‘ทองเสน เจนจัด’ ผู้เป็นสีสันของเงาและแดด (3)
เวียง วชิระ : ตอนนั้นเวลาไปไหนพี่ปุ๊เขาก็จะพาพี่หงาไปด้วยใช่มั้ย อย่างไปทำสารคดี
ถ้าแกจะไปไหนมาไหนก็จะพาเราไปด้วย ดีตรงนี้แหละ
เวียง วชิระ : เพราะอะไรพี่ปุ๊ถึงชอบชวนพี่
เพราะเราคบง่ายมั้ง
เวียง วชิระ : ตอนนั้นพี่หงาว่างๆ อยู่ด้วย?
เออ ก็ว่างด้วย แกเอาเราไปถ่ายรูปน่ะ แกชอบถ่ายรูป เดี๋ยวก็…เฮ้ย หงามึงไปยืนตรงนั้น กูจะถ่ายรูป เฮ้ย มึงถือกีตาร์อยู่ตรงนั้นหน่อยซิ คือเป็นนายแบบก็ไม่ใช่…เหมือนเป็นอะไรสักอย่าง (ยิ้ม)
วิธีการทำงานของอาปุ๊เวลาออกภาคสนาม แกจริงจังกับการเก็บข้อมูลมั้ยครับ หรือว่านั่งเงียบเก็บบรรยากาศไปเรื่อยๆ
แกก็ออกไปเหมือนไปเที่ยว ไม่ได้ซีเรียส แบบไปทะเลเหมือนไปเที่ยว แต่นั่นล้วนแต่เป็นเรื่องข้อมูลทั้งนั้นนะ แต่แกก็จะมีพิมพ์ดีดไปด้วย คือเวลาแกอยู่ในห้องส่วนตัวจะไม่มีใครไปยุ่ง แกน่าจะทำงานช่วงนั้นแหละ แกอาจจะอยู่กับเมียอยู่กับใครพวกเราไม่เคยไปยุ่งเกี่ยว พูดง่ายๆ ตั้งแต่เจอกัน เราไม่เคยเห็นแกอาบน้ำ มันเป็นเรื่องส่วนตัวจริงๆ เจอกันก็เมื่อแกพร้อมที่จะลงมาเจอหรือมาหากัน ทั้งๆ ที่ไปด้วยกัน
เว้นระยะห่างพอสมควร ?
ครับ แกก็มีโลกส่วนตัวของแกอยู่
เวียง วชิระ : งั้นที่แกเขียนเรื่องเหล้าบ่อยๆ นี่ตกลงแกกินเหล้าเก่งจริงมั้ย?
ปรมาจารย์เรื่องเหล้า กินเหล้าเยอะ กินจนนาทีสุดท้าย
ทินกร : กับพี่หงานี่ใครกินเก่งกว่ากัน
โอ๊ย จะไปสู้แกได้ไง (หัวเราะ) แกกินเหล้าดีๆ ทั้งนั้น แกมีรสนิยม ต้องคอนยัค บรั่นดีอะไรอย่างนี้
ทินกร : แบบนี้น้องๆ ก็สบายไปด้วยสิครับ ?
ไม่นะ เหล้าคนละขวด ไม่ได้กินด้วยกันนะ ไม่เกี่ยว เหล้าแกก็เหล้าแกนะจะบอกให้(หัวเราะ) ของเราก็แม่โขงสิ นั่งวงเดียวกันแต่เหล้าคนละขวด (หัวเราะ)
แล้วอย่างนี้พี่หงาไม่เคยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจบ้างเหรอ
ไม่ๆ ๆ ๆ อย่างเรามาจากง่ายๆ ไง…โอย…แม่โขงขวดเดียวก็บุญแล้วตอนนั้น พวกเรากินเหล้าพื้นๆ ทั่วไป
คุณสุมาลี วงษ์สวรรค์
เวียง วชิระ : พี่หงาคิดว่าเป็นเพราะอะไรเวลาที่พี่ปุ๊มีเหล้าดีๆ แกถึงได้กินส่วนตัว ไม่ได้แบ่งให้เพื่อนให้น้อง
มันคงมีน้อยมั้ง มันเป็นของหายาก มันไม่ได้กลาดเกลื่อนแบบปัจจุบันนี้ สมัยโน้นเหล้านอกมันไม่ใช่เรื่องหาง่ายๆ เท่าไหร่นะ แพงด้วย สมัยนี้มันง่ายไง
พี่หงาเคยกินกับข้าวที่อาปุ๊ทำมั้ย
แกไม่ได้ทำนี่
แต่แกเขียนเรื่องทำกับข้าวเยอะมากนะ ?
