Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

ท่องไปในสมองของ อนุสรณ์ ติปยานนท์ (2)

 

 
ถาม: คำว่ารากของคุณ มีความหมายเดียวกับคำว่าแก่นแท้หรือเปล่า 
อนุสรณ์: ไม่ใช่นะ ผมว่าแก่นแท้มีอยู่จริง รากคือจุดที่จะให้เราไปหยุดยืน เน็ตเวิร์คที่คุณเข้าไปแล้วรู้สึกอบอุ่น ชุมชนที่คุณอยู่แล้วสบายใจ นี่คือสาเหตุที่ทำไมขบวนการก่อการร้าย จึงแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ หรือแม้แต่พวกผู้ก่อการร้ายทางภาคใต้ เวลาคุณตัดสินใจเข้าไปอยู่ในขบวนการเหล่านั้น คุณจะรู้สึกทันทีว่าคุณมีราก คุณมีชุมชนที่เชื่อในสิ่งเดียวกับคุณ พร้อมจะตายตามอุดมการณ์เดียวกับคุณ ซึ่งสิ่งนี้หายากมากในปัจจุบันนะ ผมเชื่อว่าสิ่งนี้แหละ จะเป็นสิ่งเดียวในยุคของเรา ที่จะต้านทานทุนนิยมได้
 
ถาม: เพราะสถาบันหลักๆ ต่างล่มสลายไปหมดแล้ว คนไม่มีอะไรให้ยึดเหนี่ยว ไม่มีอะไรเป็นจุดหมายของชีวิตใช่ไหมครับ
อนุสรณ์: ใช่ เขาเลยต้องไปอยู่ใน Subculture หนึ่งร่วมกัน เพื่อจะได้มีราก มีตัวตน มีเป้าหมาย ท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์เราก็เป็นได้แค่นี้เอง เรามีได้แค่เรื่องเล่าของแต่ละคน แล้วการตั้งคำถามเกี่ยวกับความดีงาม มันเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้ง เนื่องจากเราขยายตัวไป กระจัดกระจายกันออกไปเรื่อยๆ การนิยามสิ่งต่างๆ ย่อมต้องมีความขัดแย้ง มันยากที่จะลงรอยในหลายสิ่งหลายอย่าง นี่คือความดีของผม นี่คือความดีของคุณ ผมอยู่ในสังคมหนึ่ง คุณอยู่ในสังคมหนึ่ง เราก็ตีความสิ่งต่างๆ ต่างกันแล้ว ในโลกปัจจุบัน ทางเดียวที่จะต่อสู้กับทุนนิยม คือแบบนี้แหละ คือการขยายตัวออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เราไปสังกัดนิกายใดนิกายหนึ่ง ซึ่งมีรูปแบบชีวิตที่สำเร็จรูปให้ แล้วคุณก็จะขจัดความกังวลในชีวิตของคุณไปได้ ทุนนิยมได้นำพาเอาสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งมาให้ คือความกังวล ตัวละครของวรรณกรรมร่วมสมัยทั้งหมด ต้องมีความกังวล คุณไม่รู้ว่าเครื่องมือถือที่คุณใช้อยู่ อีก 3 เดือนข้างหน้าจะเชยหรือยัง เดี๋ยวมันจะมี 3G แล้วนะ โอ้โห แล้วจะไหวเหรอวะ คือเรามีคำถามตลอดเวลา แต่ถ้าเราสังกัดอัลกออิดะห์ปุ๊บ คุณไม่ต้องกังวลเรื่องพวกนี้แล้ว สิ่งเดียวที่คุณต้องเดินหน้าไป คือการต่อสู้กับอเมริกา ไปญิฮาดซะ หรือถ้าจะไปสังกัดธรรมกาย คุณก็มีหน้าที่นั่งสมาธิไปเลย นั่งไปให้ดีที่สุด นอกจากนั้น เป็นเรื่องไม่จำเป็นแล้ว
 
ถาม: คือเพื่อที่จะลดความกังวล เราก็ต้องไปยึดถือจุดหมายเทียมๆ ที่นิกายพวกนั้นตั้งไว้ให้ใช่ไหม 
อนุสรณ์: นี่คือคุณสรุปให้เขาเองนะ ว่าเป็นจุดหมายเทียมๆ
 
ถาม: แล้วจุดหมายจริงๆ ของชีวิตเราคืออะไร 
อนุสรณ์: ผมไม่รู้ ผมรู้แค่ว่า ถ้าจะต่อสู้กับทุนนิยม เราก็ต้องหานิกายไว้ยึด อย่างที่เขาเรียกว่า Fundamentalism ไง
 
ถาม: โดยส่วนตัว คุณว่านิกายพวกนั้น ให้จุดหมายเทียมหรือแท้ 
อนุสรณ์: ของแบบนี้มันในจิตนะ จิตคุณ-จิตผม มันอยู่ใน Sub-concious ในวินาทีที่เราล้าที่สุดแล้ว เราจะยอมตัวให้กับนิกายเหล่านี้ ผมว่าไปๆ มาๆ แล้ว Sub-Culture กับ Sub-Concious เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกันนะ เวลาที่คุณมีแรงอยู่ คุณพร้อมจะสู้ พร้อมจะทำงาน แต่ในเวลาที่คุณเหนื่อยจนถึงที่สุด คุณจะคิดว่า ทำไมคนอ่านมันต้องการข้อมูลอะไรนักหนาวะ ทำไมเราต้องมานั่งคุยอะไรยาวๆ แค่นี้ยังไม่พออีกเหรอ ใน Sub-Concious จะคอยบอกว่า พอแล้ว พอแล้ว พอที ในวินาทีที่เราพอนี่แหละ คือวินาทีที่เราพร้อมจะเข้าสังกัดนิกาย สังกัดขบวนการกลุ่มชนใดกลุ่มชนหนึ่ง
 
