ตอบวรพจน์ พันธุ์พงศ์ เรื่องงานอดิเรกของปวงชนชาวไทย

วินทร์ ถึง ปราบดาและวรพจน์
30 ตุลาคม 2550
ดีใจครับที่เขียนจดหมายคุยกับปราบดามานานหลายปี จู่ๆ ก็มีวรพจน์โผล่เข้ามาแจม วรพจน์ไม่ใช่คนหน้าใหม่แถวนี้ เป็นดาวหางที่โคจรมาพบกันเสมอ ทว่าเจอหน้ากันทีไรก็ไม่ค่อยได้สนทนากัน เพราะต่างเป็นคนเงียบ (ความจริงนักเขียนในกลุ่ม GM-open ส่วนใหญ่เป็นคนเงียบๆ ไม่ชอบพูด) ดังนั้นการเขียนจดหมายน่าจะเป็นการสื่อสารที่เหมาะกว่า
เพื่อนสถาปนิกคนหนึ่งของผมชื่นชอบงานของวรพจน์มาก และย้ำกับผมว่าหากเจอตัวเมื่อไร ให้ฝากชมให้ด้วย ก็ถือโอกาสนี้ฝากต่อคำชมก็แล้วกัน จะได้มีแรงเขียนหนังสืออีกนานๆ
สำหรับงานอดิเรกของวรพจน์ ผมว่าวรพจน์อาจจะทำงานหนักเกินไปแล้วนะครับ จึงมีงานอดิเรกเป็นการนอน!
พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถานของไทยเขียนว่า งานอดิเรกคือ “งานพิเศษที่ทำด้วยความเพลิดเพลิน” ในพจนานุกรมของมติชน อดิเรกแปลว่า “พิเศษ”
พจนานุกรมฉบับภาษาอังกฤษดูจะอธิบายละเอียดกว่า พจนานุกรมประจำเครื่องแม็คคินทอชของผมให้คำจำกัดความคำว่า Hobby (งานอดิเรก) ว่า “กิจกรรมที่ทำสม่ำเสมออย่างเพลิดเพลินในเวลาว่าง”
ส่วนพจนานุกรมฉบับ Encarta งานอดิเรกคือ “กิจกรรมอันน่าสนุกสนานที่ทำเพื่อความเพลิดเพลินและผ่อนคลายในเวลาว่าง”
ดังนั้นสิ่งที่เข้าข่ายงานอดิเรกน่าจะเป็นกิจกรรมที่เพลิดเพลิน ทำในยามว่าง ซึ่งน่าจะตีความได้ว่า นอกเวลางานหรือเวลาเรียน
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงไม่ค่อยเห็นด้วยว่า การนอนของวรพจน์จัดเป็นงานอดิเรก ทั้งนี้เพราะการนอนเป็นส่วนหนึ่งของการมีชีวิตอยู่ จัดว่าเป็นกิจกรรมภาคบังคับ ซึ่งดูจะไม่ใช่เรื่อง “พิเศษ” ! อีกทั้งอาจมิใช่กิจกรรมที่ทำด้วยความเพลิดเพลินเสมอไป ยกเว้นแต่ว่าการนอนนั้นมีกิจกรรมอื่นผสมอยู่ด้วย เอ้อ! อย่าคิดมาก ผมหมายถึงการฝันที่สนุกสนานเพลิดเพลินต่างหากเล่า
มาถึงบรรทัดนี้ ผมก็ชักสงสัยขึ้นมาตะหงิดๆ ว่า เพศสัมพันธ์จัดว่าเป็นงานอดิเรกหรือไม่ ในเมื่อมันเป็น “กิจกรรมอันน่าสนุกสนานที่ทำเพื่อความเพลิดเพลินและผ่อนคลายในเวลาว่าง” ถ้าวรพจน์ ปราบดารู้ ช่วยบอกผมเอาบุญนะครับ
อย่างไรก็ตาม ผมเห็นด้วยกับวรพจน์ว่า สังคมเราคงไม่มีกิจกรรมอะไรที่น่าทำมากไปกว่าการดูหนัง-ฟังเพลงจริงๆ จึงไม่ค่อยมีใครทำกิจกรรมอันน่าเพลิดเพลินอื่นๆ ทั้งที่งานอดิเรกในโลกมีมากมายนับไม่ถ้วนจนต้องแบ่งเป็นหมวดหมู่ ยกตัวอย่างเช่น
-งานอดิเรกเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เช่น การดูดาว สร้างหุ่นยนต์
-งานอดิเรกเกี่ยวกับสัตว์ เช่น เลี้ยงปลาตู้ เลี้ยงหมา แมว นกเขา การล่าสัตว์ ดูนก ตกปลา
-งานอดิเรกเกี่ยวกับศิลปะ เช่น วาดรูป ถักโครเชต์ ออริกามิ ปั้นรูป
-งานอดิเรกเกี่ยวกับการสะสม เช่น สะสมแสตมป์ ผีเสื้อ สัตว์สตัฟฟ์ เหรียญ ปืน หนังสือเก่า เท็ดดี้ แบร์ เครื่องเล่นต่างๆ (ไม่รวมการสะสมเงินของบรรดาเศรษฐี)
-งานอดิเรกเกี่ยวกับการทำครัว เช่น ทำอาหาร ทำขนม ทั้งไทย จีน ฝรั่ง ฯลฯ
-งานอดิเรกเกี่ยวกับการปรับปรุงคุณภาพชีวิต เช่น การซ่อมบ้าน แต่งบ้าน – งานอดิเรกเกี่ยวกับปรับปรุงคุณภาพคน เช่น การเรียนภาษาต่างประเทศ – งานอดิเรกเกี่ยวกับธรรมชาติ เช่น การเข้าป่า การทำสวน ปลูกกล้วยไม้ บอนไซ
