ถนนสายวรรณกรรมรอบโลก 2551

ในรอบปี 2551 ที่กำลังจะผ่านไป โลกวรรณกรรมของต่างประเทศ มีความเคลื่อนไหว และข่าวเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ที่น่าสนใจมากมาย
'จุดประกายวรรณกรรม' จึงรวบรวมข่าวความเคลื่อนไหวบางส่วนมานำเสนอ ก่อนที่แวดวงวรรณกรรมต่างประเทศ จะขึ้นศักราชใหม่ในปี 2552 ดังนี้
>การอ่านมาราธอน
ต่างประเทศมักมีเหตุการณ์ที่ทำให้ชวนหัวและคาดไม่ถึง อย่างในสหรัฐอเมริกา ร้านหนังสืออิสระหลายร้านเชิญลูกค้าผู้รักการอ่านเข้าร่วมกิจกรรมอ่านมาราธอน ร้านหนังสือแต่ละร้านจะให้ลูกค้ามาอ่านหนังสือที่ร้านเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ร้านหนังสือผู้จัดงานทั้งหลายบอกว่ากิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมส่งเสริมการอ่านแห่งชาติที่สำคัญอีกวาระหนึ่งก็ว่าได้ ทำให้เกิดวัฒนธรรมการอ่านขึ้นในสังคม และยังเป็นการเปิดพื้นที่ทางความคิดให้นักอ่านที่ร่วมกิจกรรมได้ค้นพบหนังสือที่ชอบเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
>กวีราชสำนักของสหรัฐอเมริกา
ปี 2551 ตำแหน่งกวีราชสำนักของสหรัฐอเมริกา ตกเป็นของ เคย์ ไรอัน (Kay Ryan) โดยเป็นกวีราชสำนักคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา
>บทสัมภาษณ์ของอาร์เธอร์ ซี.คลาร์ก
นักเขียนแนววิทยาศาสตร์ท่านนี้ถึงแก่กรรมในปี 2551 หลังการถึงแก่กรรมเว็บไซต์ SciFi.com นำบทสัมภาษณ์ของเขาที่ยังไม่เคยเผยแพร่และตีพิมพ์ที่ไหนมาก่อนในช่วงปี 1999-2000 บทสัมภาษณ์มีข้อความตอนหนึ่งถาม ซี.คลาร์ก ว่าเขารู้สึกเช่นไรกับเรื่องที่เขาเขียนและแต่งขึ้นมา และเขาตอบว่า "ผมไม่ได้ดูงานที่ผมเขียนมาหลายปีแล้ว ผมจำทุกอย่างที่ผมเขียนและที่ผมกลับไปอ่านซ้ำอีกรอบได้อย่างดี การเขียนเป็นหลุมอีกรูปแบบหนึ่งในชีวิตของผม และผมอยากบอกความสัตย์จริงอีกครั้งหนึ่งว่า การเขียนเป็นวิถีเพื่อหลีกหนีไปจากการดำรงอยู่ของชีวิต และการเขียนทำให้ผมดำรงชีวิตได้อย่างที่ผมต้องการ"
>ตอนจบของ Twilight ไม่เผยแพร่ในอินเทอร์เน็ต
สเตฟานนี เมเยอร์ นักเขียนดังซีรีส์เรื่อง Twilight ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบในหมู่วัยรุ่น ตัดสินใจไม่ยอมเขียนตอนสุดท้ายในซีรีส์เรื่อง Midnight Sun หลังจากเจอมือดีฉกเอาบางส่วนของเรื่องนี้ไปเผยแพร่และโพสต์ตามเว็บไซต์ โดยไม่ได้รับความยินยอมหรืออนุญาตจากเธอ อีกทั้งมือโพสต์คนนั้นก็ไม่มีการแจ้งให้ทราบก่อนอีกต่างหาก เธอบอกว่ายังไม่ต้องการให้แฟนซีรีส์ของเธออ่านตอนจบที่เขียนยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่จนด้วยเกล้าที่เธอเองไม่รู้ว่าต้นฉบับที่ยังขัดเกลาไม่เสร็จหลุดไปสู่การโพสต์ตามเว็บได้อย่างไร?