ถาม: ถ้าให้เลือกในวินาทีนี้ คุณอยากสังกัดนิกายอะไร 
อนุสรณ์: เออ สตรีนิยมน่าจะดีนะ ผมสนใจเพราะผมไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับผู้หญิงเลย เคยไปนั่งฟังเขาสัมมนาวิชาการอยู่ทีหนึ่ง ฟังไม่รู้เรื่องเลยนะ เวลาเขาพูดถึงเรื่องอะไรนะ เรื่องเพศสภาวะ
 
ถาม: เรื่องเพศเรื่องใด ที่ตอนนี้คุณรับไม่ได้ครับ 
อนุสรณ์: ผมไม่มีปัญหากับเรื่องที่ว่า โครโมโซมไหนจะได้กับโครโมโซมไหน ปัญหาที่ผมสนใจ คือเรายังไม่ยอมรับความจริงอีกมากเกี่ยวกับเรื่องเพศ คือเรายังไม่ยอมรับเลยว่าเด็กมันอยากมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่มันมีประจำเดือนแล้ว ดังนั้นเมื่อเห็นวัยรุ่นจูงมือกันเข้าโรงแรมแล้วเรากระอักกระอ่วนใจ ทั้งที่มันเป็นเรื่องที่เราต้องหัดยอมรับ ผมสนใจเรื่องเกี่ยวกับเพศ ก็เพื่อ 2 ส่วน คือการทำความเข้าใจเพศในตัวผม และทำความเข้าใจเพศที่ผมไม่รู้จัก งานเขียนของผมจำนวนมาก แสดงความรู้สึกว่าต้องการทำความเข้าใจเพศหญิง ผมอยากรู้นะว่าผู้หญิงเขาคิดอย่างไร เวลาที่เขาตกหลุมรัก หรือผู้หญิงคิดอย่างไร เวลาที่เขารู้สึกสูญเสีย ผมว่าความรู้สึกสูญเสียของผู้หญิงแปลกกว่าของผู้ชาย เวลาผู้ชายรู้สึกสูญเสีย เรารู้สึกเหมือนเราเขวี้ยงของออกไปข้างนอก แล้วของชิ้นนั้นหายไป เราก็เลยต้องไปเดินหา แต่สำหรับผู้หญิงเวลาสูญเสีย คือเขารู้สึกเหมือนกับโดนใครคนหนึ่ง ล้วงเอาของออกไปจากตัวเขา เขาจึงมีช่องโหว่เกิดขึ้นในตัว แล้วเขาก็ต้องการหาอะไรมาใส่ช่องโหว่นั้นให้เต็มเหมือนเดิม
 
ถาม: อันนี้ใครกล่าวครับ 
อนุสรณ์: ผมกล่าวเอง (หัวเราะ) ความคิดเห็นผม เวลาพูดคุยกับผู้หญิง แล้วเลยมีไอเดียแบบนี้เกิดขึ้นมา
 
ถาม: มันเป็นเพราะจู๋ของเราอยู่นอกตัว แต่จิ๋มของผู้หญิงอยู่ข้างในตัวใช่ไหม 
อนุสรณ์: ไม่แน่ใจนะ ผมว่าผู้หญิงจะรู้สึกว่าทุกอย่างอยู่ในตัวเขาสมบูรณ์อยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อสูญเสียความรัก เขาจึงรู้สึกว่ามีช่องโหว่ ในขณะที่ผู้ชายสนใจแต่เรื่องนอกตัว การสูญเสียความรัก คือการที่ของนอกตัวหายไป เหมือนทำของอะไรหาย
 
ถาม: ถ้าตัวละครผู้หญิงในเรื่องลอนดอนฯ ไม่ตาย ป่านนี้คุณคงแต่งงานไปแล้วใช่ไหม 
อนุสรณ์: (หัวเราะ)
 
ถาม: เขามีตัวตนจริงๆ ใช่ไหม 
อนุสรณ์: มีสิครับ เขาคือเพื่อนคนที่ผมรู้สึกว่าสนิทจริงๆ ถ้าเขาไม่ตายเหรอ อืม (คิดนาน) ผมว่าเราไม่ต้องไปพูดเรื่องความร้งความรัก ที่มันเกี่ยวข้องกับอารมณ์อย่างที่เราๆ รู้กันดี แต่นี่เราพูดแค่ว่า การที่เราเกิดขึ้นมาในโลกใบนี้ ย่อมต้องมีคนจำนวนมากอยู่ในความทรงจำของเรา และเราก็ได้ไปอยู่ในความทรงจำของคนจำนวนมากเช่นกัน สำหรับเขา เขาเป็นแรกๆ ที่ทำให้ผมอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไปในทางที่ดีขึ้น ผมเลยอยากจะเขียนหนังสือถึงเขา หรืออีกไม่นานนี้จะมีภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับเรื่องของเขา ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ ที่พูดถึงเขา แล้วทำให้ชีวิตของเขา ยังถูกจดจำได้ ผมอยากทำ คนตายก็เหมือนลูกโป่ง ที่ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า การที่มันจะอยู่บนฟ้าได้นาน คนที่อยู่บนพื้นดินต้องออกแรงโบกลม ให้ส่งมันลอยขึ้นไปเรื่อยๆ คนที่ตายไปแล้ว จะถูกจดจำไว้ ก็ต้องมีงานเขียนถึงเขา
 
ถาม: พูดซะยืดยาว สรุปว่ารักกันจริงไหม 
อนุสรณ์: ไอ้คำว่ารักกันจริงไหม นี่ไม่รู้หรอก รู้แค่สิ่งที่เขาแสดงออก ผมว่านี่มันเป็นเรื่องซับซ้อนนะ สมมติว่ามีคนมาชอบคุณ แล้วคุณจำเป็นต้องชอบเขาไหม ผมแค่รู้สึกว่าผมชื่นชม และรับรู้ถึงคุณค่าที่เขาให้เรา
 
ถาม: เขาสวยไหม 
อนุสรณ์: เฮ้ย! อะไรของคุณเนี่ยะ? (หัวเราะ)
 