ก็น่าจะเป็นสูตรของแก แต่สั่งให้เมียทำ ไม่เคยเห็นแกทำเลย แต่เราอาจจะผิดก็ได้นะเรื่องนี้ เท่าที่จำได้ไม่เคยเห็นแกเข้าครัว
เวียง วชิระ : แต่แกจะรู้ว่าควรปรุงด้วยอะไร?
อืม…ใช่ แกจะมีสูตร แต่คนลงมือทำน่าจะเป็นเมียนี่แหละ คุณติ๋มเมียนี่รับใช้มากๆ เลย ต้องคุยกับคุณติ๋มจะรู้ลึก
รวมๆ แล้วคือแกเป็นคนประณีตพิถีพิถันเรื่องกินอยู่ ?
อืม…ข้าวต้องร้อนไม่ร้อนไม่กิน อะไรอย่างนี้ การกินของแกไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไหร่ ใครไปเขียนว่าแกกินอยู่ง่ายๆ ไม่ใช่เลย…ยากมาก ข้าวไม่ร้อนไม่กินน่ะ อาหารต้องเข้าปากเข้าคำถึงจะกินได้ ไม่ใช่ว่าหิวก็พุ้ยส่งเดช มีระเบียบมากเรื่องแบบนี้
อันนั้นอาจจะเป็นเรื่องของรสนิยมเรื่องความรู้ส่วนตัว แกจะเป็นคนที่มีความรู้ค่อนข้างแจ่มชัด ก็ไม่รู้ว่าแกรู้มาจากไหนนะ แกอาจจะอ่าน…ความที่เป็นตรงนี้รู้ตรงนี้ มันจึงทำให้แกมีลักษณะเฉพาะทั้งในแง่ชีวิตและการทำงาน รวมถึงความสามารถในการถ่ายทอด
ทินกร : ยุคนั้นพี่ปุ๊แกแต่งตัวแฟชั่นมั้ยครับ
แกก็แฟชั่นตลอดแหละ ผมก็ต้องทรงนี้ เสื้อต้องเปิดหน้าอกหน่อย มีสร้อยสั้นๆ ห้อยอะไรก็จำไม่ได้แล้ว ห้อยพระหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่คงไม่ใช่พระหรอก แล้วก็ไว้หนวด ใส่แหวน ใส่กำไล
เป็นคนที่ดูแลตัวเองตลอดเวลา ?
เป็นลักษณะส่วนตัวเลย ห้องแต่งตัว ห้องอาบน้ำ ห้องนอนไม่มีใครได้เห็นหรอก มีแต่เมียเท่านั้นที่ดูแล ไม่มีใครไปยุ่งหรอก ไม่ใช่ใส่กางเกงในตัวเดียวเดินในบ้าน…ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าเป็นเรากับน้องๆ เราก็จะแก้ผ้าให้เห็นหมดแหละ (หัวเราะ)
ช่วงที่อยู่บ้านบางซ่อนพี่หงาก็ไม่เคยเห็นห้องทำงานของแกเลย?
