‘ทองเสน เจนจัด’ ผู้เป็นสีสันของเงาและแดด
เรานัดเขาช่วงเย็นของพิธีสวดวันสุดท้ายที่เชียงใหม่…
เพียงแต่ว่าพวกเรานั่งอยู่ในกรุงเทพฯ
สุรชัย จันทิมาธร เพิ่งเดินทางลงมาจากพิธีศพของ ‘เพื่อนหนุ่ม’ – ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ นักเขียนไทยคนเดียวที่น่าจะตายอย่างยิ่งใหญ่และมีผู้คนสนใจมากที่สุดแล้ว…อย่างน้อยก็ในชั่วโมงนี้
เป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งลูกพี่ เพียงแต่ว่าเขาไม่ใช่ลูกน้อง สุรชัยย้ำอย่างนั้นตั้งแต่ต้น
ทองเสน เจนจัด เป็นนามปากกายุคที่ หงา สุรชัย ยังไม่ได้เป็น หงา คาราวาน…ไม่รู้เป็นไง เรารู้สึกว่านามปากกานี้สอดคล้องและกลมกลืนอย่างยิ่ง หากปรากฏในฐานะตัวละครตัวใดตัวหนึ่งในงานเขียนของ ‘รงค์ วงษ์สวรรค์
แต่สุรชัยก็เป็นสุรชัย ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ก็เป็น ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ ต่อให้ใครมองจากระยะไกลๆ แล้วอาจรู้สึกว่าทั้งสองคนมีอะไรหลายอย่างคล้ายคลึงกันเหลือเกิน
เหมือนกับเงาและแดด ดำรงอยู่ในห้วงเวลาเดียวกัน ผู้คนจดจำเป็นภาพเดียวกัน มองดูคล้ายๆ เป็นภาพหนึ่งเดียวกัน…คล้ายๆ แต่ไม่ใช่
สุรชัยและเพื่อนเคยอาศัยบ้านบางซ่อนของ ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ เป็นทั้งที่พัก ที่เมา ที่บ่มเพาะอนุบาลความคิด ในยุคก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ข้อมูลนี้ถูกเล่าปากต่อปาก ก่อนได้รับการบันทึกไว้ในหนังสือชื่อ ‘หงา คาราวาน เงา – – สีสันของแดด’ ผู้เขียนคือเจ้าของบ้าน ตีพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์มติชน เมื่อปี 2542
ระยะห่างของความทรงจำทอดไกลราว 30 ปี
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า สุรชัยรักใคร่ใกล้ชิดกับ ‘รงค์ วงษ์สวรรค์มากเพียงใด แต่ก็เหมือนกับเงาและแดด สุรชัยบอกว่าเขาอ่านงานของ ‘รงค์ วงษ์สวรรค์น้อยมาก กระทั่งหนังสือเล่มที่ ‘ลูกพี่’ เขียนถึงเขาเป็นวาระพิเศษเฉพาะ สุรชัยก็ยังไม่เคยอ่าน