ถาม: คุณเคยแปลหนังสือเกี่ยวกับเรื่องความตายของชาวทิเบตเอาไว้ใช่ไหม 
อนุสรณ์: เพราะผมต้องการความกระจ่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ เกิดขึ้นจากการที่น้องชายของผมตายไปอย่างปัจจุบันทันด่วน ตั้งแต่ผมยังเด็ก ผมสงสัยว่าทำไมเขาตายก่อนผม ทั้งที่ผมควรจะตายก่อน เพราะผมอายุมากกว่าเขา ผมเคยได้อ่านมาจากไหนไม่รู้ จำไม่ได้ เขาเขียนว่า เราจะไม่รู้ว่าคนๆ หนึ่งตาย จนกระทั่งเราไปงานศพของเขา ถ้าเราไม่ยอมไปงานศพของใคร ก็คือคุณยังทำใจไม่ได้ว่าเขาตายไปแล้ว การไม่ไปงานศพ คือการไม่ต้องเผชิญความจริง เหมือนกรณีที่ผมไม่ไปนิวยอร์ค ยิ่งนานเท่าไร ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าเขายังไม่ตาย จนกระทั่งวันที่เราต้องเผชิญความจริงเสียที การเผชิญความจริง นี่รุนแรงกว่าความตายนะ ความตายของคนทุกคน ล้วนมีเรื่องราว ผมจึงถือว่าการเขียนถึงคนที่ตายไปแล้วนั้นโรแมนติกมาก เพราะคุณกำลังพยายามจะสร้างอะไรบางอย่าง ในสิ่งที่ไม่อาจจะเป็นไปได้ ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ คนที่มีชีวิตอยู่ เขาจะเปลี่ยนแปลงได้ เขาอาจจะโกรธคุณ เลิกรักคุณ แต่คนที่ตายไปแล้ว ทำอะไรไม่ได้แล้ว เขาจะคงที่แบบนั้นตลอด และ Theme นี้ปรากฏเยอะมากเลยนะในหนังและวรรณกรรม อย่างเรื่อง Yomigaeri, Be With You การคิดถึงคนที่ตายอย่างลึกซึ้ง มันเป็นความโรแมนติกของคนในยุคสมัยของเรา
 
ถาม: คุณว่าคนในยุคสมัยของเรา โรแมนติกมากขึ้นหรือน้อยลง 
อนุสรณ์: ผมว่ามนุษย์สมัยใหม่โรแมนติกมากขึ้น แต่ในนัยยะที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก อย่างเช่นหนังของหว่องกาไวนี่โคตรโรแมนติก ทั้งที่ตัวละครสัมผัสกันน้อยมาก แต่ในวินาทีที่มันพูดว่า "เราได้เจอกันและห่างกันแค่ 0.3 เซนติเมตร" โอ้โห! นี่มันจี้ดมากเลยนะ ซึ่งไม่ใช่แบบสมัยก่อน นึกออกไหม ถ้าเป็นสมัยก่อนต้องส่งดอกไม้ ต้องไปเดทกัน แต่สมัยนี้เรามีภาวะที่เสมือนหนึ่งว่าอยู่ใกล้กัน แต่ครอบครองกันไม่ได้ มันคือความจี้ดแห่งยุคสมัย เมื่อเทคโนโลยีดิจิตอลมันพัฒนาไปถึงขั้นหนึ่ง ผมรู้สึกว่ามีคุณอยู่ในใจ แต่ครอบครองคุณไม่ได้ นี่มันเป็นภาวะที่จี้ดมาก
 
ถาม: ในนิยายรักสมัยก่อนๆ ก็เล่าถึงความเหงาเหมือนกัน แล้วมันจี้ดแตกต่างกันอย่างไร ระหว่างความเหงาของหว่องกาไว กับความเหงาของนิยายสมัยก่อน 
อนุสรณ์: ผมแค่คิดว่าความรู้สึกจี้ดของคนร่วมสมัย ต้องมีนัยยะหนึ่งที่ลึกซึ้งแฝงอยู่ คือภาวะตัวตนที่ถูกลบไป วินาทีที่ผมเจอคนที่ผมชอบ ผมพร้อมที่จะโยนตัวเองเข้าไปในตัวคนนั้น ผมจะทิ้งทุกอย่างที่เป็นตัวตนของผม นี่เป็นภาวะที่ดื่มด่ำลึกซึ้งมาก แต่ในขณะเดียวกัน เราจะรู้ตลอดว่าภาวะนั้นไม่เป็นจริง คุณเคยดู Before Sunrise ไหม แบบนั้นก็จี้ดใช่ไหม คือนัดกันว่าอีก 6 เดือนเราจะมาเจอกัน แต่สรุปว่าไม่มีใครมา มันมาเฉลยใน Before Sunset หนังภาคสอง มันจี้ดไง คือมันได้โยนตัวเองเข้าไปในซึ่งกันและกัน อนาคตข้างหน้ายังไม่สน
 
ถาม: ความจี้ดแบบนี้มันดีกับตัวเราไหม 
อนุสรณ์: อารมณ์โรแมนติกมันเหมือนน้ำตาล เหมือนวิตะมิน ถ้าคุณกินมากถึงจุดหนึ่งกลับจะอ่อนแอ เพราะภูมิต้านทานตามธรรมชาติของคุณหายไป เรามีภูมิต้านทานบางอย่างที่จะต่อสู้กับการอกหัก แต่ถ้าคุณมีความจี้ดมากๆ คุณจะอกหักได้ง่ายขึ้น ดูเหมือนว่าเราทุกวันนี้ อยากจี้ดตลอดเวลา เพราะคุณต้องพึ่งพาโลกภายนอก คุณก็จะเหมือนลูกโป่งที่ขยายออกไปเรื่อยๆ พื้นผิวข้างนอกก็จะยิ่งบางลงทุกที ผมรู้จักคุณเพิ่มเข้ามา ผมรู้จักคนโน้นคนนี้ ยิ่งรู้จักคนมากเท่าไร ความเปราะบางในตัวผมก็จะมากขึ้นเท่านั้น เพราะผมต้องเสียสละจินตนาการเพื่อไปแชร์กับคุณ ไอ้การแชร์นี่แหละ ที่ทำให้พื้นผิวของผมบางลงทุกที ไม่มีทางที่เมื่อผมสัมผัสคุณ ผมจะไม่ถูกกระทบกระเทือน ผมต้องพร้อมที่จะเสียสละตัวเองในบางส่วนด้วย วินาทีที่ผมได้รับ SMS จากคุณ ผมพร้อมที่จะเปลี่ยนไป นี่คืออารมณ์ของยุคสมัยไง คุณมองออกไป จะเห็นว่ามีคนจำนวนมากที่พร้อม ความพร้อมคือความเปราะบาง คุณคิดดูนะ สมัยก่อนคนเราอาจจะฆ่าตัวตายเพราะเอนทรานซ์ไม่ติด แต่ปัจจุบัน เราฆ่าตัวตายด้วยเหตุผลมากกว่า 30-40 เท่า เหมือนกับที่สังคมญี่ปุ่นเคยเป็น คือทุนนิยมในยุคก่อนนั่นแหละ
 