-งานอดิเรกเกี่ยวกับศิลปะ เช่น การทำหนังสั้น อ่านหนังสือ เรียนดนตรี
-งานอดิเรกเกี่ยวกับเกม เช่น การเล่นปริศนาอักษรไขว้ หมากต่างๆ (ไม่รวมการเคี้ยวหมาก) เช่น หมากรุก หมากฮอส หมากเก็บ ไปจนถึงการทำโมเดล (ไม่ได้หมายถึงการมีความสัมพันธ์กับนางแบบ)
ฯลฯ
และเพื่อศีลธรรมอันดีงามของการสนทนากันครั้งนี้ ขอไม่รวมกิจกรรมที่สังคมรังเกียจอื่นๆ เช่น การเล่นพนันในบ่อนหลังบ้าน เที่ยวกลางคืน ขับรถซิ่ง เตะหมาข้างถนน ซ้อมเมีย เป็นต้น
เห็นไหมว่า โลกเรามีงานอดิเรกที่น่าเพลิดเพลินและทำได้สม่ำเสมอมากมายนับไม่ถ้วน เฉพาะในบ้านเรามีป่าเขาลำเนาไพรกว้างใหญ่ให้ไปเดินเล่น มีนกมีดาวให้ดู มีตลาดต้นไม้ขนาดใหญ่ให้ซื้อหาต้นไม้ไปจัดสวน ฯลฯ แล้วไฉนเราจึงนิยมแต่การดูหนัง-ฟังเพลงเล่าเอย?
ผมสรุปเอาง่ายๆ ว่า เพราะทั้งสองกิจกรรมนี้ไม่ต้องเคลื่อนไหวร่างกาย เพียงแต่นั่งเฉยๆ ก็ได้การ
ผมเองเคยเป็นสมาชิกสมาคมดูนกหลายปี แต่ไม่เคยไปดูนกกับเขาเลย อีกทั้งเป็นสมาชิกสมาคมดาราศาสตร์ไทยมานานจนบัดนี้ ก็ไม่เคยไปร่วมดูดาวเพราะความขี้เกียจเดินทางไปไกลๆ
นี่ย่อมแสดงว่า แต่ละวันคนไทยเราทำงานหนักมากจนหมดแรง จำต้องหยุดเคลื่อนไหวร่างกายหลังเลิกงาน สมควรที่ฝ่ายนิติบัญญัติจะพิจารณาออกกฎหมายให้ชั่วโมงทำงานลดลง บังคับให้ทุกองค์กรทั้งราชการและภาคเอกชนหยุดงานวันเสาร์-อาทิตย์-จันทร์ ไปเลย เชื่อว่าหากทำเช่นนี้ได้เมื่อไร จำนวนคนที่ดูหนังฟังเพลงจะต้องลดลง และจำนวนคนเลี้ยงปลาตู้ ดูนกเขา เข้าป่า บ้าหมากเก็บ ฯลฯ จะต้องพุ่งสูงขึ้นอย่างแน่นอน! ไม่เชื่อก็ลองดูได้ ไม่ลองไม่รู้จ้ะ!
เชื่อมั่นว่าหากคุณอภิสิทธิ์ คุณสมัคร คุณบรรหาร คุณเสนาะ คุณประชัย คุณสนั่น และอีกหลายๆ ท่าน นำไอเดียนี้เป็นจุดขายในการเลือกตั้งในเดือนธันวาคมนี้ รับรอง ส.ส. ในสังกัดต้องได้รับเลือกตั้งถล่มทลาย และถ้าได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว อย่าลืมตั้งกระทรวงงานอดิเรกแห่งชาติ ให้วรพจน์เป็นรัฐมนตรี รับรองว่าประชาราษฎร์จะเป็นสุขโดยถ้วนหน้า
สมัยผมยังเป็นเด็ก งานพิเศษที่แสนเพลิดเพลินของผมคือการขี่จักรยานไปห้องสมุดประชาชนหาดใหญ่เพื่อยืมหนังสือนิยายสองเล่มกลับมาอ่านอย่างเอาเป็นเอาตาย ผ่านชีวิตมาถึงวัยนี้ ผมก็ยังนึกไม่ออกว่ามีงานอดิเรกใดที่ให้ความสุขเพลิดเพลินมากเท่า
ครั้นเข้ามหาวิทยาลัย งานพิเศษที่เพลิดเพลินของผมก็เพิ่มอีกหนึ่งรายการ นั่นคือการดูหนัง ช่วงนั้นการดูหนังเป็นกิจกรรมที่ทำอย่างสม่ำเสมอทุกอาทิตย์ ดูหนังอย่างน้อยอาทิตย์ละสองเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นหนังไทย จีน ฝรั่ง หรือแขก ผมดูหมด
นอกจากการอ่านนิยาย-ดูหนังแล้ว งานอดิเรกอีกชนิดหนึ่งของผมในเวลานั้นก็คือการเขียนนิยายภาพ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากการอ่านนิยาย-ดูหนัง จำได้ว่าเป็น งานอดิเรกที่ทำด้วยความเพลิดเพลิน ส่วนค่าเรื่องซึ่งน้อยนิดมหาศาล (แปลว่าน้อยมากๆ) นั้นเป็นผลพลอยได้ แต่ทำไปได้ไม่กี่ปีก็เลิก เพราะเริ่มไม่สนุกที่จะต้องเขียนเรื่องผีตาโบ๋ไล่หลอกคนอีก
