Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

ทุกวินาทีที่(ยิ่งกว่า)คุ้มค่า…ฟ้า พูลวรลักษณ์ ปิดตัว เข้าถึงยาก หาตัวลำบาก

 

 
3 คำข้างต้นมักเป็นสร้อยท้ายที่ติดอยู่ในใจของใครหลายคน เมื่อเอ่ยถึงชื่อของ ฟ้า พูลวรลักษณ์ 
 
จริงหรือที่นักเขียนหนุ่ม (ใหญ่) ผู้เปิดโลกกวี "แคนโต้" ให้บรรณพิภพไทยรู้จัก แถมยังสร้างสรรค์งานที่ทั้งต้องใช้พลังในการอ่านมาก และหากรอบมากำหนดคอนเซ็ปท์ลำบาก อาทิ ห้องเรียนที่เงียบที่สุดในโลก, การแสดงภาพเขียนของศิลปินคนนั้น, หนังสือเด็กโบราณ, โรงเรียนที่เงียบที่สุดในโลก และรวม 60 เรื่องสั้นกำลังภายในออกมาอีก 2 เล่ม คือ จอมดาบทะเลบ้า และลมปราณเจ็ดร้อยปี คนนี้จะเป็นดังร่ำลือกัน 
 
ท่ามกลางความร่มรื่นของหมู่ไม้ และเสียงนกกาเหว่าที่ร้องประสานกับเสียงรถจากโลกภายนอกรั้ว เขาเปิดบ้าน เปิดใจ และเปิดโอกาส ให้ได้สัมผัสตัวตน…ที่มากกว่าตัวอักษร 
 
"ดูเผินๆ เหมือนผมเก็บตัวมาก เข้าหายากใช่ไหม" ฟ้าถามกลับมาด้วยท่าทีสบายๆ ก่อนจะอธิบายว่า 
 
"ถ้าอ่านจากงานหรือดูแค่ผิวเผิน อาจจะรู้สึกว่า โห หมอนี่เป็นคนพูดยาก แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผมมองว่าผมมีคุณสมบัติตรงกันข้าม เพราะผมเข้ากับคนง่าย และพร้อมรับฟังคำวิจารณ์เสมอ ทั้งจากตัวเองและคนอื่น อย่างงานของผมมีบรรณาธิการ เวลาที่เสนอมาว่าอยากให้ตัดนั่นนี่ ผมพร้อมให้ความร่วมมือเสมอนะ เพราะสิ่งทั้งปวงในโลกส่วนใหญ่เป็นผิวเปลือก ตัดไปก็ไม่เห็นจะสะดุ้งสะเทือนอะไรเลย" 
 
ฟ้าบอกว่า สาเหตุของการไร้อัตตานี้ มาจากการจินตนาการว่าตัวเองเป็นคนเสพด้วยระหว่างที่สร้าง เนื่องด้วยนิสัยที่อยากรู้ อยากเห็น อยากทดลองของตัวเอง 
 
"อ่านดูแล้วถามว่าตัวเองรู้สึกยังไง อันนี้สำคัญมาก เพราะผมทำงานโดยเอาตัวเองเป็นจุดตั้งและมีภววิสัยแรง ถ้าไม่มีคุณสมบัติข้อนี้ บางทีผมแยกงานไม่ถูก งานอาจจะเละ ซ้ำซาก เหมือนคนหลงตัวเอง เขียนอะไรก็ดีหมด" 
 
ในภาวะที่ไม่สามารถให้คำนิยามงานตัวเองได้นั้น ฟ้ามองว่าเป็นทั้งบวกและลบ ลบในแง่ที่ว่าอ่านยาก-ทางร้านหนังสือไม่รู้จะจัดประเภทไว้ตรงไหน เป็นความอึดอัดที่ฝืนธรรมชาติ ส่วนบวกคือคนที่ชอบจะเป็นแฟนแบบเหนียวแน่นและมีความผูกพัน 
 
"ผมก็พยายามจัดบ้างเพื่อความสะดวกในการนำเสนอ แต่งานทั้งหมดของผมคือศิลปะ ซึ่งก็คือการแสดงมุมมองของศิลปิน มุมมองที่มีต่อโลก ต่อชีวิต เพียงแต่ศิลปินเองก็ไม่อาจอยู่บนความว่างเปล่า บางครั้งก็ต้องหารูปแบบสักอย่างเพื่อสื่อมุมมอง 
 
"งานทุกชิ้นของผมเกิดจากการรวมตัวขององค์ประกอบต่างๆได้อย่างพอดิบพอดี อย่างเช่น ผมไม่เห็นด้วยกับความฉลาด เพราะรู้สึกว่าไม่ว่าจะโง่หรือฉลาดก็สำคัญทั้งนั้น เอาเป็นว่า ผมรู้แต่ว่าถ้าชั่วโมงนี้ผมทำนี้ได้ก็จะทำ เข้าทำนองน้ำขึ้นให้รีบตัก ถ้าผมคิดว่าทำไม่ได้ในนาทีนี้ก็ไม่ทำ เพราะเสียเวลาในการตัก" เขาอธิบายยิ้มๆ 
 