ถาม: คุณพูดคำว่า "อารมณ์ของยุคสมัย" บ่อยมากเลย แล้วพอไล่เรียงดู มันมีหลายเรื่องมาก ทั้งความเหงา ความเปราะบาง การตามหาอะไรบางอย่าง ความหมกมุ่นใน ความว้าวุ่นใจ การไร้ราก ฯลฯ ทำไมมันถึงมีเยอะแบบนี้ 
อนุสรณ์: มันมีเยอะพอๆ กับมือถือที่เรียงขายอยู่ที่มาบุญครองนั่นล่ะมั้ง
 
ถาม: หรือว่าทุกเรื่องที่ไล่เรียงมา มันคือเรื่องเดียวกันหมด ที่เราสามารถสรุปมันลงมาเป็นหัวข้อเดียวได้ 
อนุสรณ์: อืม (คิดนาน) ในตำนานกรีกมีสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งชื่อว่าไฮดรา ถ้าคุณตัดหัวมันหลุด หัวมันก็จะงอกออกมาใหม่อีกหลายหัว คือถ้าคุณแตะปัญหาเรื่องการไร้รากปุ๊บ มันก็จะแตกออกไปเป็นเรื่องอื่นๆ อีกเยอะแยะ ความเปราะบาง การพร้อมจะตกหลุมรักง่ายๆ ปัญหาของชีวิตคนสมัยนี้ ก็เหมือนกับหัวของไฮดรา
 
ถาม: จริงๆ แล้วมันคือปัญหาเรื่องจุดหมายของชีวิตหรือเปล่า ที่มนุษย์เราคิดกันมาหลายพันปีแล้ว ว่าเราเกิดมาทำไม อะไรคือจุดหมายของการมีชีวิตอยู่ เมื่อไม่มีจุดหมาย เราเลยต้องไปเข้า Sub-Culture ต้องหมกมุ่นในสิ่งบางสิ่ง ต้องตกหลุมรักคนง่ายๆ เลยเปราะบาง เลยเหงา 
อนุสรณ์: (หัวเราะ) ก็เป็นได้นะ อย่างในนิยายของผม ตัวละครก็หมกมุ่นอยู่กับเต้าเจี้ยวหัวนกดอง ในนิยายของมูราคามิก็หมกมุ่นกับตู้พินบอล สิ่งที่เรากำลังหมกมุ่นอยู่ มันก็อาจจะเป็นจุดหมายที่เราตั้งเอาไว้เป็นช่วงๆ เป็นเหตุผลให้เราดำเนินชีวิตต่อไปได้ ผมมองอย่างนี้นะ เมื่อเราเปราะบางกันมากขึ้น เมื่อเราต้องปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นมากขึ้น เราเลยต้องการหาอะไรมาถมทับชีวิตเราให้เต็ม มาให้คำอธิบายแก่ชีวิต สำหรับมูราคามิอาจจะต้องการเครื่องพินบอล วินาทีที่เขาเดินไปเล่นมัน เขาจะรู้สึกปลอดภัย เช่นเดียวกับตัวละครของผม วินาทีที่เขาเจอเต้าเจี้ยวหัวนกดอง เขาจะได้รู้สึกว่าชีวิตที่ผ่านมานั้นไม่สูญเปล่า เทียบกับในอดีตกาล เราอาจจะเอาเรื่องอื่นมาอธิบายชีวิต อาจจะเป็นเรื่องไตรลักษณ์ อาจจะเป็นเรื่องอริยะสัจ 4 แต่สำหรับผม ขอแค่หัวนกดอง สำหรับมูราคามิคือตู้พินบอล
 
ถาม: แล้วพอได้มันมาถมจนเต็มแล้ว เราก็จะเริ่มไปหาสิ่งใหม่มาถมต่อไปเรื่อยๆ 
อนุสรณ์: ใช่เลย เพราะยุคสมัยนี้มันเป็นแบบนี้จริงๆ คุณดูแค่โฆษณาในโทรทัศน์ ก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น เมื่อ 20 ปีก่อน เรามีแชมพูสระผมแค่ซันซิลค์ แฟซ่า ออด๊าซ แต่ทุกวันนี้เรามีแชมพูสระผมเป็นร้อยยี่ห้อ แค่เดินเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ตก็งงแล้ว
 