จวบจนเมื่อเริ่มชีวิตการทำงานในประเทศสิงคโปร์ งานพิเศษที่เพิ่มจากการอ่านนิยาย-ดูหนัง ก็คือการฟังเพลง ช่วงนั้นทุกสองสามวันผมจะแวะแผงเทปเพื่อหาซื้อเพลงใหม่ๆ บางวันก็เข้าร้านเช่าแผ่นเสียง หาเพลงมาอัดใส่เทป เป็นกิจกรรมตลอดช่วงที่อยู่ในสิงคโปร์
อีกหนึ่งกิจกรรมใหม่ที่ผมทำมาตั้งแต่ไปทำงานที่สิงคโปร์ก็คือการถ่ายรูป ช่วงเวลานั้นผมทำงานหาเงินได้ไม่น้อย จึงพอมีปัญญาหาซื้อกล้องถ่ายรูปและอุปกรณ์ต่างๆ เวลานั้นผมสะพายกล้องถ่ายรูปไปไหนมาไหน และถ่ายทุกอย่างที่ขวางหน้า ช่วงวันหยุดมักเดินไปตามตรอกซอกซอยเก่าๆ ในเมือง หามุมถ่ายภาพ ถ่ายทั้งภาพสีและขาวดำ งานส่วนใหญ่เป็นสไลด์ ซึ่งนับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เนื่องจากหลายปีต่อมา ผมมีโอกาสใช้สไลด์เหล่านั้นในงานพิมพ์เสมอๆ
การถ่ายรูปเป็นงานอดิเรกที่มีความสุขมากครับ แต่ก็เป็นงานอดิเรกที่ราคาไม่ถูกนัก ผมลงทุนซื้อกล้องถ่ายรูปอย่างดีหลายตัว เลนส์ชนิดต่างๆ ฟิลเตอร์สารพัด ไปจนถึงเครื่องฉายสไลด์ การถ่ายรูปเป็นงานอดิเรกของผมนานถึงยี่สิบปี
นอกจากนี้ยังมีงานอดิเรกอีกชนิดหนึ่งคือ เรียนวิชาหมอดู เน้นที่การดูลายมือ (Palmistry) ซึ่งจัดว่าเป็นงานอดิเรกที่น่าเพลิดเพลินมาก เนื่องจากมีโอกาสจับมือนิ่มๆ ของสาวๆ ที่ชอบให้ดูลายมือ ผ่านไปหลายปี ผมก็เลิกรางานอดิเรกชนิดนี้ไป เพราะไม่มีสาวๆ มือนิ่มมาให้ดูลายมืออีก
ต่อมาเมื่อมีโอกาสไปเรียนและทำงานที่นิวยอร์ก งานพิเศษที่เพลิดเพลินเจริญใจของผมก็เพิ่มอีกหนึ่งรายการ นั่นคือการเยือนพิพิธภัณฑ์ อย่างเช่น MoMA (Museum of Modern Art) และที่อื่นๆ ส่วนกิจกรรมการดูหนังนั้นเล่าก็ขยายขอบเขตกว้างขึ้น เพราะนิวยอร์กเป็นแหล่งดูหนัง ทั้งหนังฮอลลีวู้ด หนังอินดี้ หนังเก่า ไปจนถึงหนังกำพร้า ผมชอบไปเยือนโรงหนังเล็กๆ ที่ฉายนอกนอกกระแสหรือหนังเก่า รวมไปถึงโรงหนังโป๊แถวถนน 42 (ซึ่งก็ไปหลายครั้งหลายหน แต่ไม่สม่ำเสมอจนจัดเป็นงานอดิเรก) จนเมื่อกลับมาอยู่เมืองไทยนั่นแหละ ผมจึงมีงานอดิเรกชนิดใหม่ที่ไม่เคยคิดจะทำ หรือคิดว่าจะทำได้ นั่นคือการเขียนเรื่องสั้น ช่วงนั้นผมมีเวลาว่างมาก เพราะเป็นคนทำงานเร็ว ออกจากบริษัทแล้วก็ไม่รู้จะทำอะไร จึงเขียนเรื่องสั้นแก้เบื่อและเพื่อผ่อนคลาย ปรากฏว่าเกิดติดใจงานอดิเรกชนิดนี้ขึ้นมา ตอนนั้นผมเขียนสม่ำเสมอ เขียนแล้วก็เก็บในลิ้นชัก สองสามปีต่อมาจึงเริ่มส่งงานไปตามนิตยสาร เมื่องานได้รับการตีพิมพ์ ก็เลยติดหนับกับงานอดิเรกนี้ จนในที่สุดมันก็เลื่อนฐานะ (หรือลดฐานะ?) จากงานอดิเรกเป็นงานประจำไปอย่างไม่น่าเชื่อ
จะเห็นว่างานอดิเรกของผมเปลี่ยนไปตามวัย แต่โดยหลักการแล้วไม่เปลี่ยน นั่นคือแทบทั้งหมดเกี่ยวกับศิลปะ ผมเชื่อว่ามันเกิดมาจากการปลูกฝังในวัยเด็กในต่างจังหวัดที่ไม่มีกิจกรรมอื่นให้ทำนอกจากอ่านหนังสือ
กิจกรรมหนึ่งที่ผมทำเหมือนวรพจน์ก็คือการเดิน เพียงแต่ผมไม่แน่ใจว่า การออกกำลังกายถือเป็นงานอดิเรกได้หรือไม่ เพราะผมไม่ได้กระทำในยามว่าง แต่หาทางจัดมันอยู่ในตารางชีวิต
ความจริงผมไม่เคยคิดจะรวมเอากิจกรรมประเภทออกกำลังกายเข้ามาในชีวิตเลย แต่สภาพร่างกายที่อ่อนแอเพราะไม่เคยออกกำลังกายมาตั้งแต่หนุ่มทำให้ไม่มีทางเลือก ในช่วงต้นมันจึงไม่จัดว่าเป็นงานอดิเรก เพราะมิได้ทำด้วยความเพลิดเพลิน
ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ผมไปเดินที่สวนลุมพินีสม่ำเสมอ การเดินเป็นกิจกรรมที่หลายคนบอกว่าน่าเบื่อ แต่ผมเห็นว่ามันเป็นกิจกรรมที่ทำให้เราได้อยู่กับตัวเราเองดี ช่วงเดินเป็นห้วงยามที่ผมรู้สึก “ว่างเปล่า” การเดินใต้ร่มไม้ใหญ่ริมบึงน้ำเป็นความรู้สึกที่วิเศษ และจะวิเศษมากขึ้นหากเจ้าหน้าที่สวนสาธารณะไม่กวาดใบไม้ที่เรี่ยหล่นบนทาง ผมชอบหนทางที่มีเศษใบไม้ ซากดอกไม้เกลื่อนทางมากกว่าทางสะอาดๆ
สิ่งหนึ่งที่ผมว่าแปลกเกี่ยวกับกิจกรรมในสวนสาธารณะบ้านเราก็คือ ผมเห็นคนออกกำลังกาย เล่นโยคะ เต้นแอโรบิค ร้องเพลง เต้นรำ สวดมนต์ ฟังเทศน์ กินอาหาร แต่ไม่ยักมีคนอ่านหนังสือในสวนสาธารณะเลย ทั้งที่ใต้ร่มไม้ใหญ่เหมาะมากกับการอ่านหนังสือ
อีกกิจกรรมหนึ่งที่ผมทำมาสองสามปีแล้วคือการจ่ายตลาดในตลาดสด ผมแวะเวียนไปที่ตลาดสามย่านทุกเช้าวันอาทิตย์ กินอาหาร ซื้ออาหารสดเข้าบ้าน ก็เพลิดเพลินดีครับ ตอนเด็กผมไม่ชอบเข้าตลาดสด เพราะมันดูสกปรก เลอะเทอะ และมีกลิ่นคาวของเนื้อสด แต่ตอนนี้ผมกลับชอบเข้าตลาดสดมากกว่าซูเปอร์มาร์เก็ต
ผมว่างานอดิเรกก็เหมือนขนม บางช่วงเราอาจติดใจขนมแบบใดแบบหนึ่งจนกินมันทุกวัน แต่ไม่นานก็เบื่อ อยากกินขนมอื่นดูบ้าง การทำงานเขียนหนังสือที่อยู่กับโลกของจินตนาการที่เพลิดเพลินก็มีด้านดีอย่างหนึ่ง นั่นคือบ่อยครั้งที่ “งานประจำ” เป็นงานอดิเรกในตัวมันเอง
เชื่อไหมว่าผมไม่ค่อยได้ยินคนบอกว่าชอบงานที่ตัวเองทำเลย และไม่มีใครชอบวันจันทร์ มันกลายเป็นภาพลักษณ์ว่า อะไรที่เป็นงานต้องเป็นเรื่องน่าเบื่อ และวันจันทร์คือนรก
ยี่สิบกว่าปีก่อนในสำนักงานสถาปนิกแห่งหนึ่งในสิงคโปร์ เจ้านายคนหนึ่งของผมไปทำงานตอนเจ็ดโมงเช้าทุกวัน เมื่อถูกถามว่า เขาไม่มีงานอดิเรกทำหรือ เขาตอบว่า “งานอดิเรกของผมคือการทำงาน และผมโคตรชอบทำงานเลยว่ะ”
บางทีความสุขของชีวิตอยู่ที่กิจกรรมเล็กๆ ในแต่ละวันมากกว่า ไม่น่าจะมีกฎว่า นี่คือเวลาทำงานที่น่าเบื่อ และนี่คือเวลาสำหรับการผ่อนคลายที่เพลิดเพลิน
คิดดูเล่นๆ หากคนไทยสามารถเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับงานเสียใหม่ วันหนึ่งผล “วรพจน์โพลล์” อาจไม่ใช่ “ดูหนัง-ฟังเพลง” อีกต่อไป หากคือ “งานอดิเรกของผมคือการทำงานกับทำงานครับ”
……………………
ปราบดา ตอบ วินทร์และวรพจน์
๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
ก่อนอื่นผมต้องขอปรับตัวสักครู่ คุยกับผู้ชายสองคนต่างกับคุยกับผู้ชายคนเดียวอยู่เหมือนกัน อย่างน้อยผมก็ต้องเริ่มส่ายหน้ามองสลับไปมา มองคุณวินทร์ที มองคุณวรพจน์ที จะได้ไม่มีใครน้อยใจ…เอ…ถ้าเราริจะเพิ่มสมาชิกในวงสนทนา ก็น่าจะมีสาวๆ เข้ามาแจมบ้างนะครับ ผมจะได้ส่ายหน้าด้วยความรื่นรมย์ยิ่งขึ้นอีก เสียดายตรงที่แถวนี้หาสาวยาก หันไปซ้าย-ขวาก็เจอแต่คอลัมนิสต์หนุ่มผู้เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มกับสภาพสังคม ขี้บ่น และคิดว่าความเห็นตัวเองถูกต้องกว่าใคร ช่างน่าเบื่อหน่ายเสียจริง (ผมพยายามพาช่องทางหลบลี้ออกไปจากตรงนี้หลายครั้งแล้ว แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จสักที)