>คินเดิ้ล 240,000 เครื่องภายใน 6 ชั่วโมง
ปรากฏการณ์นี้สร้างผลกำไรอย่างงามให้กับบริษัท อเมซอน หลังการเปิดตัวเครื่องอ่านหนังสือดิจิทัลคินเดิ้ล มียอดจองเข้ามาอย่างล้นหลาม และเมื่อวางแผงอย่างเป็นทางการ คินเดิ้ลทำยอดขายไปได้ถึง 240,000 เครื่องภายในเวลาแค่ 6 ชั่วโมง
>ใครเจ๋งกว่าใคร?
หนังสือพิมพ์การ์เดี้ยนรายงานข่าวว่า ซัลมัน รัชดี (Salman Rushdie) และมัลคอล์ม กลัค (Malcolm Gluck) ต่างข่มขวัญกันและกันกับอีแค่เรื่องใครเซ็นลายเซ็นในหนังสือได้มากกว่ากันและทำเวลาเท่าไหร่? รัชดีอ้างว่าตัวเองเซ็นชื่อในหนังสือ The Enchantress of Florence ได้ 1,000 เล่มภายในเวลาเพียง 57 นาที ซึ่งทำลายสถิติที่กลัคทำไว้ที่ 1,001 เล่มภายในเวลา 59 นาที พอสถิติที่ต่างฝ่ายต่างอ้างออกมาเช่นนี้เผยแพร่ออกไป จึงเกิดการเกทับและปะทะฝีปากกันผ่านสื่อมวลชนว่า ใครกันแน่ที่ขี้ตู่และขี้โม้อวดตัวว่าเจ๋งกว่าอีกคน ที่แน่ๆ ใครได้อ่านคำกระแนะกระแหนของทั้งสองฝ่าย คงได้อรรถรสแบบสุดๆ เพราะต่างฝ่ายต่างงัดวรรณศิลป์มาเหน็บกันจนเลือดอาบ
>รายงานสถิติการอ่านของเด็ก
พับลิชชิ่ง วีคลี่ (Publishing Weekly) รายงานผลการวิจัยการอ่านหนังสือของเด็กๆ และครอบครัว มีตัวเลขทางสถิติที่น่าสนใจดังนี้ 90% ของเด็กอายุระหว่าง 5-17 ปี ต่างเชื่อว่า "การอ่านหนังสือมากทำให้ได้เรียนในมหาวิทยาลัยดีๆ" 80% ของเด็กอายุระหว่าง 5-8 ปี มีความเห็นว่า "การอ่านเพื่อความสนุกสนานเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดที่สุด" 56% ของเด็กอายุระหว่าง 15-17 ปี เชื่อแบบเดียวกับเด็กที่อายุระหว่าง 5-8 ปี 15% ของเด็กชอบอ่านนิตยสารมากกว่าหนังสือ 29% เด็กใช้อินเทอร์เน็ตบ่อยครั้งกว่าการอ่านหนังสือ และ 8% ที่เด็กใช้เวลาอยู่กับการออนไลน์มากกว่าการอ่านหนังสือ
>หนังสือวิทยาศาสตร์หายากขายที่ 11 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
มีการประมูลหนังสือวิทยาศาสตร์หายากในนิวยอร์ก ราคาประมูลเริ่มต้นที่ 6 ล้านดอลลาร์ และมาปิดการประมูลที่ราคา 11 ล้านดอลลาร์ หนังสือวิทยาศาสตร์เล่มที่ว่านี้คือ De revolutionibus orbium coelestium (On the Revolutions of the Heavenly Spheres)
>วาระครบ 100 ปี ชาตกาล เอียน เฟลมิ่ง
เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในวาระ 100 ปี ชาตกาลของเอียน เฟลมิ่ง ผู้สร้างเจมส์ บอนด์ในโลกวรรณกรรม สำนักพิมพ์เพนกวินในอังกฤษ และดับเบิ้ลเดย์ในสหรัฐ จึงจัดพิมพ์หนังสือบอนด์อันดับที่ 36 ส่วนในอังกฤษจัดนิทรรศการเกี่ยวกับเฟลมิ่งและงานเขียนชุดเจมส์ บอนด์ กินเวลานานถึงหนึ่งปี นิทรรศการจัดแสดงที่ London Imperial War Museum ในหัวข้อว่า "For Your Eyes Only : Ian Fleming and James Bond"
>มาตรการรับมือการคืนหนังสือและคืนเงิน
สตีฟ ริกจิโอ ซีอีโอของบาร์นส์แอนด์โนเบิล (Barnes and Noble) แจ้งว่าทางบริษัทจะเลิกธรรมเนียมปฏิบัติการคืนหนังสือที่จำหน่ายไม่หมดของร้านหนังสือและทางบริษัทต้องซื้อคืนหนังสือที่นำส่งคืน โดยเขาบอกว่าภายในหนึ่งถึงสองปีธรรมเนียมปฏิบัติแบบเดิมนี้จะถูกยกเลิกไป ปัจจุบันมียอดหนังสือ 1 ใน 3 ที่ตามร้านนำกลับสู่สำนักพิมพ์เพื่อขอคืนเงิน บาร์นส์แอนด์โนเบิลไม่ได้บอกตรงๆ ว่าอยากให้ร้านหนังสือซื้อขาดหนังสือที่นำไปจำหน่าย แต่ซีอีโอให้เหตุผลว่า "ธรรมเนียมแบบนี้ทำให้จิตตกและเป็นค่าใช้จ่ายที่แพงเกินไป"
>พจนานุกรมออนไลน์
เดอะนิวยอร์กไทม์ (The New York Times) รายงานว่าชุดพจนานุกรม Oxford English Dictionary ซึ่งพิมพ์ครั้งสุดท้ายเมื่อปี 1989 จำนวน 20 ชุด และไม่มีการจัดพิมพ์อีกต่อไปแล้ว ตอนนี้ผู้ที่สนใจหาอ่านได้จากเว็บไซต์ OED.com
>โนเบลไม่หอมหวนอย่างที่คิด
ดอริส เลสซิ่ง เจ้าของโนเบลวรรณกรรมปี 2007 ออกมาเตือนลูกเตือนหลานนักเขียนรุ่นหลังผ่านทางสถานีวิทยุบีบีซีในรายการ 4's ว่า การได้รับโนเบลเมื่อปี 2007 ทำให้ชีวิตของเธอไม่สุขีอย่างที่คิด สื่อหลายแขนงให้ความสนใจทำข่าวมากเกินไป โดยเฉพาะในวัยอายุขนาดเธอนั้น หากต้องมาตอบคำถามให้สัมภาษณ์อยู่ตลอดเวลา ย่อมไม่มีเรี่ยวแรงและกำลังสมองมากพอในการเขียนหนังสือ "นี่แหละฉันถึงย้ำนักย้ำหนาสม่ำเสมอกับนักเขียนรุ่นหลังที่ยังหนุ่มยังสาวว่าอย่าคิดว่ารางวัลโนเบลจะอยู่กับพวกคุณตลอดไป ใช้มันให้เป็นประโยชน์ตอนที่มันอยู่กับคุณ เพราะสักวันมันก็จะไปจากพวกคุณ ไม่ต่างจากสายน้ำที่ไหลลงสู่ท่อส่งน้ำ"
>ครบรอบ 75 ปี การเผาหนังสือของทหารนาซี
วันที่ 10 พฤษภาคมเป็นวาระครบรอบ 75 ปีที่เหล่าทหารนาซีฮิตเลอร์ได้ทำการเผาหนังสือหลายพันเล่มที่เป็นหนังสือต้องห้ามในตอนนั้น โดยผู้ออกคำสั่งเกี่ยวกับการเผาหนังสือต้องห้ามคือ Joseph Goebbels รัฐมนตรีประจำกระทรวงโฆษณาการ
>นิยามงานเขียนของวัยรุ่น