ถาม: อารมณ์ของยุคสมัยอย่างที่เล่ามา เกิดขึ้นเฉพาะในสังคมเมืองหรือเปล่า หรือว่ามันเป็นสากล ที่เกิดในทุกสังคม ทุกประเทศ 
อนุสรณ์: มันคงเริ่มต้นจากเมืองนะ แล้วมันกระจายออกไป อย่างตอนที่ผมไปพิษณุโลก แล้วพักโรงแรมม่านรูดกระจอกๆ แห่งหนึ่ง ผมเห็นเด็กวัยรุ่นขี่มอเตอร์ไซค์ซ้อนกันมา แล้วมาเปิดห้องนอนกัน ผมก็เลยคิดว่าชีวิตของเขา ก็คงเปราะบางไม่ต่างจากผม แต่เขาไปแสดงออกในความหมกมุ่นต่อมอเตอร์ไซค์ ต่อเรื่องเซ็กส์ การได้อยู่บนท้องถนน แล้วปล่อยให้สายลมตีหน้า มันเป็นสภาวะบางอย่างที่ลึกซึ้งสำหรับเขา แล้วก็จบลงด้วยการนอนกัน วันรุ่งขึ้นก็ไปกันใหม่ แล้วพวกเราก็ไปด่าเขา ทำไมมึงไม่กลัวตายเหรอวะ มึงเห็นชีวิตไม่มีค่าเหรอ ผมขอถามว่า ไอ้ผู้ใหญ่ที่ใช้ชีวิตอยู่ทุกวันนี้น่ะ ใช้ชีวิตอย่างมีค่าแค่ไหน ชีวิตเราก็อ่อนแอในอีกมุมหนึ่งเช่นกัน เราอาจจะอ่อนแอในแง่ที่ต้องการการยืนยันจากวัตถุ แต่เขาอาจจะอ่อนแอในแง่ที่ต้องการการยืนยันจากกิจกรรม อย่างเช่นการมีกลุ่มทำอะไรร่วมกัน ไปดูหมอลำ ไปซิ่งมอเตอร์ไซค์ การได้มีกลุ่มเพื่อนร่วม Event สำหรับคนเมือง เราจะรู้สึกว่าเรามีพวก เมื่อเราได้ใช้วัตถุเดียวกัน เรื่องนี้สำคัญนะครับ มันเป็นเรื่องทุนนิยมเลย คือเรามารวมกลุ่มกันด้วยวัตถุ อย่างเช่นผมมี iPod คุณก็มี iPod เวลามานั่งร้านกาแฟแล้วมองเห็นกัน ก็รู้สึกใกล้ชิดกันแล้ว วัตถุมันกำหนดความเป็นกลุ่มได้ ในขณะที่ชาวบ้านต่างจังหวัด เขาใช้ Event กิจกรรม หรืออาจจะไปถึงระดับการมีพิธีกรรมร่วมกัน พิธีกรรมของเขาคือการไปออกันบนท้องถนนนั่นแหละ
 
ถาม: คุณว่าคนต่างจังหวัดในช่วงอายุเดียวกับเรา จะเก็ตหนังสือของคุณ หรือหนังสือของมูราคามิไหม 
อนุสรณ์: เขาคงต้องมีกระบอกเสียงของพวกเขา ซึ่งผมก็กำลังรอดูอยู่ ว่าใครจะมาเป็นกระบอกเสียงให้เขา หรือเป็นตัวแทนของเขา ผมว่ามูราคามิก็ไม่สามารถเป็นตัวแทนให้กับยุคสมัยนี้ได้ทั้งหมด เขาก็ได้แค่คนบางส่วนเท่านั้น ยังต้องมีคนอื่นๆ อีก อย่างบานาน่า โยชิโมโต้ ที่เป็นตัวแทนของผู้หญิงที่เปลี่ยวเหงา ผมหวังว่าสักวัน จะมีเด็กวัยรุ่นไทยสักคน ที่วันหนึ่งเขาเลิกซิ่งมอเตอร์ไซค์ แล้วมาจับปากกาเขียน เขียนเพื่อคนกลุ่มเดียวกับเขา
 
ถาม: อย่างตอนนี้ ผมเองอ่านงานของเสนีย์ เสาวพงศ์ มาลัย ชูพินิจ แล้วไม่เก็ตเลย เพราะเขาไม่ใช่กระบอกเสียงของผม ตัวแทนของผม 
อนุสรณ์: ผมก็เป็นเหมือนคุณ แต่มันไม่ใช่ความผิดของวรรณกรรมเหล่านั้นนะ ปัญหาคือผู้อ่านไม่สามารถเอาตัวเองสวมเข้าไปในเรื่องราวเหล่านั้นได้อีกต่อไป
 
ถาม: แต่มันน่าแปลก ที่เนื้อเรื่องในวรรณกรรมร่วมสมัย มันพิลึกพิลั่น แปลกประหลาด ตัวละครหมกมุ่นอยู่กับของไร้สาระ เดินทางตามหาอะไรที่เรารู้ว่าไม่เข้าท่า แต่ผมอินกับมันเหลือเกิน 
อนุสรณ์: ใช่เลยครับ อย่าง South of the Border, West of the Sun คุณจะรู้สึกว่า ไอ้พระเอกนี่มันอะไรกันนักกันหนาวะ กับผู้หญิงขาเป๋คนหนึ่ง มันยอมเสียชีวิตทั้งชีวิต ทิ้งลูกเต้า ทิ้งร้านผับ ไปหาผู้หญิงขาเป๋ แต่พออ่านๆ ไป ผมเองยังรู้สึกเลย ผมพร้อมนะ ผมถูกหนังสือเล่มนี้พาไป นี่มันคือเรื่องศาสนาเลยนะ เราถูกกล่อมให้เชื่อเลยว่านี่คือสิ่งที่สูงสุดแล้ว และเราพร้อมที่จะกระโจนลงไป เราต่างมีจุดอ่อน ผมก็มีจุดอ่อน คุณก็มีจุดอ่อน เราไม่รู้หรอกว่าสักวัน เราจะเจออะไรที่เราพร้อมจะกระโจนลงไป แต่สำหรับมูราคามิมันพูดถึงจุดอ่อนหนึ่งตลอด ซ้ำๆ ย้ำๆ อย่างใน South of the Border, West of the Sun จุดอ่อนก็ปรากฏในรูปของผู้หญิงขาเป๋ ซึ่งมัน Irresistable เหลือเกิน ในเรื่องอื่นมันก็มาปรากฏในรูปอื่น ซึ่งรวมๆ แล้วจุดอ่อนนี่คือนามธรรมอะไรบางอย่าง ผมว่าสักวันหนึ่ง ถ้าเราผ่านจุดอ่อนนี้ไปได้ เราก็จะมีกำลังจะเดินทางต่อ
 