เอ้า…เริ่มหายตื่นเต้นแล้วครับหนุ่มๆ เข้าเรื่องงานอดิเรกได้เสียที
ผมไม่เคยมี “งานอดิเรก” และผมไม่เชื่อว่าคำนี้มีความหมายอะไรนัก หากพูดถึงการดูหนังฟังเพลง ผมก็ชอบเป็นปกติวิสัย แต่ไม่เคยคิดว่าการดูหนังหรือการฟังเพลงเป็นงานอดิเรกแม้แต่น้อย การอ่านหนังสือก็เช่นกัน ผมทำสิ่งเหล่านี้ด้วยความต้องการจากข้างใน อย่าเพิ่งหมั่นไส้นะครับ ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องจิตวิญญาณอะไรหรอก แค่หมายความว่าผมไม่ได้บังคับตัวเองให้ทำ ไม่ได้สร้างกฎเกณฑ์ขึ้นว่าเมื่อมีเวลาว่างแล้วจะต้องนั่งดูหนัง เปิดเพลงฟัง หรือหาหนังสือมาอ่าน ผมชอบกิจกรรมเหล่านี้อยู่ในเลือดในเนื้อ และหากจะต้องเรียกว่าเป็น “งาน” อะไรสักอย่าง สำหรับผม การดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ หรือกระทั่งการทำงานศิลปะด้านอื่นๆ ล้วนเป็น “งานประจำ” มากกว่าจะเป็นงานอดิเรก ไม่ว่ากิจกรรมเหล่านั้นจะสร้างรายได้ให้ผมหรือไม่ก็ตาม
ผมคิดว่ามีคนจำนวนน้อยที่มี “งานอดิเรก” ส่วนใหญ่เมื่อคนพูดถึงงานอดิเรก พวกเขาน่าจะหมายถึง “กิจกรรมทำฆ่าเวลา” เสียมากกว่า ผมไม่เห็นว่าการ “เล่นเน็ต” จะเป็นงานอดิเรกตรงไหน เว้นแต่ว่าผู้เล่นอินเตอร์เน็ตจะเล่นอย่างมีระบบ มีการค้นคว้าศึกษาการเล่นจนรอบรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของเทคโนโลยีที่เรียกว่าอินเทอร์เน็ต คนที่เล่นเน็ตอย่างเป็นงานอดิเรกมีอยู่จริงแน่ๆ แต่ผมว่าเป็นคนละความหมายกับการเล่นเน็ตเพื่อคุยกับเพื่อน หรือเล่นเพื่อเข้าไปอ่านข่าว อ่านกระทู้ โหลดเพลง โหลดหนัง เขียนอีเมล รับอีเมล ฯลฯ ที่ทุกคนทำเป็นปกติในระดับความลึกซึ้งเท่าๆกัน ซึ่งไม่ต่างกับการดูทีวี ฟังวิทยุ หรืออ่านนิตยสาร มีใครไหมครับที่เรียกการดูทีวีเป็นงานอดิเรก กรุณาชี้ตัวให้ผมเห็นว่าเป็นใคร จะได้หมั่นไส้ถูกคน
ถ้าความเข้าใจของผมไม่ผิด รู้สึกว่าประเทศใหญ่ๆอย่างอเมริกา อย่างรัสเซีย ในสมัยหนึ่ง (หรืออาจยังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน) มีการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญให้อ่านหนังสือทุกเล่ม เพื่อตรวจหาโค้ดลับของฝ่ายตรงข้ามโดยเฉพาะ วันๆตะบี้ตะบันอ่านหนังสือกันอย่างเดียว ถ้าผมอ่านหนังสือด้วยเหตุผลดังกล่าว อาจจะเรียกว่าเป็นงานอดิเรกได้ แต่ที่ผ่านมา ดูเหมือนผมจะเสียรายได้ไปมากกว่าที่จะได้รายได้จากการอ่านหนังสือ
งานอดิเรกในความเข้าใจของผม คือความสนใจที่ผูกพันจริงจังแต่ไม่มีโอกาสได้ทำเป็นงานเลี้ยงชีพ นั่นหมายความว่า คนส่วนใหญ่ไม่ได้มีความรักในงานที่ตัวเองทำอยู่จริงๆ แต่ทำไปเพื่อความอยู่รอดเป็นเหตุผลหลัก ดังนั้นจึงต้องหาเวลาว่างไว้สำหรับกิจกรรมที่ตัวเองรัก เช่นคนที่ดูหนังเป็นงานอดิเรก แปลว่าต้องจริงจังมากกับการดู ดูจนล่วงรู้ถึงขั้นใครเป็นใครในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ดูจนล่วงรู้เทคนิคการถ่ายทำ ประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ ไปจนถึงศัพท์แสงพิเศษต่างๆที่คนดูหนังเพื่อความบันเทิงทั่วไปไม่สนใจจะรู้ คนผู้นี้อาจไม่สามารถประกอบอาชีพเกี่ยวกับภาพยนตร์ได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่เขาหรือเธอก็รักภาพยนตร์เป็นชีวิตจิตใจ และเมื่อใดที่มีโอกาส ก็เป็นต้องทำกิจกรรมเกี่ยวกับภาพยนตร์ เพื่อผลประโยชน์ทางใจโดยแท้ ไม่มีข้อแม้ทางเศรษฐกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง
ในความรู้สึกของผม เมื่ออ่านคำตอบของดารานักร้องและคนดังทั่วไปว่างานอดิเรกคือดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ เล่นเน็ต ส่วนใหญ่พวกเขาไม่เข้าใจความหมายของคำว่า “งานอดิเรก” หรอกครับ เป็นเพียงการตอบตามสูตรสำเร็จ คนถามก็ถามตามธรรมเนียม ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตั้งธรรมเนียมนี้ขึ้น ผมคิดว่าคำตอบที่เป็นความจริงสำหรับคนส่วนใหญ่คือ “ไม่มีงานอดิเรก” เสียมากกว่า
ไม่เห็นผิด ไม่ใช่เรื่องน่าอับน่าอายอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ทำงานประจำของตัวเองด้วยความชื่นชอบอยู่แล้ว หรือทำงานมากเสียจนไม่มีเวลาทำอย่างอื่น ผมก็ไม่เห็นว่าจะต้องกระเสือกกระสนหางานอดิเรกทำให้เหนื่อยล้ายิ่งขึ้น บางทีการพยายามทำตัวตามสูตรของการเป็นคนในสังคมนี่เองที่ทำให้คนเราเครียดเกินความจำเป็น สูตรเขาบอกว่าควรจะมีงานอดิเรกก็ต้องพยายามมี สูตรบอกว่าควรจะไปเที่ยวต่างจังหวัดก็ต้องพยายามวางแผนไปเที่ยว สูตรบอกว่าต้องเที่ยวกลางคืนก็ต้องดั้นด้นออกไปหาแหล่งมั่วสุม ตอนผมกลับมาเมืองไทยใหม่ๆ เจอคนหนุ่มคนสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน พวกเขามักจะถามผมว่า “ปกติไปเที่ยวที่ไหน” ผมฟังแล้วงง นึกสงสัยในใจว่าการไปเที่ยวนี่มีสถานที่ที่ต้องไป “เป็นปกติ” ด้วยหรือ และมักจะตอบว่า “ก็…ไปได้หมดนะครับ ทะเล ภูเขา แล้วแต่สถานการณ์” พวกเขามักหัวเราะ หรือไม่ก็ตีสีหน้างงกว่า ก่อนอธิบายว่า “ม่ายช่ายอย่างน้าน…หมายความว่าปกติไปเที่ยวกลางคืนที่ไหน”
ไม่มีครับ แม้แต่การเที่ยวกลางคืนของผมก็ไม่ปกติ นานๆไปที ไปสองทีติดกันต้องเรียกว่าผิดปกติ
การเดินอย่างที่คุณวรพจน์ชื่นชอบ ผมอนุโลมเรียกว่างานอดิเรกได้เหมือนกัน เพราะไม่ใช่การเดินเพียงเพื่อนำเรือนร่างจากจุดหมายหนึ่งสู่อีกจุดหมายหนึ่งตามปกติ แต่เดินเพราะชอบเดิน เดินเพื่อเดิน ผมเองก็ชอบเดิน เพราะการเดินช่วยให้ความคิดเดินไปได้ด้วย (แต่ผมก็ไม่เคยรู้สึกว่าการเดินเป็นวิธีเดียวที่ทำให้รู้สึกกลับเป็นเด็กอีกครั้งเหมือนที่คุณฟ้า พูลวรลักษณ์ รู้สึก วิธีเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกว่าได้กลับเป็นเด็กอีกครั้งคือการร้องไห้) อีกเหตุผลหนึ่งคือผมไม่ชอบนั่งนานๆ จึงไม่ชอบนั่งรถ ยิ่งการนั่งรถขณะรถติดยิ่งเป็นสภาพที่ผมทนไม่ค่อยได้ รู้สึกตลกอย่างขมขื่นกับอาการนั้น คนเรามีขา คนเราเดินได้ ถึงแม้จะช้ากว่าการขับรถ แต่คนเราก็ไม่เคยต้องหยุดอยู่นิ่งๆเพราะมีจำนวนคนแออัดเสียจน “ติด” ผมคงเป็นคนส่วนน้อยที่ยังไม่อาจเข้าใจวัฒนธรรมรถยนต์ของมนุษย์เสียที ผมเห็นว่ามันมีแต่การสร้างปัญหา รถติด สร้างมลพิษ ผลาญทรัพยากร อันตรายต่อชีวิต กับข้อดีตรงที่สามารถทำให้คนเดินทางไปไหนมาไหนได้รวดเร็วเพียงข้อเดียว ผมว่าไม่เพียงพอ ทุกวันนี้ผมเองก็ต้องใช้รถ (คนอื่น) และใช้ถนน แต่สาบานได้ว่าผมไม่เคยชอบเลย อย่างไรเสีย การเดินก็เพลิดเพลินและสบายใจกว่าหลายล้านเท่า ผมรู้ว่ากรุงเทพฯเป็นเมืองที่เดินยาก ไม่รื่นรมย์ ทว่าสาเหตุเป็นเพราะอะไรเล่าครับ ก็เพราะการสร้างเส้นทางสำหรับรถยนต์ไม่ใช่หรือ