โดยคำบอกเล่าและประสบการณ์ เรารู้ดีว่าการจะพูดคุยกับสุรชัย จันทิมาธร โดยคาดหวังความเป็นเรื่องเป็นราวเอาประเด็นจริงจังนั้น ถือว่าเป็นงานยากถึงยากมาก
คำนินทามีอยู่ว่า ถามช้างแล้วตอบม้า…นั่นแหละพี่หงาของแท้
เย็นวันนั้น way จึงเอ่ยปากเชิญบรรดาช้างๆ ทั้งหลาย มาช่วยกันตั้งคำถามกับ สุรชัย จันทิมาธร อันประกอบไปด้วย พิสิฐ ภูศรี นักเขียน (ผู้เคย) หนุ่ม ซึ่งประกาศตัวกลางวงดื่มนมอย่างสม่ำเสมอว่านับถือ ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ ราวกับเป็นเทพเจ้า ทินกร หุตางกูร ภูติประจำตัวของบรรณาธิการ และ เวียง วชิระ บัวสนธ์ บรรณาธิการสำนักพิมพ์สามัญชน ผู้ดูแลงานเขียนของสุรชัย จันทิมาธร
การณ์กลับเป็นว่า สุรชัยตอบทุกคำถามอย่างมีสมาธิ เพราะเรื่องส่วนใหญ่ที่เขาพูด เป็นเรื่องของ ‘ลูกพี่’ ผ่านมุมมองของแดดและเงาตามสายตาน้องคนหนึ่ง
ระหว่างเว้นวรรคช่องไฟคำถาม เขาพลิกหนังสือ ‘หงา คาราวาน เงา – – สีสันของแดด’ เปิดดูฆ่าเวลา มองภาพประกอบ ทั้งภาพถ่าย ภาพเขียน ลายมือต้นฉบับ แล้วชวนคนนั้นคนนี้คุยถึงเบื้องหลังภาพเหล่านั้น
ถ้าไม่ใช่สุรชัย จันทิมาธร เราอาจรู้สึกว่า นี่คือแววตาของชายวัย 61 ที่กำลังนึกถึงเพื่อนหนุ่มวัย 77 ที่เพิ่งจากไป
…แววตานั้นมีร่องรอยของความคิดถึง
พี่หงาพบกับอาปุ๊ครั้งแรกเมื่อไหร่ครับ
ผมก็เจอพร้อมๆ กับใครหลายคนในตอนนั้น คือพี่ปุ๊แกไปอยู่อเมริกานาน ช่วงที่พี่ปุ๊เป็นหนุ่มเราก็ไม่ได้เจอ มีแต่ตำนานมีแต่เรื่องราว มีแต่ตัวหนังสือของเขา เพราะเขาไปอยู่อเมริกา แต่ไปอยู่กี่ปีผมก็ไม่ทราบ
วันที่เราเห็นหน้าพี่ปุ๊ครั้งแรก ทุกคนตื่นเต้นมาก (ยิ้ม) พี่ปุ๊มาจากอเมริกา แล้วมาพูดที่สมาคมนักข่าวตรงราชดำเนิน กลุ่มพวกเราที่ทำหนังสือกันอยู่ก็แห่กันไป เหมือนเด็กหนุ่มทั้งหลาย จำได้เลย ตอนนั้นพี่ปุ๊เท่มาก รู้สึกน่าจะ 40 กว่าๆ เดาๆ เอานะ พี่ปุ๊ 40 กว่า พวกเราก็ 20 กว่าๆ
ตอนนั้นกลุ่มหนุ่มเหน้าสาวสวย กลุ่มพระจันทร์เสี้ยวก็มีตัวตนอยู่แล้ว?
มีอยู่แล้ว ตอนที่ผมเริ่มเขียนหนังสือจริงก็คือปี 2509 ถึง 2512 อะไรทำนองนี้ พี่ปุ๊แกน่าจะมาระยะนั้น ผมก็จำไม่ค่อยได้
ตอนนั้นภาพลักษณ์อาปุ๊ก็คือมีลักษณะความเป็นดาราพอสมควร ?