ถาม: วรรณกรรมของพวกฮิปปี้ ก็กล่าวถึงเรื่องแบบนี้ การเดินทางแสวงหาอะไรบางอย่าง 
อนุสรณ์: ก็จริงนะ อย่างวรรณกรรมที่เล่าถึงขับรถไปเรื่อยๆ ตามชายหาดแคลิฟอร์เนีย หรืออย่างเฮนรี่ มิลเลอร์ ที่ไม่สนอะไรนอกจากการ "เอา" ใน Sexus, Plexus, Nexus
 
ถาม: การเขียนงานซ้ำแบบนี้ มันมีข้อดีหรือข้อเสียอย่างไร 
อนุสรณ์: หว่องกาไวก็ซ้ำ มูราคามิก็ซ้ำ ผมยกตัวอย่างสถาปนิกญี่ปุ่นคนหนึ่ง ชื่อว่า ทาดาโอะ ฮันโดะ เขาดังมาก ทำงานมา 30 กว่าปีแล้ว ตั้งแต่งานชิ้นแรกจนถึงชิ้นล่าสุด วัสดุที่เขาใช้เป็นหลักมาตลอดคือคอนกรีตเปลือย ไม่มีการทาสีอะไร คนจำนวนมากก็สังเกตว่า เฮ้ย! คุณซ้ำนี่ น่าเบื่อ แต่สำหรับตัวเขา เขาค่อยๆ เปลี่ยนปริมาตรคอนกรีตนั้นไปเรื่อยๆ มีการเล่นกับรายละเอียดมากขึ้น เพิ่มกระจกดีไหม เอาคอนกรีตไปซ่อนใต้บ่อน้ำ นี่คือเขาทำงานซ้ำ แต่มันกระทบจิตใจมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ได้ งานชิ้นแรกๆ เป็นบ้าน ต่อมาเป็นโบสถ์ เป็นพิพิธภัณฑ์ เป็นสวนศิลปะ คือเขายอมให้สาธารณะเข้ามาเกี่ยวข้องกับงานเขามากขึ้นเรื่อยๆ อย่างหนังของหว่องกาไว ผมว่า เขาได้พบอะไรใหม่ๆ โดยเฉพาะเรื่องล่าสุดคือ Eros ผมว่านี่อาจจะเป็นการก้าวกระโดด เปิดให้มีคนอื่นๆ มาเล่นหนังเขามากขึ้น เขากำลังมองหารสชาติใหม่ๆ ตอนนี้ผมว่าเขาได้รู้แล้วว่า คนส่วนใหญ่สามารถรับรู้งานของเขาได้ ในบางมุมที่เขาไม่เคยคิด อย่างหนัง Happy Together คนดูจะรับรู้ว่ามันเป็นหนังเกย์ แต่สำหรับเขา ผมว่ามันเป็นหนังเกี่ยวกับการเดินทางของไอ้หนุ่ม 2 คน ที่ต้องการไปน้ำตกอิกัวซู เออ! เนอะ แล้วมันก็วนมาถึงเรื่องที่คุณถาม เรื่องการออกเดินทาง และการหมกมุ่นกับอะไรก็ไม่รู้ ที่เขาถือว่าเป็นจุดหมาย
 
ถาม: พล็อตเรื่องการออกเดินทางเพื่อค้นหาแบบนี้ มันอยู่ในเรื่องเล่าทุกเรื่องของมนุษยชาติใช่ไหมครับ ตั้งแต่ลิเก นิทานปรัมปรา มาจนถึงหนังสือและหนังของคนยุคนี้ 
อนุสรณ์: ตั้งแต่กรีกแล้วนะ ยูลิซิสมันก็ออกจากเมืองใช่ไหม ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเรานี่สรุปว่า พูดถึงเรื่องการเดินทางออกจากเมืองเหมือนกันหมดเลยแฮะ แม้กระทั่งพระพุทธเจ้า ยังออกจากเมือง ไปเข้าป่า จนตรัสรู้ใช่ไหม ผมว่าความน่าสนใจของเรื่องนี้ คือมันมีคอนเซ็ปต์เกี่ยวกับการเดินทาง 2 แบบ คือ Journey with a goal และอีกอันคือ Journey without end คือออกเดินทางไปแบบมีจุดหมายว่าจะไปไหน กับการออกเดินทางแบบเร่ร่อนไปเรื่อยๆ ผมว่าวรรณกรรมร่วมสมัย กำลังอยู่กับคอนเซปต์ Journey without end นะ
 
ถาม: คุณพูดคำว่าร่วมสมัยและยุคสมัยบ่อยมาก สำหรับคุณแล้วมันคืออะไร 
อนุสรณ์: ก็คือคนที่ต้องทนกับทักษิณร่วมกับผม คนที่ดูราชินีหมอลำเหมือนกับผม คนที่ร่วมสมัยกับผม คือคนที่เสพสิ่งเดียวกับผม วิจารณ์สิ่งเดียวกับ รังเกียจสิ่งเดียวกับผม รู้สึกผิดชอบชั่วดีเหมือนกัน อย่างที่คุณบอกว่าคุณไม่เก็ตสิ่งที่เสนีย์ เสาวพงศ์ เขียนแล้ว นั่นคือคุณไม่ได้ร่วมสมัยกับเสนีย์ เสาวพงศ์
 