ไม่เคยเห็น ได้ยินแต่เสียงพิมพ์ดีด เช้ามาก็ทำงานแล้ว ต๊อกแต๊กๆ แกทำงานเยอะ แต่ว่าไม่มีใครไปนั่งดู ไม่มีใครไปยุ่ง เรานอนอยู่ใต้ถุน เพิ่งสร่างเมาบ้าง อะไรบ้าง
ความจริงแกเป็นคนดุนะ เจ้าระเบียบ อย่างเรื่องเขียนหนังสือ กระดาษที่ใช้ก็ต้องเป็นกระดาษเฉพาะ ต้องมีคนคอยดูแลจัดการให้
ทำไมพี่หงาจึงไม่ค่อยอ่านงานของพี่ปุ๊ กลัวติดสำนวนหรือยังไง?
ไม่กลัวติด แต่เราจะเหนื่อยกับเรื่องสำนวน เราไม่ค่อยเอาสำนวน
พิสิฐ : ไม่ชอบทางของพี่ปุ๊?
ไม่ใช่ไม่ชอบ ชอบแกอยู่…แต่เราว่ามันรุงรัง นี่ต้องพูดตรงๆ น่ะนะ รสนิยมเราชอบงานแบบเฮมิงเวย์อะไรอย่างนี้ คือเราชอบน้อยๆ แต่งานของพี่ปุ๊อ่านมากๆ แล้วจะติดนะจะบอกให้ มันสนุกไง แต่ตอนหลังเราไม่ได้อ่านแกเท่าไหร่ อย่างในมติชนเราอ่านแล้วปวดหัว (หัวเราะ)
ย้อนกลับมาช่วงเหตุการณ์เดือนตุลาคม ดูเหมือนตั้งแต่นั้นมาพี่หงากับอาปุ๊ก็ห่างกันไป ?
อืม…เราไม่มีเวลาเลยช่วงนั้น แล้วแกก็อยู่กับลูกกับเมีย ช่วงที่ลูกของแกสองคนเกิดน่ะ เราไม่ได้ไปยุ่งเลย หลานสองคนที่เกิดมาก็ไม่เคยรู้เลยว่ามีกลุ่มอย่างพวกเรา เขาจะมีอีกกลุ่มหนึ่งไป สองคนนี้โตอยู่ทางเหนือ คือแกไปอยู่เชียงรายแล้วก็มาอยู่เชียงใหม่ ช่วงนั้นคือ นานๆ… ไปเยี่ยมที เห็นกันก็กินเหล้ากัน
พิสิฐ : พี่หงาออกจากป่ามา พี่ปุ๊ก็ไปภาคเหนือแล้ว ?
แกก็อยู่กับเมียแก ซึ่งเราไม่จำเป็นต้องไปยุ่งแล้ว
แล้วไม่คิดถึงกันเลย ?
ก็…คิดถึง (เสียงสูง)
พ้นจากช่วงนั้นมา มีโอกาสได้ใกล้ชิดกันอีกครั้งเมื่อไหร่ครับ
ช่วงตอนที่แกเริ่มป่วย เราก็แวะไปหาที่บ้านแก ตอนนั้นแกก็มาอยู่ทูนอินไง เราก็ไปเขียนกลอนทิ้งไว้บทหนึ่ง แล้วแกก็อยากให้ไปหา ไปนั่งเล่นกีตาร์เหมือนเดิมอะไรอย่างนี้ แต่เราเองก็ไม่ค่อยมีเวลาแล้ว เราก็มีวงมีอะไร… แกต้องการให้ไปนั่งกินเหล้า นั่งเล่นกีตาร์ แกต้องการแค่นั้นแหละ แกเหงาน่ะ
ทินกร : พอเจอพี่หงาไปแล้วแกอยากกินเหล้ามั้ย
คนเหงา…ใครก็ได้ไป ขอให้มีคนไปเยี่ยมเถอะ แกกินได้วันละนิด…ก็อย่ากินเลยดีกว่า ไม่อยากให้แกกินน่ะ แกว่า…กูกินได้วันละแค่นี้นะ…หมอบอก เป็นเราเราก็ไม่กินดีกว่า