ใช่ (หัวเราะ) เขาก็เป็นนักเขียนหนุ่ม…เป็นดารา…แบบ…เท่น่ะ (หัวเราะ) ตอนนั้นแกยังหนวดดำ หัวยังไม่ล้านมาก หล่อแล้วก็ดูดีน่ะ เปรียบเสมือนว่าเราได้มาต้อนรับเออร์เนสต์ เฮมิงเวย์อะไรทำนองนั้นเลยนะ มาดเขาจะเป็นอย่างนั้น มาดเขาจะเป็นแบบเฮมิงเวย์ ทั้งปรัชญาชีวิต ความเป็นนักเขียนหนุ่ม ครั้งแรกที่เจอเรายังไม่ได้คุยกับแกด้วยซ้ำ ยังไม่ได้เข้าใกล้ว่างั้นเถอะ
แล้วได้มาเข้าใกล้ในช่วงไหนครับ
ช่วงที่แกกลับมาทำงานอยู่ที่สยามรัฐ ซึ่งพวกเราก็ทำงานหนังสือช่อฟ้าอยู่แถวๆ นั้น ขรรค์ชัย บุนปาน เขาทำช่อฟ้า เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์ ก็ทำกลุ่มหนุ่มเหน้าสาวสวย ช่วงนั้นพี่ปุ๊อยู่สยามรัฐ แกก็น่าจะเขียนรำพึงรำพัน โดยลำพูอยู่ ซึ่งเราก็อ่านทุกสัปดาห์ แล้วเราก็ไปส่งเรื่องสั้น…แต่งชุดนักเรียนขึ้นไปเลย (ยิ้ม)
ตอนนั้นคุณมูล (ประมูล อุณหธูป บรรณาธิการคัดเรื่องสั้น) ก็คล้ายๆ ว่าเมตตาเราน่ะนะ ก็ให้เขียนเรื่อง 2 เรื่องลงในฉบับเดียวกัน แกให้เหตุผลว่าเรื่องของคุณสั้นมาก (หัวเราะ) เป็นเรื่องสั้นมาก…ขออีกสักเรื่องได้มั้ย ตอนนั้นพี่ปุ๊ก็นั่งอยู่ข้างๆ คุณมูลนั่นแหละ มีอะไรเขาก็คงจะคุยกันเกี่ยวกับตัวเรา หรืองานของเราก็แล้วแต่ ก็คงจะเริ่มสัมผัสใกล้ชิดตั้งแต่ตอนนั้น เพราะพี่ชายเราก็นั่งอยู่ที่นั่น เพื่อนๆ ที่รู้จักกันหลายคนก็ทำงานอยู่ อีกคนที่เป็นไอดอลของพี่ปุ๊คือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช คือท่านคล้ายๆ เป็นอาจารย์ของที่นั่น
ในกลุ่มนั้นก็ต้องถือว่าคึกฤทธิ์เป็นเทพเจ้า ?
(ยิ้ม) ใช่ เป็นพระเจ้าของกองนั้น พี่ปุ๊ก็เป็นรุ่นถัดมา ส่วนพวกเราก็เป็นรุ่นต๊อกต๋อยน่ะนะ รุ่นขึ้นไปหางานว่างั้นเถอะ…ขึ้นไปเขียนหนังสือ มันก็เป็น 3 เจนเนอเรชั่นที่ได้พบ
จนกระทั่งต่อมาก็ได้มีความสัมพันธ์กันระหว่างกลุ่ม หนุ่มเหน้าสาวสวย กับ ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ กับเพื่อนหนุ่ม คือ ‘รงค์ วงษ์สวรรค์และเพื่อนหนุ่มน่ะเป็นกลุ่มใหญ่ ใครบ้างก็ไม่รู้น่ะตอนนั้น เพื่อนหนุ่มเยอะเหลือเกิน โดยมากก็เป็นพวกศิลปิน…คนที่เป็นตัวเชื่อม 2 กลุ่มนี้ก็คือคุณสุวรรณี สุคนธา เขาเป็นเพื่อนของพี่ปุ๊นั่นแหละ วัยไล่ๆ กันทันกัน หลังจากนั้นพี่ปุ๊ก็ขยับจากสยามรัฐมาทำเดือนต่างๆ เช่น ตุลาคมรำไพอะไรอย่างนี้ แต่ละเดือนก็จะมีนามสกุล เป็นหนังสือที่เท่มากอีกเล่มหนึ่ง
เวียง วชิระ : พี่หงาก็เริ่มเขียนงานส่งจริงจังตั้งแต่ตอนนั้น ?