ถาม: ทำไมเวลาเราพูดคำว่า "ร่วมสมัย" ปุ๊บ รายชื่อดังต่อไปนี้จะต้องไล่เรียงกันมา มูราคามิ หว่องกาไว ปราบดา หยุ่น เป็นเอก รัตนเรือง 
อนุสรณ์: ผมว่าคนเรามีอะไรบางอย่างในตัว ที่ไม่เคยถูกเขย่า แล้วคนเหล่านี้ คนที่คุณเรียกเขาว่าร่วมสมัย เขาเขย่าสิ่งนั้นคุณได้ วินาทีที่คุณอ่านงานของมูราคามิจบ คุณบอกกับตัวเองว่าคุณกระโจนลงไปในนั้นได้เลย นี่คือเขาเขย่าบางอย่างในตัวคุณ คุณนึกถึงเขา เพราะเขามีอุปการะคุณ ในการช่วยเขย่าอะไรบางอย่างในตัวคุณ คุณฟังเพลงของเดเมี่ยน ไรซ์ ในหนัง Closer แล้วบอก โอ้! มันเขย่าเว้ย ผมบอกไม่ถูกนะว่ามันเขย่าอะไรยังไง คือถ้าดูหนัง Closer จริงๆ แล้วมันเขย่าจังเลย มีอยู่ฉากหนึ่ง ที่พระเอกกับนางเอกนัดไปพบกันที่ตู้ปลา แล้วก็นั่งดูปลา นั่งคุยกัน มันตลกดีนะ วันนี้ก็กำลังมีคนไปเดินสยามพารากอน เพื่อจะได้จ้องตู้ปลา ระหว่างที่กำลังคุยกันเหมือนกัน มันคืออะไร มันคืออารมณ์ที่คนร่วมสมัย รู้สึกมีพลังอำนาจอยู่กับตัว ในขณะที่เขากำลัง Observe อยู่ หนังเรื่อง Closer นี่โคตรร่วมสมัยเลย มันทำให้เรารู้สึกว่าคนเรานี่แม่ง ไม่มีแก่นสารเลย ผู้หญิงคนหนึ่ง พร้อมจะไปและก็มาได้ตลอด ตัวที่เป็นแดนเซอร์พร้อมที่จะไปและมาแบบไกลๆ เลยนะ ส่วนตัวจูเลีย โรเบิร์ต ก็พร้อมที่จะไปและมาจากชีวิตผู้ชายคนหนึ่งตลอด
 
ถาม: อย่างเฮมมิ่งเวย์นี่ถือร่วมสมัยไหม 
อนุสรณ์: (คิดนาน) บางเรื่องก็ร่วม บางเรื่องก็ไม่ร่วม ผมว่า Old Man and the Sea ยังร่วมสมัยอยู่ มันยังเขย่าบางอย่างในตัวคุณได้ อย่างเจ ดี ซาลิงเจอร์ เรื่อง Catcher in the Rye ก็เขย่าคุณได้แน่ ความตายของเฮมมิ่งเวย์ก็ร่วมสมัย ความตายของคาวาบาตะก็ร่วมสมัย (ยาสุนาริ คาวาบาตะ) คุณลองไปถามเด็กจุฬาฯ ที่โดดตึกตายเมื่อเดือนก่อนสิ ว่าคาวาบาตะร่วมสมัยไหม ผมว่าเขาคิดเหมือนกับคาวาบาตะแน่ คือตอนที่โดดเขาต้อง peak มาก คาวาบาตะนี่ peak มาก คือกูต้องการอะไรอีกล่ะ โนเบลกูก็ได้แล้ว กูพีคแล้ว โซเซกิก็พีค (นัทสุเมะ โซเซกิ) ทุกคนพีคหมด ในขณะที่นักเขียนฝรั่งคนที่เพิ่งฆ่าตัวตาย ชื่อ ฮันเตอร์ ทอมป์สัน ผมว่าแตกต่างกัน ฝรั่งฆ่าตัวตายกับคนเอเชียฆ่าตัวตาย ด้วยเหตุผลต่างกันนิดหนึ่ง คนเอเชียฆ่าตัวตายเมื่อตัวเองพีค แต่ฝรั่งฆ่าตัวตายเมื่อตัวเองหมดแล้ว อย่างเฮมมิ่งเวย์พอรู้ตัวเองว่าหมดสภาพปุ๊บ ก็ฆ่าตัวตาย ฮันเตอร์ ทอมป์สัน พอรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็ง เลยฆ่าตัวตาย
 
ถาม: แต่เคิร์ท โคเบน นี่เขาพีคมากเลยนะ ตอนที่ฆ่าตัวตาย 
อนุสรณ์: อ้าว เคิร์ท โคเบน นี่ตะวันออกนะครับ วงเขาชื่อ Nirvana ใช่ไหมล่ะ
 
ถาม: เคยมีใครมาบอกคุณไหม ว่าคุณเขย่าเขาได้ 
อนุสรณ์: ก็มีบ้าง และมันรู้สึกดีนะครับ คงมีใครอีกหลายคน ที่กระดิ่งของเขาไม่เคยโดนเขย่า การได้อ่านวรรณกรรม ก็คือการเขย่ากระดิ่งของเขา
 
