Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

ตีตราหนังสือต้องห้าม … อาชญากรรมปัญญาชน..!?

 

 
การสรรหาหนังสือมาตีตราเป็นสิ่งต้องห้ามอาจเรียกได้ว่าเป็นภารกิจของชนชั้นปกครองที่ปฏิบัติสืบเนื่องกันมานับศตวรรษ และได้รับความนิยมไปทั่วโลกไม่เว้นแม้แต่ประเทศที่ประกาศตัวเองว่าเป็นแหล่งบ่มเพาะเสรีภาพในการแสดงความเห็น แม้จะไม่สบอารมณ์นักอ่าน แต่ก็ยากจะคัดค้าน เมื่อข้ออ้างที่ยกขึ้นมานั้นล้วนแต่เปราะบางเกินกว่าจะแตะต้อง 
 
หากจะวัดความเห็นของคนในวงการคนรักหนังสือแล้ว มีอยู่ไม่กี่ชื่อที่ขึ้นทำเนียบมือวาง “แบน” หนังสือตลอดกาล 
 
อันดับหนึ่งคงต้องยกให้กับ จิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิองค์แรกของจีนที่สั่งให้ริบหนังสือและสังหารนักคิดที่มีความเห็นขัดแย้งกับหลักการปกครองของพระองค์ เหตุการณ์ครั้งนั้นต่อมาเรียกขานกันว่า “เผาหนังสือ ฆ่าบัณฑิต” 
 
สำหรับหนังสือที่ตกเป็นเหยื่อ “แทงสูญ” ของจิ๋นซีฮ่องเต้ คือบรรดาตำรับตำราของสำนักปรัชญาทุกสำนักของจีน (ที่เรียกเหมารวมกันว่า “ร้อยสำนักคิด”) ไม่ว่าจะเป็นลัทธิขงจื๊อ ลัทธิเต๋า ตำราดนตรี บทกวี ฯลฯ เรียกได้ว่าเป็นการล้างผลาญหนังสือเกินค่อนประเทศ 
 
รายต่อมาคือ สำนักวาติกัน ศูนย์กลางคริสตจักรโรมันคาทอลิก เจ้าของบัญชีรายชื่อหนังสือต้องห้าม หรือ Index Librorum Proihibitorum เริ่มประกาศใช้เมื่อปี 1559 และเพิ่งมายกเลิกเมื่อปี 1966 หนังสือที่ติดบัญชียาวเป็นหางว่าวนี้ มีความเห็นขัดแย้งกับหลักศรัทธาถึงขั้นอุกฤษฏ์ และสาธุชนไม่ควรข้องแวะด้วยการหยิบขึ้นมาอ่าน 
 
เมื่อพิจารณารายชื่อในบัญชีแล้ว น่าสงสัยทีเดียวว่า การศึกษาวรรณกรรมโลกจะมีชะตากรรมเยี่ยงไร ถ้าคนทั้งโลกปฏิบัติตามคำสั่งของศาสนจักร เพราะเล่นรวมผลงานของ วอลแตร์ ทุกเรื่อง งานชิ้นเอกของ วิกเตอร์ อูโก, เอมิล โซลา, อเล็กซองด์ ดูมาส์, กุสตาฟ โฟลแบร์, บัลซัค ไปจนถึงเจมส์ จอยซ์ 
 
ยังไม่นับงานที่มีฉากเซ็กซ์โจ๋งครึ่ม อย่างบันทึกรักคาซาโนวา และนิยายอนาจารจากปลายปากกา มาร์กีส์ เดอ ซาด ผู้เป็นที่มาของคำว่า “ซาดิสม์” หรือแนวคิดทางการเมืองที่เป็นปฏิปักษ์กับศาสนจักรโดยสิ้นเชิงที่เด่นๆ อาทิงานของ อง าร์ก รุสโซ และ คาร์ล มาร์กซ์ 
 
อย่างที่เกริ่นไป การตีตราหนังสือต้องห้ามเป็นกิจกรรมที่ทำกันแพร่หลาย ซึ่งทำให้การนับจำนวนหนังสือที่ตกที่นั่งต้องห้ามกลายเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญ แต่ที่แน่ๆ นักประพันธ์ระดับโลกส่วนใหญ่ มักมีผลงานตกเป็นเหยื่อเซ็นเซอร์คนละเล่มสองเล่มเป็นอย่างน้อย ด้วยเหตุผลต่างๆ กันไป 
 
อย่าง Lady Chatterley's Lover ของ ดี เอช ลอว์เรนซ์ Lolita ของ วลาดิมีร์ นาโบคอฟ ถือเป็นอันดับต้นของหนังสือที่ถูกแบนเพราะมีเนื้อหาทางเพศที่โจ่งแจ้งเกินไป ส่วน 1984 ของ จอร์จ ออร์เวล Doctor Zhivago ของ บอริส ปาสเตอร์นัก และ For Whom the Bell Tolls ของ เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์ ตกเป็นเป้าทำลายล้างทางการเมือง 
 
