ธูปหนึ่งดอก

ยิ้มให้กับความทุกข์
แล้วเราจะมีความสุขที่สุดในโลก
“…คนตายมันก็สบาย ไอ้ที่ยังอยู่ก็ทนลำบากกันไป…” น้ำเสียงตัดพ้ออันสั่นเครือของคุณลุงแว่วเข้าหูผม ขณะกำลังยืนมองสัปเหร่อง่วนอยู่กับการมัดตราสังข์น้องคนหนึ่งซึ่งเพิ่งเสียชีวิตลง…
ในเว็บไซต์ www.thaiwriter.net “นิวัต พุทธประสาท” เขียนคำไว้อาลัยถึงน้องคนนี้ว่า “…แม้ไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัว แต่การจากไปของคนหนุ่มคนสาวก่อนวัยอันควรล้วนเป็นเรื่องน่าเศร้าเสมอสำหรับผม…”
ใช่แล้ว…
“การจากไปของคนหนุ่มคนสาวก่อนวัยอันควรล้วนเป็นเรื่องน่าเศร้าเสมอ”
ผมรู้จักน้องคนหนึ่งซึ่งเป็น “คนหนุ่มคนสาว” คนนี้เป็นการส่วนตัว…
มันเป็นวันที่ “สำนักพิมพ์ทางเลือก” ซึ่งผมเคยทำงานเป็นบรรณาธิการอยู่ที่นั่น ได้จัดงานเปิดตัวหนังสือ “บางสิ่งที่ทำให้หัวใจอุ่น” ของ “จิตกร บุษบา”
ในช่วงที่กำลังสาละวนอยู่กับการตระเตรียมข้าวของต่างๆ จู่ๆ น้องคนหนึ่งก็เดินมาอาสาทำหน้าที่บริเวณโต๊ะลงทะเบียนสื่อมวลชน ทั้งที่เราไม่เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัวมาก่อนเลย…
ด้วยความเกรงใจ ผมจึงบอกปฏิเสธอย่างนุ่มนวล แต่น้องคนนั้นก็ยังยืนกรานขออาสา…
เมื่อเห็นความตั้งใจเช่นนั้นของน้องแล้ว ผมจึงจัดให้เธอนั่งยังจุดลงทะเบียนดังกล่าวแต่โดยดี…
และเธอก็ทำหน้าที่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง กับการรับรองสื่อมวลชนและแขกเหรื่อด้วยอัธยาศัยใจคอซึ่งเป็นมิตรมากๆ
เสร็จจากงานนั้น เราทั้งคู่ติดต่อคบหากันมา-นับถึงวันนี้-ก็ราวๆ เกือบ 4 ปีเห็นจะได้…
นอกจากการพูดคุยไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบแล้ว สิ่งที่น้องคนนี้มักจะคุยกับผมก็คือเรื่องวรรณกรรม…
เธอมักโทร.มาเล่าเรื่องความประทับใจในตัวนักเขียนหลายๆ คน ที่สำคัญก็คือ เธอจะพูดถึงแรงบันดาลใจที่ได้รับจากนักเขียนเหล่านั้นเสมอ…
นอกจากนี้ เธอยังส่งบทวิจารณ์หนังสือของนักเขียนมีชื่อมาให้ผมอ่านบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น “กุดจี่-พรชัย แสนยะมูล”, “ทรงกลด บางยี่ขัน”, “ชาติวุฒิ บุณยรักษ์” โดยเฉพาะงานเขียนของ “พี่ปอน-พิบูลศักดิ์ ละครพล”
“…ชีวิตคือการจาก…พบเพื่อพราก…จากเพื่อพบ…ร่ำลาหน้าหลุมศพ…และยิ้มกว้างที่ข้างเปล…ต่างมาและต่างไป…ในนาวา-ความว้าเหว่…ลอยล่องสู่ชเล….โลก-ชีวิต-อนิจจัง…
“…บทนี้เป็นบทเก่า เคยอ่านในงานเครือข่ายนักเขียน และหนูยังเคยบอกกับพี่ว่าเศร้า มันแปลกนะ นี่พี่เพิ่งเอาจดหมายหนูแยกมัดไว้ต่างหาก เมื่อวานนี้ขณะพี่เคลียร์สิ่งของ แยกสิ่งดี มีประโยชน์ และไร้ค่ากับชีวิต…