ผมก็เขียน…คือช่วงนั้นถือว่าอยู่ในกลุ่มแล้ว เป็นตัวที่ถูกสั่งให้เขียน…แบบ..เฮ้ย มึงเขียนเรื่องนี้มาให้กูหน่อย…สั่งงานกันแล้วล่ะ
ในช่วงนั้นคนที่รู้จักพี่ปุ๊ก็มีการไปบ้านแกในนามของเพื่อนหนุ่ม แวะเวียนกันไป ตัวเชื่อมสำคัญอีกคนหนึ่งคือเรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์ หรือปั๋ง ซึ่งไม่ใช่ปั๋งคนปัจจุบันนะ (หัวเราะ) ปั๋งสมัยโน้นน่ะ โอ้โห…เมาจริงๆ เลย ไม่น่าเชื่อว่าชีวิตจะฟื้นขึ้นมาได้ขนาดนี้ แบบเมาหนัก กลุ่มเราก็มีประเสริฐ จันดำ มีเรา ภาคศิลปินก็มีศรีศักดิ์ นพรัตน์ 4-5 คน ซึ่งเขาไม่นับรวมกลุ่มเท่าไหร่ เพราะเป็นกลุ่มเมาอย่างเดียวเลย (หัวเราะทั้งวง) เมากันทั้งกัญชาทั้งเหล้า รู้สึกจะก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลา
นั่นคือที่บ้านบางซ่อน ?
ใช่ๆ เป็นบ้านแม่ของพี่ปุ๊ แล้วบ้านบางซ่อนยุคแรกคือติดกับสระน้ำ เป็นบ่อ แล้วก็มีชานยื่นออกมา เราก็เมากันอยู่ตรงนั้นแหละ พี่ปุ๊ห้องอยู่ไหนยังไม่รู้เลย ไม่รู้จักห้องแกด้วยซ้ำไป คือไปมั่วสุมกันอยู่นั่น ทำอะไรกินกัน เมากัน
ที่พี่หงาเข้าไปอยู่ในวงโคจรนี้ คือหมายถึงว่ามีอาปุ๊เป็นศูนย์กลางจุดสนใจ?
คือเป็นลูกพี่…เป็นพี่ใหญ่ แต่เราไม่ใช่ลูกน้อง เราจะย้ำคำนี้บ่อย
ทินกร : แล้วงานของแกมีอิทธิพลกับรุ่นน้องเยอะมั้ย
วันนี้ขอไม่พูดเรื่องงานนะ…เราอยากพูดเรื่องชีวิต
ถามว่าเราชอบชื่นชมงานของแกมั้ย เราก็ติดตามอ่านประเภทปกิณกะของแกน่ะ รำพึงรำพัน โดยลำพู เป็นงานที่มีเสน่ห์มาก ส่วนนิยายสนิมสร้อยอะไรนั่น เราไม่เคยได้อ่านหรอก ความที่ได้คุยกันก็เลยไม่ต้องอ่าน รู้แต่ว่าสำนวนเขา…มันก็อย่างที่เป็นเขานั่นแหละ มีคนที่น่าจะรับอิทธิพลทางนี้โดยตรง นักเขียนหลายคน ประภัสสร เสวิกุล อย่างนี้สายตรงเลย ต้อ-บินหลา (บินหลา สันกาลาคีรี) พวกนี้ถือว่าเป็นพวกศึกษางาน มีอิทธิพลกับงานอะไรอย่างนั้น แต่แบบเรามันเป็นเรื่องชีวิต
ทำไมพี่หงาจึงเลือกอาปุ๊เป็นลูกพี่
ก็เขาอายุมากกว่า… เป็นพี่น่ะ แล้วกลุ่มที่ไปก็ง่ายๆ เป็นกันเอง แบบเฮ้ยมีเหล้ากินเหล้ากัน ไม่มีใครคิดตังค์น่ะ จะเป็นแบบหุงหากินง่ายๆ นอนตรงไหนก็ได้ เราก็ต้องการที่แบบนี้สักแห่ง สมัยนั้นไม่มีร้านเหล้า ไม่มีผับ
เวียง วชิระ : ช่วงนั้นไปอยู่ประจำ ?
อยู่บ้างไม่อยู่บ้าง
( มีต่อนะจ๊ะ )