นแบบที่สำคัญให้กับเด็กๆ แล้วยังเป็นการเพิ่มพูนขยายฐานความรู้ความคิดของตนเองด้วย
รู้วิธีสื่อสารสู่ผู้อ่าน รู้บทบาทของตนเองและรู้ว่าควรใช้เทคนิควิธีใดจึงจะเหมาะสม ด้วยเหตุที่การสื่อสารรักการอ่านมิใช่กิจกรรมส่วนตัวที่ทำเพียงคนเดียว จึงต้องรู้วิธีการสื่อสารที่เหมาะสม เช่น พ่อแม่/พี่เลี้ยง
เด็กอาจใช้วิธีเล่านิทาน-อ่านให้เด็กฟัง ครูอาจใช้การอ่าน-เล่าประกอบเสียงที่แสดงอารมณ์และท่าทาง หรือมอบหมายให้นักเรียนเป็นผู้อ่าน/ผู้เล่า อ่านแบบคนเดียวหรืออ่านหมู่ประกอบการแสดง เจ้าหน้าที่ห้องสมุดและนักจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน อาจใช้เทคนิคการละครส่งเสริมการอ่าน หรือ รีดเดอร์ส เธียเตอร์ มาช่วยส่งเสริมการอ่าน เป็นต้น
รักคนอ่านหนังสือ คือต้องรู้จักธรรมชาติของเด็กแต่ละวัย รู้จักวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย และ
พร้อมที่จะพัฒนาการด้านการอ่านของเด็กๆ อย่างแยบยล ให้เด็กๆ สมัครใจที่จะอ่าน อ่านด้วยความเพลิดเพลินเจริญใจ การอ่านเพื่อความเพลิดเพลินนั้นมีความสำคัญมาก จากการศึกษาวิจัยในประเทศอังกฤษได้ข้อสรุปว่า การอ่านเพื่อความเพลิดเพลินของเด็กส่งผลต่อการเป็นผู้ที่รักการอ่าน และคุณลักษณะนี้จะทำให้เด็กมีผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา มากกว่าฐานะทางเศรษฐกิจและสถานภาพทางสังคม ผู้วิจัยจึงให้ข้อแนะนำว่า การใช้เวลาเพียงวันละ 20 นาทีร่วมกับเด็กๆ ในการอ่าน จะช่วยให้การอ่านของพวกเขาพัฒนาขึ้น ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่พัฒนาการอ่านเท่านั้นแต่พัฒนาการเรียนรู้ พัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กด้วย