ถาม: ตอนนี้มีใครเขย่าคุณได้บ้าง มูราคามิ Closer หว่องกาไว 
อนุสรณ์: ผมไม่ค่อยถูกเขย่าด้วยหว่องกาไวนะ ผมถูกเขย่าโดยเปโดร อัลโมโดวา มากกว่า ผมชอบ All About My Mother อีกคนที่เขย่าผมได้ คือ ฮิโรซากุ โคเรอิดะ ผู้กำกับ Nobody Knows น่ะ ผมถูกเขย่าโดยหว่องกาไวแค่เรื่องเดียว คือ In The Mood for Love ฉากที่พระเอกพยายามจะอัดเสียงเข้าไปในกำแพงนครวัดนั่นแหละ เขาพยายามบอกว่านี่แหละ เสียงแห่งยุคสมัย คือเดี๋ยวกูเอาเสียง Freeze ไว้ตรงนี้ก่อนนะ ตอนนี้ยังไม่มีใครได้ยินเสียงกู แต่สักวันหนึ่งข้างหน้า จะมีคนมาเปิดฟัง คือผู้กำกับมันพยายามใช้สัญลักษณ์ ว่าหนังกูไม่มีใครเก็ตเลยเหรอ ไม่มีใครแฮปปี้เลยเหรอ งั้นก็ไปพูดใส่กำแพงนครวัดดีกว่า เพลงที่ผมชอบตอนนี้ ก็เดเมียน ไรซ์ และก็เพลงจากคิวบาทั้งหลายแหล่ ตระกูลงาน ฮาวาน่าคลับ รูเบน กอนซาเลส อิบราฮิม เฟอร์เรอร์ บัวนาวิสต้าโซเชียลคลับ ผมรู้สึกว่า เฮ้ย! พระเจ้า คนเหล่านี้เมื่อก่อนมันไปหลบอยู่ที่ไหนวะ เหมือนตอนที่ไปดูงานศิลปะของ ยาโยอิ โคซาม่า ที่แสดงที่อังกฤษ ผมไปดูแล้ว โอ้! ป้าคนนี้มันไปอยู่ไหนมาวะ แกอายุ 70 แล้วนะ ผมเพิ่งได้ดูงานแก แล้วมันเพิ่งมาเขย่าผม ตอนนี้มาแสดงที่เมืองไทยด้วยนะ ที่ Playground และต้นสนแกลอรี่ ผมเดินเข้าไปในงานแสดงของแกแล้วเจอแต่จุดๆ แต่พอเดินกลับออกมาแล้ว ผมไม่เหมือนเดิมแล้ว
 
ถาม: คนเราถ้าถูกเขย่าบ่อยๆ นี่ดีไหมครับ 
อนุสรณ์: ก็ไม่ต้องบ่อยหรอก โดนสักเดือนละครั้งนี่ ผมว่าแจ๋วแล้ว (หัวเราะ) ตอนอยู่ลอนดอนนี่มีอยู่วันหนึ่ง ที่ผมโดนเขย่า 2 หน เรียกว่าพอกลับถึงบ้านเนี่ยะ เพลียเลย โอ้โห มันมีอย่างนี้ด้วยเหรอวะ คือวันนั้นไปดูหนังของโคเรอิดะ เรื่อง After Life แล้วระหว่างทางกลับบ้าน ก็แวะดูงานศิลปะของโคซาม่า ผมรู้สึกว่าร่างกายของผมถูก Osmosis จนแฟบเลย เหมือนกับลูกอัณฑะตัวเองถูกสูบจบฟีบเลยหล่ะ โอ้โห! กูจะมีชีวิตข้างหน้าต่อไปได้อย่างไรวะเนี่ยะ กูจะสร้างงานดีๆ อย่างนั้นสู้เขาได้อย่างไร อย่างหนังเรื่อง The Ring เนี่ยะ ผู้กำกับมันชื่อไรนะ ผมดูจบแล้วไม่กล้าออกจากโรงเลยนะ ผมว่านั่นมันทำให้หนังผีสูงขึ้นอีก 1 ระดับ งานวรรณกรรม งานสถาปัตยกรรม อะไรก็ตาม มันต้องทำให้สภาวะในตัวคุณสูงขึ้น 1 ระดับ คือรู้สึกว่าไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป อย่างกาแฟเนี่ยะ กินที่ไหนก็ได้เยอะแยะ แต่พอมานั่งกินสตาร์บัคส์ คุณอาจจะ โอ้โห! ร้านนี้มันไปอยู่ไหนมาวะ มันยกกาแฟขึ้นไปอีกระดับ แล้วเมื่อคุณกินมันไปเรื่อยๆ คุณก็จะชิน คุณก็จะอยู่ระดับเดียวกับมัน แล้วคุณก็จะรอวันถูกเขย่าอีกครั้ง ด้วยกาแฟที่สูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
 
ถาม: แบบนี้มนุษย์เราก็จะชินชา และรอให้ถูกเขย่าครั้งต่อไปตลอดเวลาสิ 
อนุสรณ์: นี่คือจุดอ่อนของการเป็นผู้เสพไงล่ะ ถ้าคุณเป็นผู้เสพอย่างเดียว ร่างกายคุณจะอ่อนแอ เพราะคุณต้องรอให้คนอื่นมาเขย่า เหมือนกับในวันเปิดสยามพารากอน คนกรุงเทพฯ ไปยืนออกันหน้าห้าง แล้วบอกว่า ช่วยเขย่ากูหน่อย ช่วยเขย่ากูหน่อย คนพวกนี้ซีดเซียวนะ ถ้าจะให้ดี เมื่อคุณถูกเขย่ามาแล้ว คุณต้องถอยตัวเองออกมาเพื่อเป็นผู้ผลิตบ้าง ผมต้องไม่ยอมเป็นคนเสพย์ตลอด ผมอยากไปเขย่าคนอื่น เพื่อที่เขาจะได้รับอานิสงส์นี้ แล้วไปเขย่าคนอื่นต่อ อย่างวันนี้ผมเขย่าคุณ แล้ววันหนึ่งคุณก็จะได้ไปเขย่าคนอื่นต่อ
 
ถาม: แล้วอย่างแฮร์รี่ พอตเตอร์ล่ะ ที่เหล่าคนที่ถูกเขย่า มายืนรวมตัวกัน ออกันที่หน้าร้านหนังสือ รอขอลายเซ็นของ เจ เค โรลลิ่ง ในวันที่หนังสือเล่มใหม่ออก 
อนุสรณ์: แต่กรณีแฮร์รี่ พอตเตอร์ มันคนละเรื่องกับที่เราคุยกันอยู่นะ มันเหมือนกับคนอ่านเหล่านั้น นับถือนิกายหนึ่ง แล้วดำเนินชีวิตตามนิกายนั้นไป นี่มัน Fundamentalism มากเลยนะ คุณไม่ต้องทำอะไร คุณแค่รอเวลา 2 ปีก็จะมีหนังสือเล่มใหม่มาให้คุณซื้อ ระหว่างการรอ 2 ปีนั้น ก็มีหนังมาคั่นให้ 1 ภาค ดังนั้นในทุกๆ ปี ชีวิตคุณก็มีความสุขไปได้ ปีที่หนังสือ