ปัญหาหลายๆอย่างที่เรามีอยู่ในกรุงเทพฯ รวมถึงในไทยทั้งประเทศ ผมคิดว่าเป็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากสิ่งที่เรา “อยากมี” ซึ่งก็ต้องย้อนกลับไปสู่สัจธรรม “ได้อย่าง เสียอย่าง” เราดัดจริตอยากมีหน้าตาเหมือนประเทศตะวันตก เราจึงสูญเสียคุณสมบัติดีๆบางอย่างของเราไป เราอยากได้ชื่อว่าเจริญทางวัตถุ ธรรมชาติของเราจึงย่อยยับป่นปี้ไปอย่างรวดเร็ว เราอยากร่ำรวยด้านเงินทอง เราจึงอับจนเรื่องจิตใจและเรื่องอื่นๆที่เงินไม่เกี่ยว (ผมมั่นใจว่ายังมีเรื่องที่เงินไม่เกี่ยวอยู่จริงในโลกนี้ ไม่ว่านักเศรษฐศาสตร์จะคุยโม้อย่างไรก็ตาม)
ที่บ่นมาทั้งหมด บอกตามตรงครับว่าผมไม่อยากคิดรวมการเดิน (และการนอน ที่คุณวรพจน์แนะนำ แต่ผมทำไม่ค่อยเป็น) เป็น “งานอดิเรก” สักเท่าไร ผมอยากให้มันเป็นสิ่งที่เราทำเป็นประจำอย่างรื่นรมย์ มากกว่าที่จะต้องคิดแยกออกมาเป็นงานอดิเรก หากวันนี้เป็นวันที่คนเราต้องเดิน นอน หรือกระทั่งไปนั่งสวนสาธารณะเป็นงานอดิเรกจริงๆแล้วละก็ สังคมมนุษย์คงอยู่ในภาวะหม่นเศร้าอย่างน่าใจหาย แสดงว่ากิจกรรมที่เราทำเป็น “งานประจำ” ล้วนแต่ไม่มีคุณค่าทั้งทางกายและทางใจโดยสิ้นเชิง เพราะผมว่าการเดิน นอน นั่งเล่นพักผ่อนในสภาพแวดล้อมผ่อนคลายและใกล้ธรรมชาติ น่าจะเป็นกิจกรรมหลัก เป็นกิจกรรมสำคัญ และเป็นกิจกรรมจำเป็นสำหรับการมีสุขภาพกายและใจที่ดีสำหรับมนุษย์ในสังคมเมืองเป็นพื้นฐานอยู่แล้วด้วยซ้ำ
ความรู้สึกของผมอาจจะต่างจากคุณหนุ่มๆทั้งสองตรงที่ว่า ผมไม่อยากให้ใครต้องมีงานอดิเรก บอกตามตรง ผมไม่เห็นความจำเป็นของงานอดิเรก ถ้าคนเรามีความรักและความจริงจังให้กับงานหรือกิจกรรมประจำของตัวเองอยู่แล้ว ผมไม่คิดว่าเราจะมีความฝักใฝ่ไปทำอย่างอื่น เพราะจะทำให้เวลาในการทำสิ่งที่ตัวเองรักมีน้อยลง
ไม่ได้หมายความว่าผมเห็นสิ่งที่เรียกว่า “งานอดิเรก” ทั้งหลายเป็นกิจกรรมไร้ค่า ตรงกันข้าม ความรู้สึกของผมคือทุกกิจกรรมล้วนเป็น “งานจริง” ได้ ถ้าคนทำมีความผูกพันกับกิจกรรมนั้นจริง ยกตัวอย่างเช่น พนักงานบัญชีที่ทำงานบัญชีเพียงเพื่อหาเงินเลี้ยงดูครอบครัว ไม่ได้มีความผูกพันหลงใหลในงานบัญชีแต่อย่างไร (พูดง่ายๆ ถ้ามีคนยื่นงานอื่นที่ได้เงินดีกว่ามาให้ก็ยินดีเปลี่ยนงานทันที) แต่ในวันหยุดสุดสัปดาห์ พนักงานบัญชีผู้นี้กลายเป็นนักเล่นหมากรุกระดับเซียน หมกตัวในกลุ่มพรรคพวกที่ล้อมวงอยู่รอบกระดานหมากรุกตั้งแต่เช้าจรดเย็น การเล่นหมากรุกสำหรับคนผู้นี้อาจถูกจัดเป็น “งานอดิเรก” เพราะทำเพียงสองวันในหนึ่งสัปดาห์ และทำโดยไม่เกิดประโยชน์เป็นมูลค่าอะไร นอกจากความสนุก ความมัน ความเพลิดเพลิน ผมคิดว่าการเล่นหมากรุกที่คนผู้นี้รักและผูกพันต่างหากครับ ที่ควรจะมีความรู้สึกของความเป็น “งานประจำ” ผสมอยู่ และงานบัญชีควรจะเรียกว่าเป็น “งานอดิเรก” และทำด้วยความจำเป็น ซึ่งก็ไม่ผิดบาปอะไรเช่นกัน เราทุกคนต่างมีกิจกรรมที่ต้องทำเพราะความจำเป็น ทำโดยไม่ได้ชื่นชอบ ต่างกันก็เพียงปริมาณ บางคนอาจต้องตรากตรำทำกิจกรรมที่ตนไม่ชอบมากกว่าบางคน แต่ผมคิดว่าในโลกนี้คงมีน้อยคนที่ไม่เคยต้อง “ฝืนใจ” ตัวเองเลย