(พูดเหมือนรำพึงรำพันคนเดียว) เวลามันเร็วนะ หวนคิดไปมันก็เหมือนไม่นานนี้เอง สมัยแกมาจากอเมริกาใหม่ๆ แล้วไปเจอแก ช่วงนั้นสนุกมาก ไปเที่ยวไปไหนต่อไหนด้วยกัน
พี่หงาเคยเจอพี่ปุ๊ตอนช่วงที่แกอารมณ์ไม่ดีบ้างมั้ยครับ
ก็มีบ้าง เพราะว่าอยู่ด้วยกันเยอะ
มีเรื่องอะไรบ้างที่จะทำให้แกอารมณ์ไม่ดี
จำไม่ได้
คนแบบไหนที่อาปุ๊จะไม่คบเลย
ไม่เคยเจอนะ ไม่เคยเจอร้ายๆ แต่ถามเคยเจอแกตอนดุมั้ย ก็เคยเจออยู่ ยามดุ ยามตะคอกคนรู้สึกเคยเห็นอยู่ พวกลูกน้องที่เป็นลูกน้องจริงๆ ที่แกเอาไปเลี้ยงดู ก็เห็นกลัวแกอยู่ แต่กับพวกเราแกไม่เคยมาด่าหรอก ไม่ยุ่ง มีอะไรแกก็ทน
เวียง วชิระ : พี่หงาเคยเห็นพี่ปุ๊ตีรันฟันแทง มีเรื่องมีราวกับคนมั้ย
อันนี้ไม่รู้นะ แต่ว่าสมัยหนุ่มเขาก็สะท้อนออกมาหลายๆ เรื่อง ก็เคยคุยๆ กันอยู่ ที่จริงชีวิตแกก็มีหลายชั้นนะ
ช่วงที่อาปุ๊ทำบ้านที่สวนทูนอินพี่หงาก็ไม่ค่อยได้ไปเยี่ยม ?
ก็ไปบ้าง ไปเห็นก็กำลังทำบันไดอยู่บ้าง ทำโน่นทำนี่อะไรบ้าง คือบ้านแกจะทำทีละนิดทีละหน่อย ได้เงินมาก็ทำ แล้วแกก็ขับรถขึ้นลง จนรถไปคว่ำจากนั้นแกก็เลยไม่ขับแล้ว สายตาไม่ดี รถคว่ำแถวลำปาง
ตอนนี้บ้านแกก็เสร็จแล้ว แต่พอแกไม่อยู่แล้ว เหลือแต่บ้านไว้ เมียแกก็จะอยู่ต่อ เราถาม…อยู่ได้มั้ย แกก็บอกจะอยู่ ทำไมไม่ไปอยู่อเมริกากับลูกล่ะ ลูกก็ทำงานดีแล้ว มีเงินมีทองเทคแคร์แม่ได้…คุณติ๋มบอกไม่ไป ไม่มีเพื่อน แกจะอยู่ที่ทูนอิน แล้วลูกจะกลับมาอยู่ด้วย
พิสิฐ : ครั้งสุดท้ายในชีวิตที่เจอพี่ปุ๊คือตอนไหน
ก็นานนะ…ตั้งแต่วันเกิดเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ไปกันหลายคน ไปเล่นดนตรีให้ที่บ้านแกนั่นแหละ ตอนนั้นแกก็นั่งรถเข็นแล้ว
พิสิฐ : หลังจากครั้งนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีก ?
ก็เป็นปี ระหว่างนั้นก็ได้ยินข่าวแต่ว่าแกป่วย ป่วย ป่วย พอได้ยินแบบนี้เราก็ไม่อยากไป…คือไม่อยากไปเห็นตอนป่วยเท่าไหร่ เห็นแล้วมันยังไงล่ะ…ไม่รู้สิ…เรารู้สึกว่านั่นไม่ใช่พี่ปุ๊ที่เราเคยรู้จัก
ตีพิมพ์ในนิตยสารเวย์ มีนาคม 2552