School Library Journal รายงานผลการสำรวจของ Pew Internet & American Life Project และNational Commission on Writing ว่าวัยรุ่นต่างเชื่อว่างานเขียนคืองานที่เกิดขึ้นในโรงเรียนและในกระดาษ ไม่ใช่การเขียนผ่านตามโทรศัพท์มือถือ เว็บไซต์ หรือบล็อก ผลการสำรวจจากเยาวชน 700 คน อายุระหว่าง 12-17 ปี และผู้ปกครองของเด็กเชื่อว่าอย่างน้อยที่สุดลูกๆ ของพวกเขาต้องได้ข้องแวะกับสื่ออิเล็กทรอนิกส์ แต่ผลการสำรวจออกมาว่า 60% ของวัยรุ่นเหล่านี้ต่างบอกว่าสารทางอิเล็กทรอนิกส์ไม่ใช่งานเขียน และเด็ก 86% เชื่อว่างานเขียนและการเขียนเป็นเครื่องยืนยันว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จในชีวิต ดังนั้น 82% จึงเป็นตัวเลขที่ชี้ให้เห็นว่าวัยรุ่นคิดว่าการเขียนของพวกเขาจะดีขึ้นถ้าครูประจำชั้นเสียสละเวลาเพื่อเปิดพื้นที่ให้พวกเขาได้เรียนรู้ ซึ่งใน 82% นี้ส่วนมากเป็นเด็กแอฟริกัน-อเมริกัน ซึ่งครอบครัวมีรายได้น้อย
>นักนั่งเทียนเขียน
เป็นข่าวครึกโครมไปทั่วเมื่อนักเขียนนาม Thomas Kohnstamm แห่งหนังสือท่องเที่ยวดังอย่าง Lonely Planet ออกมารับสารภาพว่าบางส่วนในงานเขียนของเขามีการคัดลอก ตัด ปะ และหาข้อมูลจากในอินเทอร์เน็ต หรือถามผู้ที่เคยไปยังสถานที่นั้นๆ มา เขาให้เหตุผลว่าจริงๆ แล้วจะโทษเขาทั้งหมดก็ไม่ถูกเสียทีเดียว ด้วยงบประมาณในการเดินทางที่จำกัด คงไม่มีนักเขียนหนังสือแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวคนไหน สามารถไปไหนต่อไหนได้ทุกซอกทุกมุม เขายอมรับว่ามีหลายประเทศที่เขาเขียนถึงและเขาไม่ได้เดินทางไปจริง
>อีกหนึ่งงานนั่งเทียน
ส่วน Margaret B.Jones ผู้เขียนบันทึกความทรงจำเรื่อง Love and Consequences เป็นนักเขียนอีกคนที่เอาชีวิตคนอื่นมาเขียนเล่าในบันทึกความทรงจำส่วนตัวของตัวเอง Margaret B.Jones เอาชีวิตจริงของ Margaret Seltzer มาเขียนเป็นเรื่องของตัวเอง โดยเปลี่ยนและบิดพลิ้วข้อมูลให้ชีวิตตัวเองดูน่าสงสาร อีกทั้งสถานที่เกิดของชีวิตจริงของคนที่เธอเอาไปเขียน นักเขียนจอมสวมรอยก็เปลี่ยนบ้านเกิด ชีวิตความเป็นอยู่ของตัวจริงไปแบบไม่ถูกต้องตามที่เป็นจริง เจอแบบนี้เข้า สำนักพิมพ์ต้นสังกัดจึงสกัดความจอมปลอมของนักเขียนคนนี้ด้วยการเรียกเก็บหนังสือที่ส่งไปตามร้านคืนทั้งหมด และยกเลิกการออกเดินสายโปรโมทหนังสือของเธอ
>นักเขียนจอมปลอมอีกคน