The Satanic Verses ทำให้ ซัลมาน รัชดี กลายเป็นศัตรูของอิสลามิกชนทั่วโลก ด้วยเนื้อหาที่แตะต้องเกินเลยไปถึงศาสดาของศาสนานั้น The Last Temptation of Christ ของ นิคอส คาซานต์ซาคิส โดนข้อหาเดียวกัน แต่ตกเป็นจำเลยในประเทศคริสเตียน 
 
มีนับล้านเหตุผลที่หนังสือเล่มหนึ่งจะถูกตีตราเป็นสิ่งต้องห้าม หนังสือหลายเล่มถูกโยนเข้ากองไฟ เพราะมีเนื้อหาขัดแย้งกับผู้มีอำนาจในสังคม บางเล่มแช่ทิ้งอยู่บนหิ้งหนังสือต้องห้ามเพราะเนื้อหาที่หมิ่นเหม่ต่อศีลธรรมอันดี บางเล่มแม้จะบอกเล่าข้อเท็จจริง แต่เพราะความจริงนั้นอาจสั่นคลอนรากฐานทางสังคม จึงต้องอันตรธานไปตลอดกาล 
 
มีเช่นกันที่หนังสือหลายเล่มถูกแบนด้วยเหตุผลแสนจะพิลึกกึกกือ 
 
อย่างเช่น Alice’s Adventure in the Wonderland ของ ลิวอิส แคร์รอลล์ ที่ถูกแบนในจีนเมื่อปี 1931 เพราะรับไม่ได้ที่แคร์รอลล์จับให้มนุษย์และสัตว์สนทนาปราศรัยเหมือนเป็นสิ่งมีชีวิตในระดับเดียวกัน! 
 
A Light in the Attic ของ เชล ซิลเวอร์สไตน์ ไม่ผ่านเซ็นเซอร์เพราะ “กระตุ้นให้เด็กๆ ทำลายถ้วยโถโอชาม เพื่อที่จะได้ไม่ต้องล้าง” เหตุผลข้างๆ คูๆ เช่นนี้ทำให้ James and the giant Peach ของ โรอัลด์ ดาห์ล ถูกโยนทิ้งลงจากหิ้ง เช่นกัน ด้วยเหตุที่ผู้ใหญ่วิตกจริตบางคนกลัวว่า เด็กๆ จะเลียนแบบพฤติกรรมอันกล้าหาญของเจมส์น้อย 
 
Black Beauty กลายเป็นของต้องห้ามในแอฟริกาใต้ เพียงเพราะมีคำว่า Black (ดำ) ซึ่งเป็นคำแสลงใจของประเทศที่ครั้งหนึ่งชนผิวดำได้รับการปฏิบัติเยี่ยงพลเมืองชั้นสอง ทั้งๆ ที่เรื่องนี้ไม่มีแม้แต่บรรทัดเดียวที่เอ่ยถึงการเหยียดเชื้อชาติ 
 
On the Origin of Species อันโด่งดังของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน เจ้าของทฤษฎีวิวัฒนาการ กลายเป็นหนังสือต้องห้ามในบางรัฐของสหรัฐ เพราะทฤษฎีวิวัฒนาการจากลิงสู่คนขัดต่อความเชื่อที่ระบุไว้ในพระคัมภีร์ 
 
กรณีที่ดาร์วินตกเป็นจำเลยในคดีขัดแย้งกับสถาบันหลักทางสังคมยังพอรับได้ แต่ถ้าเป็น Charlie and the Chocolate Factory หรือ เทพนิยายกริม บางคนอาจฉงนใจหลายตลบว่า เหตุผลกลใดที่เรื่องเบาสมองสำหรับเด็กถึงติดบัญชีดำไปด้วย? 
 
ประวัติศาสตร์การแบนหนังสือในเมืองไทยมีความหวือหวาไม่แพ้ส่วนอื่นๆ ของโลก โดยเฉพาะยุคที่สยามประเทศเริ่มรับเทคโนโลยีการพิมพ์เข้ามาช่วงแรกๆ การเผยแพร่ความรู้ที่ครั้งหนึ่งเคยผูกขาดอยู่ในกลุ่มคนชั้นสูง กลายเป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง ตัวอย่างเช่น การพิมพ์ตำรากฎหมายไทยของพระยากระษาปณกิจโกศล (โหมด อมาตยกุล) ครั้งรัชกาลที่ 3 ซึ่งลงเอยด้วยถูกริบทั้งหมด ด้วยเหตุผลที่ว่า 
 