“…จดหมายของมิตรที่สม่ำเสมอต้นเสมอปลาย ก็นับหนูใบข้าวคนหนึ่งนะ พี่ถึงต้องคัดเก็บและลำดับเวลาไว้…
“…เหมือนรู้…เหมือนรู้ว่าหนูจะจากไปแล้วงั้นแหละ…พิบูลศักดิ์ ละครพล
…17 มกราคม 2552…”
ครับ…
“หนูใบข้าว” ก็คือน้องคนนั้น…
“…ผลของการกระทำสิ่งต่างๆ ไม่สำคัญเท่าการได้ลงมือทำหรอกนะ…มันก็เหมือนกับการนั่งรถไฟ ไม่สำคัญหรอกว่า รถไฟขบวนนั้นจะพาเราไปที่ไหน แต่มันสำคัญตรงที่ว่า เราเลือกที่จะขึ้นรถไฟขบวนนั้นหรือเปล่า…”
“ใบข้าว” เขียนไว้ในหนังสือเล่มล่าสุดที่เธอส่งมาให้ผมอ่าน…
“ยิ้มให้กับความทุกข์-แล้วเราจะมีความสุขที่สุดในโลก”
ผมเหม่อมองรูปหน้าศพ-ขณะกำลังพนมมือรับศีลจากพระภิกษุในงานสวดพระอภิธรรมของเธอ…
ดวงหน้าเปื้อนยิ้มของ “ใบข้าว” สะกิดลิ้นชักความทรงจำของผมให้เปิดออก
“หนูใบข้าว” ป่วยกระเสาะกระแสะและต้องเข้าพักในโรงพยาบาลเสมอ แต่ทันทีที่เธอออกจากโรงหมอก็มักจะโทร.หาคนนั้นคนนี้ รวมถึงผมด้วย…
และคราใดที่ผมรับโทรศัพท์-หลังจากที่เธอออกจากโรงพยาบาล ผมจะโล่งใจทุกครั้งโดยนัยว่า สุขภาพของเธอดีขึ้นแล้ว…
กระทั่งผมได้รับข่าวร้ายทางโทรศัพท์จาก “กฤติศิลป์ ศักดิ์ศิริ” เมื่อช่วงสายของวันเสาร์ที่ 17 มกราคม!
ฉากหนึ่งในสายของ “กฤติศิลป์” ที่โทร.มาแจ้งข่าวร้ายของ“ใบข้าว” มันเป็นฉากที่สร้างความตื้นตันใจอย่างมาก!
“กฤติศิลป์” เล่าว่า ขณะที่กำลังโทร.หาผมนั้น ได้มีผู้ป่วยและญาติๆ ของผู้ป่วยที่แจ้งความจำนงขอรับบริจาคอวัยวะจากสภากาชาดไทย เดินทางมายังโรงพยาบาลเลิดสิน-ที่ซึ่ง “ใบข้าว” เข้ารับการรักษาอาการป่วยขั้นโคม่าของเธอ…
“กฤติศิลป์” เล่าว่า อวัยวะที่ “ใบข้าว” ได้บริจาคให้สภากาชาดไทยนี้ สามารถช่วยชีวิตมนุษย์ได้ถึง 7 คน!
“…ผลของการกระทำสิ่งต่างๆ ไม่สำคัญเท่าการได้ลงมือทำหรอกนะ…มันก็เหมือนกับการนั่งรถไฟ ไม่สำคัญหรอกว่า รถไฟขบวนนั้นจะพาเราไปที่ไหน แต่มันสำคัญตรงที่ว่า เราเลือกที่จะขึ้นรถไฟขบวนนั้นหรือเปล่า…”
ลิ้นชักความทรงจำของผมแง้มออกมาเป็นถ้อยคำในหนังสือของ “ใบข้าว”
จนถึงขณะนี้…
ผมคิดว่า “ใบข้าว” ได้ ลงมือทำ สิ่งที่เธอฝันไว้แล้วอย่างสมบูรณ์…
“…คนตายมันก็สบาย ไอ้ที่ยังอยู่ก็ทนลำบากกันไป…” น้ำเสียงตัดพ้ออันสั่นเครือของคุณลุงคนนั้นยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาทของผม-แม้ว่าจะผ่านงานฌาปนกิจศพ “ใบข้าว” มาแล้วหลายวัน…
ผมเห็นด้วยกับคุณลุง…
และผมก็เห็นด้วยกับคำพูดของ “นิวัต พุทธประสาท”
“การจากไปของคนหนุ่มคนสาวก่อนวัยอันควรล้วนเป็นเรื่องน่าเศร้าเสมอ”
ที่มา : นิตยสาร VOTE
ปักษ์แรก…..กุมภาพันธ์ 2552