ด้าน Misha Defonseca นักเขียนหนังสือขายดีอย่าง A Memoire of the the Holocaust Years พิมพ์ปี 1997 ออกมายอมรับว่าหนังสือเล่มนี้ที่เขียนเกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิว เธอแต่งแต้มมันขึ้นมาและเขียนขึ้นมาอย่างประณีตไร้ที่ติ จนหาทางจับผิดเธอไม่ได้ แล้วการออกมายอมรับหน้าตาเฉยแบบนี้ ทั้งๆ ที่หนังสือแปลไปแล้วกว่า 18 ภาษาและมีการทำเป็นภาพยนตร์สารคดีในฝรั่งเศส นักเขียนจอมโกหกคนนี้ทำเพื่ออะไร? ที่แน่ๆ ยอดขายคงไปไกลกว่าหนังสือขายดี ลองนักอ่านรู้แบบนี้ หลายคนต้องควานหามาอ่านเพื่ออยากจับผิดเธอ (อันนี้เป็นเรื่องการตลาดล้วนๆ)
>หนังสือในเวทีออสการ์
ปีนี้มีงานวรรณกรรมหลายเล่มที่นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ และภาพยนตร์เหล่านั้นต่างตบเท้าขึ้นรับรางวัลออสการ์ในสาขาแตกต่างกันไป No Country for Old Men งานเขียนของ Cormac McCarthy ได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม นักแสดงสมทบยอดเยี่ยม และบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม The Bourne Ultimatum งานเขียนของ Robert Ludlum ได้รับรางวัลตัดต่อเสียง ผสมเสียง และตัดต่อภาพยนตร์ยอดเยี่ยม The Golden Compass สร้างจากงานเขียนของ Philip Pullman ได้รับรางวัลเอฟเฟคท์ยอดเยี่ยม นอกจากนี้ยังมีภาพยนตร์ที่สร้างจากงานเขียนเรื่อง There Will Be Blood ของ Upton Sinclair และAtonement ของ Ian McEwan ที่ได้รับรางวัลสาขาต่างๆ ในเวทีออสการ์ด้วย
>95% หนังสือขายได้น้อยกว่า 3,500 เล่ม
อันนี้เป็นตัวเลขสถิติที่น่าสนใจและน่าตกใจ The London Times รายงานว่าหนังสือจำนวน 200,000 รายการที่พิมพ์ในอังกฤษเมื่อปีที่แล้ว 190,000 รายการมียอดจำหน่ายน้อยกว่า 3,500 เล่ม และประมาณ 60,000 รายการขายได้น้อยกว่า 18 เล่ม ซึ่งชะตากรรมนี้ไม่ต่างจากยอดขายหนังสือในสหรัฐเช่นกัน
>ชุดเครื่องนอนและเฟอร์นิเจอร์โลลิต้าถูกต่อต้าน
บริษัทผลิตชุดเครื่องนอนและเฟอร์นิเจอร์คอลเลคชั่นโลลิต้า ซึ่งผลิตขึ้นมาเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าเด็กผู้หญิงและเด็กสาว หลังการวางจำหน่ายผู้ปกครองเด็กต่างเปิดแชทรูมในอินเทอร์เน็ตโจมตีสินค้าที่เป็นสื่อยั่วยุทางเพศ โดยมีผู้หนึ่งอ้างตัวว่าเป็นสตรีและเป็นแม่ที่เป็นผู้ปลุกระดมให้เกิดการต่อต้านสินค้า ตัวแทนบริษัทผู้ผลิตออกมาบอกว่า รู้ตัวผู้ก่อหวอด และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของพลังผู้บริโภคในอังกฤษ ที่เล่นงานบริษัทผู้ผลิตจนล้มไม่เป็นท่า
นงค์ลักษ์ เหล่าวอ : รายงาน
1 มกราคม พ.ศ. 2552