อย่างเล่มล่าสุด จอมดาบทะเลบ้า และลมปราณเจ็ดร้อยปี ก็เป็นหนึ่งในน้ำขึ้นให้รีบตัก 
 
"นิยายกำลังภายในสำหรับผมเป็นเหมือนนิทานกล่อมเด็ก สมัยเด็กๆ ผมหลับได้ด้วยกำลังภายใน แต่ก่อนหลับผมจะสมมุติตัวเองเป็นตัวละครเลยนะ แล้วเผอิญหลับปุ๋ยก่อนเรื่องจะจบ" ฟ้าพูดพลางหัวเราะเสียงดัง 
 
เพราะฉะนั้น ในวันนี้ความคิดก่อนนอนเลยแปรเป็นสองเล่มที่ว่า 
 
"จริงๆ ถ้าเราอ่านเรื่องสั้นกำลังภายในก็จะเห็นเลยว่าเหมือนแคนโต้นั่นล่ะ ในความกว้างใหญ่ของพื้นที่ ความไวในการเขียน และตัวละคร" 
 
จะเรื่องไหนฟ้าก็เขียนเหมือนไม่เสียดายตัวละคร เพราะสามารถทิ้งตัวละครได้แบบยังไม่ทันจบเสมอ เราสงสัย 
 
"ตรงนี้ล่ะที่ผมมองว่าสนุก เป็นอีกรสชาติที่หาไม่ได้ เป็นสไตล์ให้คนอ่านได้ดื่มด่ำ อย่างเช่นเราบอกรักหรือบอกไม่รัก บางครั้งไม่ซึ้งกว่าเราไม่พูด แต่มีการแสดงออกบางอย่างที่ทำให้รับรู้ถึงรสชาติที่ว่า" 
 
เหมือนเพลง When you say nothing at all เลย เรา (แอบ) แซว 
 
ฟังแล้วเจ้าตัวก็หัวเราะร่าก่อนตอบว่า 
 
"ผมน่ะใช่เลย ผมเป็นพวกไม่ชอบพูดหมด" 
 
ฟ้า เป็นอีกคนหนึ่งที่ชีวิตไม่เคยหยุดนิ่ง อย่างตอนนี้นอกจากเขียนหนังสือ เรียนภาษาแล้ว เจ้าตัวกำลังมีกิจกรรมใหม่คือ เรียนทำภาพยนตร์ 
 
"เริ่มตั้งแต่ปีที่แล้ว เรียนเพราะอยากรู้ เขียนบท 1 ครั้ง ทำหนัง 2 ครั้ง แต่ไม่รับประกันว่าจะทำได้รึเปล่า เพราะในชั่วโมงนี้ถ้าผมเป็นผู้อำนวยการสร้างจะไม่อนุมัติเงินลงทุนล่ะ ไม่ไว้ใจ" เป็นประโยคที่มาพร้อมเสียงหึๆ ก่อนบอกว่า 
 
"ผมคงต้องกำกับบทของตัวเอง คล้ายถูกบังคับด้วยจริตตัวเอง เรียนหนังสนุกกว่าเรียนภาษานะตรงที่ให้ผลตอบแทนได้-เสียมากกว่า" 
 
เสียอย่างที่เจ้าตัวว่า คือความเหนื่อย กลับมาหมดแรง-หมดพลัง แต่ที่ได้คือความท้าทายในการตีโจทย์ ถ้าตีแตก จะได้งานที่จริงจังกว่า ได้เพื่อนที่สนิท และถ้าวันหนึ่งสร้างหนังที่ดีได้ก็เป็นผลงานที่น่าภูมิใจ 
 
ความสนุกที่จะเรียนรู้ เป็นหลักวิธีการคิดและการใช้ชีวิตตลอดมา บนพื้นฐานความเชื่อที่ว่า ทุกคนเกิดมาก็ต้องตาย 
 
"เพราะงั้นน่าจะทำอะไรที่มีความหมายกับชีวิตดีกว่า ผมเป็นคนสังเกตตัวเองทุกขณะ ถ้าวันไหนรู้สึกนิ่งๆ ก็ชักไม่ค่อยดีแล้ว ต้องดิ้นรนด้วยการเคลื่อนที่ ย้ายถิ่น เพราะทุกอย่างที่เปลี่ยนจะกระตุ้นให้เราเคลื่อนไหว" 
 
และการเคลื่อนไหวในความหมายของฟ้า เกิดจากแอ๊คชั่น 
 
"โลกนี้มีสองอย่าง แอ๊คชั่นกับแอ๊คทิวิตี้ แอ๊คทิวิตี้เป็นการกระทำจากความเคยชิน แต่แอ๊คชั่นคือเราเริ่มมีเป้าหมายแล้ว อย่างการเรียนและการเดินทาง เพราะมันไม่จำเป็นต้องทำก็ได้ ซึ่งมันอาจจะดีรึไม่ดีก็ได้ แต่โดยประสบการณ์ผมมักจะดี มันมีผลต่อสาระของชีวิตและความคิด" 
 
ดังนั้น จะให้หยุดแอ๊คชั่นตัวเอง "ผมไม่เคยทำ" 
 
ด้วยเหตุผลที่มาพร้อมรอยยิ้มกว้างว่า 
 
"เมื่อมีชีวิตอยู่ ต้องทำทุกวินาทีให้คุ้มค่า" 
 
 
วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11515 
มติชนสุดสัปดาห์