ผมคิดว่าชีวิตคนเราจะมีค่าขึ้นในความรู้สึก หากเราได้ให้ใจไปกับความชอบ ความสนใจ และความผูกพันอย่างแท้จริง ไม่ใช่เห็นมันเป็นเพียงกิจกรรมฆ่าเวลา หรือกิจกรรมยามว่าง ไม่ใช่พอสังคมนิยมการมีงานอดิเรกก็ต้องไปสรรหางานอดิเรกมาให้ตัวเอง การสะสมแสตมป์หรือประกอบเครื่องบินพลาสติก ไม่มีประโยชน์อะไรต่อชีวิตหรอกครับ หากคนทำไม่ได้ทำเพราะความลุ่มหลงคลั่งไคล้จนทำให้จิตใจของเขาหรือเธอเบ่งบานขึ้นกว่าปกติ
ดารานักร้องหรือวัยรุ่นที่นิยมกรอกช่อง “งานอดิเรก” ว่า “ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเน็ต” ถ้าพวกเขาทำกิจกรรมเหล่านั้นด้วยความผูกพันลึกซึ้งจริง ผมก็ไม่เห็นว่าเป็นปัญหาอะไร ปัญหาอยู่ที่ว่าพวกเขาตอบคำถามไปตามสูตรและอาจไม่มีความสนใจผูกพันลึกซึ้งกับอะไร นอกจากการหาเงินมาง่ายๆและเร็วๆเพื่อช้อปฯกระจายเท่านั้น
ก็ไม่เป็นไรอีกนั่นแหละครับ ไม่จริงหรือครับที่คนเราทุกคนเกิดมาไม่เหมือนกัน (ใครฝันหวานว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน ผมขอท้าพิสูจน์) บางคนก็สนใจให้ความสำคัญกับการไตร่ตรองชีวิตถึงขั้นละเอียดอ่อน (คนประเภทนี้ดูเหมือนจะหาง่ายแถวๆซอกหลืบของนิตยสาร GM) บางคนก็ไม่สนใจอะไรนอกจากการมีกินมีใช้ให้ชีวิตผ่านไปวันๆ ผมไม่คิดว่าเราสามารถเปลี่ยนคนให้กลายเป็นพันธุ์เดียวกันหมดได้ แม้ว่าเราจะหวังดีเพียงไรก็ตาม ไอ้คนที่เขาไม่สนใจ ไม่มีงานอดิเรกดีๆ ไม่มีความเห็นเรื่องการเมืองหรือเรื่องศาสนา ไม่ทะนุถนอมสิ่งแวดล้อม ไม่อ่านหนังสือดีๆที่พวกเราอุตส่าห์เขียน ก็ช่างพวกท่านมันเถอะครับหนุ่มๆ หรือว่างานอดิเรกของพวกเราคือการก่นด่าคนอื่น
พูดไปพูดมา ผมพลันนึกถึงงานอดิเรกที่น่าสนใจได้อย่างหนึ่ง เหมาะกับสถานการณ์ร่วมสมัยอย่างยิ่ง
งานอดิเรกที่ว่าคือ การสะสม “เพลงเกี่ยวกับโทรศัพท์ที่แต่งขึ้นเพื่อขายริงโทนโดยเฉพาะ” ช่วงนี้ผมรู้สึกว่าเพลงประเภทดังกล่าวได้กลายเป็น “แนว” ไปแล้ว เพราะพ่นกันออกมาเยอะและถี่มาก กระทั่งนักร้องระดับซูเปอร์สตาร์ยังต้านกระแสไม่ไหว ต้องลดตัวลงมาตามเทรนด์กับเขาด้วย เนื้อหาก็วนเวียนดีนะครับ “โทรฯตั้งนานทำไมไม่รับ” “สงสัยจังว่าเธอจะรับสายฉันหรือเปล่า” “คิดถึงจึงโทรฯมา” “ถึงไม่อยากโทรฯก็ช่วยส่งข้อความมาหน่อยได้ไหมจ๊ะ” “อย่าบอกนะว่ามึงโทรฯมาบอกเลิกกู” “ถ้าไม่รักแล้วจะยอมโทรฯเกินชั่วโมงโปรโมชั่นมาหาเธอเหรอ” “อยากรู้จังว่าหน้าจอมือถือเธอขึ้นรูปอะไรตอนฉันโทรฯเข้า” “มึงริอาจกล้ารับสายซ้อนตอนคุยกับกูเชียวหรือ” “เราบอกรักกันทางโทรศัพท์เป็นภาษาอังกฤษเถอะนะ พวกคนไทยโลว์ๆมันจะได้ฟังไม่ออก” “เสียงเธอโทรฯเข้าทำใจฉันสั่น เพราะดันเปิดสั่นแล้วใส่ไว้ในกระเป๋าหน้าอก” “โทรฯกี่ทีก็ไม่มีสัญญาณ หวังว่าเธออยู่ไกลบ้าน ไม่ได้ปิดหนีเพราะนอกใจ” “รักจริงแต่ต้องยิงไปให้โทรฯกลับ กรุณาอย่ารับเพราะไม่มีเงินจ่าย” ฯลฯ
สนุกนะครับหนุ่มๆ งานอดิเรกแบบนี้
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : นิตยสาร GM ฉบับเดือนธันวาคม 2550