“เอากฎหมายบ้านเมืองไปพิมพ์โฆษณาเช่นนั้นจะทำให้พวกมดต่อหมอความทำให้ยุ่งยากแก่บ้านเมือง” 
 
ต่อมาแม้การพิมพ์และจำหน่ายหนังสือแบบตะวันตกจะเป็นที่แพร่หลายแล้ว แต่เสรีภาพในการแสดงออกก็ยังคงจำกัดจำเขี่ย เมื่อลุถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ความพยายามของเทียนวรรณที่จะเผยแพร่กฎหมายการเมือง จบลงด้วยชะตากรรมที่เลวร้ายกว่าตำรากฎหมายของนายโหมด เพราะผู้เผยแพร่ถูกโบย 50 ครั้ง และขังลืมเสียอีก 17 ปี ส่วน ก.ศ.ร. กุหลาบ มิตรร่วมอุดมการณ์ ตกที่นั่งลำบากไม่ต่างกัน แต่โชคยังดีที่เพียงแค่ถูกคุมตัวที่โรงพยาบาลประสาทเท่านั้น 
 
กว่า 160 ปีของวงการหนังสือยุคใหม่ในบ้านเรา มีหนังสือหลายร้อย (หรืออาจถึงหลายพัน) เล่มที่เข้าข่ายต้องห้าม ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ หนังสือต้องห้ามก่อนการปฏิวัติ 2475 ที่รู้จักกันแพร่หลายคือ นิราศหนองคาย ของ นายทิม สุขยางค์ ซึ่ง จิตร ภูมิศักดิ์ (ผู้ซึ่งมีผลงานหลายเล่มเข้าข่ายหนังสือต้องห้าม) ได้วิเคราะห์ไว้ว่า งานชิ้นนี้เป็นร้อยกรองที่กล่าวเหน็บแนมขุนนางชั้นสูงบางตระกูลอยู่นัยๆ 
 
อีกเล่มคือ ทรัพยศาสตร์ ของ พระยาสุริยานุวัตร ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นตำราเศรษฐศาสตร์เล่มแรกของไทย เหตุผลที่ต้องห้ามนั้นก็เพราะตำราเล่มนี้สอนให้คนไทยระดับรากหญ้าหันมาเป็นนายทุน ในช่วงเวลาที่ทุนส่วนใหญ่ยังอยู่ในกำมือของชนชั้นปกครอง 
 
แม้กระทั่งขุนช้างขุนแผนวรรณกรรมระดับคลาสสิก แม้จะไม่ถูกพะหน้าไว้ว่าเป็นวรรณกรรมต้องห้าม แต่น้อยคนจะทราบว่า ขุนช้างขุนแผนสำนวนโบราณก่อนที่จะได้รับการ “ชำระ” โดยสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพนั้น นับเป็นสิ่งต้องห้ามของ “หอสมุดใหญ่” โดยคนทั่วไปไม่มีโอกาสได้เสพกันง่ายๆ 
 
แม้เมืองไทยจะก้าวเข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตย (จะครึ่งหรือเต็มใบก็ตามที) หนังสือก็ยังคงตกเป็นเป้าของการทำลายไม่สร่างซา ซ้ำยังหนักข้อเสียจนมีการประกาศ รายชื่อหนังสือต้องห้ามโดยกระทรวงมหาดไทย (ฉบับที่ 2 ประกาศ เมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2520) ในช่วงเวลาที่ “ผีคอมมิวนิสต์” กำลังหลอกหลอนคนทั้งประเทศ แน่นอนว่าหนังสือในลิสต์นี้เกือบร้อยทั้งร้อยจะเกี่ยวข้องกับฝ่ายซ้าย 
 
ในบรรดานี้มีเพียง 2 เล่มเท่านั้นที่ไม่เข้าพวก เล่มหนึ่งเกี่ยวกับกบฏ ร.ศ. 130 และอีกเล่มเกี่ยวกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ การที่ทั้ง 2 เล่มติดบัญชีดำน่าจะช่วยไขความกระจ่างได้ว่า มีเรื่องใดบ้างที่รัฐบาลหวาดระแวงและต้องการปกปิด 
 
ความหวาดระแวงและต้องการปกปิดนี่เอง ที่จะเป็นแรงผลักให้หนังสือต้องเผชิญกับการทำลายล้างต่อไป ตราบใดที่เสรีภาพแห่งการแสดงความเห็น ยังเป็นเพียงแค่หลักการในรัฐธรรมนูญ 
 
สำหรับรัฐธรรมนูญ ซึ่งน่าจะถือเป็นงานเขียนอีกประเภทหนึ่งได้ ก็น่าจะเข้าข่ายงานเขียนต้องห้ามเช่นกัน 
 
เพราะงานประเภทนี้ถูก “ฉีก” บ่อยครั้งเหลือเกิน 
 
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจากหนังสือพิมพ์ โพสต์ทูเดย์