ชีวิตช้าๆในร้านหนังสือเล็กๆ

ประโยคนี้ George Whitman เจ้าของร้าน Shakespeare and Company ร้านหนังสือเก่าแก่เล็กๆซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับมหาวิหารโนเตรอดาม (Cathédrale Notre-Dame de Paris) ที่ปารีส (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) เคยให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ Los Angeles Times เอาไว้
การมาเยือนร้าน Booktopia ร้านหนังสือเล็กๆของ พี่อ้วน – คุณวิรัตน์ โตอารีย์มิตร ทำให้ฉันนึกถึงคำสัมภาษณ์ข้างต้น ร้านนี้อายุเกือบสิบปีแล้วตั้งอยู่ในตึกแถวเก่าขนาดสามชั้นที่ดูอบอุ่นในอำเภอเมืองฯ จังหวัดอุทัยธานี สถานที่แห่งนี้ล่ะที่นำพาผู้หลงรักตัวหนังสือมาพบปะพูดคุยกัน และเจ้าของร้านก็ยังเป็นนักเขียนด้วย โดยใช้นามปากกาว่า “ญามิลา” ,”ปลาอ้วน”, “วนาโศก” ฯลฯ ในช่วงสี่ห้าปีที่ผ่านมาถือเป็นนักเขียนฟรีแลนซ์ที่มีงานชุกคนหนึ่งเลยทีเดียว
เมื่อเข้าไปภายในร้านฉันรู้สึกได้ถึงความโปร่งและโล่งตามแบบบ้านตึกแถวยุคก่อน พี่อ้วนเล่าถึงการปรับปรุงร้านให้ฟังว่า
“เดิมบ้านนี้เปิดโล่งเป็นแนวยาวไปจนถึงหลังบ้าน พี่กั้นผนังใหม่ แล้วก็รื้อเหล็กดัดชั้นบน โชคดีที่ได้ช่างเก่งในละแวกนี้มาช่วย เขารู้จักกับเตี่ยพี่มานานแล้ว ทำอยู่สองเดือนพี่ก็เรียนรู้วินัยจากเขา เพราะจะมาตรงเวลาและมีคุณธรรม ไม่ขี้โกง อะไรประหยัดได้ก็ช่วยประหยัด”
ฉันเหลือบไปเห็นมุมหนึ่งของร้านซึ่งวางเก้าอี้ไม้สักโบราณ พี่อ้วนอธิบายว่ามุมนี้มักมีผู้คนหมุนเวียนมานั่งอ่านหนังสือและพูดคุยกันทุกวัน
“การพูดคุยทำให้เราได้ศึกษามนุษย์ไปด้วย มุมที่เรานั่งกันอยู่ตรงนี้มีทั้งแม่มาปรึกษาปัญหาเรื่องลูกชาย มีน้องมาเล่าเรื่องรักขมๆ มีคุณหมอมาคุยเรื่องหนังสือ แล้วส่วนใหญ่จะนั่งกันนาน พี่ว่าถ้าเก้าอี้สี่ห้าตัวนี้มันจำได้คงมีเรื่องราวให้จดจำเต็มไปหมด”
พี่อ้วนยังเล่าต่อไปว่าตอนที่ยังเป็นนักเขียนฟรีแลนซ์อยู่กรุงเทพฯมีความคิดว่าถ้ายังอยู่ที่นี่ต่อไปก็จะเจอแต่สภาพแวดล้อมเดิมๆที่ยิ่งอยู่นานยิ่งไม่ผ่องใส จึงตัดสินใจย้ายกลับบ้านเกิดที่อุทัยธานี เพราะการทำงานฟรีแลนซ์อยู่ตรงไหนก็ทำได้
“ตัดสินใจถูกมาก ถึงย้ายกลับมาก็ยังเหมือนพี่ทำงานให้กรุงเทพฯ กินเงินเดือนกรุงเทพฯ แต่ค่าใช้จ่ายเป็นบ้านนอก ซึ่งมันลดค่าใช้จ่ายลงเยอะ มีความสุข การทำงานที่บ้านหากงานเร่งๆหกโมงเช้าก็ตื่นมาทำได้ สบายๆ
“แรกๆยังเข้ากรุงเทพฯ บ่อย เพราะยังติดเพื่อน ติดแสงสี แต่เดี๋ยวนี้ดึกแค่ไหนก็ขอกลับบ้าน เวลาออกนอกกรุงเทพฯจะรู้สึกมีความสุข มันโล่งดี”
ความสุขอีกอย่างหนึ่งของคนทำร้านหนังสือคือการสร้างสังคมเล็กๆที่มีคุณภาพด้วยการอ่าน
“หนังสือในร้านพี่เลือกเองทั้งหมด เลือกจากหนังสือที่เราชอบ พวกหนังสือเก่ามีทั้งที่เก็บสะสมและขายด้วย บางเล่มก็ได้จากนักอ่านนักสะสมเอามาให้ แต่ส่วนใหญ่พี่จะเชียร์งานเขียนของกฤษณมูรติ (นักปรัชญาชาวอินเดีย) อัลแบร์ กามู (นักเขียนและนักปรัชญาชาวฝรั่งเศส ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมจากนวนิยายเรื่อง L'Étranger ในปี 2500 นำมาแปลเป็นภาษาไทยในชื่อเรื่อง ‘คนนอก’ แปลโดย คุณอำพรรณ โอตระกูล) เชียร์หนังสือ ‘ปารีส / พำนัก / คน / รัก / หนังสือ’ (ผลงานแปลของศรรวริศา ซึ่งแปลมาจากเรื่อง Time Was Soft There: A Paris Sojourn at Shakespeare & Co.ของเจเรมี เมอร์เซอร์) คือเลือกเชียร์หนังสือที่ดีและอยากบอกต่อ รวมถึงขายหนังสือของตัวเองด้วย ตั้งใจให้ที่นี่เป็นที่ผลิตผลงานของตัวเอง หมายถึงเขียนและจัดวางเลย์เอ๊าต์เอง ขายเอง
“ลูกค้าที่มาเยี่ยมร้านนี้ส่วนใหญ่เป็นคนกรุงเทพฯ คนที่นี่ยังไม่ค่อยกล้าเดินเข้ามา อาจเพราะเห็นร้านปิดประตูตลอดเวลา คนที่มาก็มักตั้งใจมา มีหลงเข้ามาบ้าง หรือไม่ก็มีกลุ่มประจำเขาขับรถกันมาซื้อหนังสือ มาทีก็สิบกว่าคน ส่วนใหญ่ก็มาค้างเลย มานั่งคุย อารมณ์เหมือนเป็นแฟนร้านหนังสือ พี่เองก็ดีใจที่เขาได้หนังสือดีๆที่หาจากร้านอื่นไม่ได้
“สิ่งหนึ่งที่อดเป็นห่วงไม่ได้ก็คือเด็กยุคนี้อ่านหนังสือกันน้อยและไม่ชอบอ่านอะไรยากๆ การที่เราแนะนำให้อ่านอะไรที่ยากขึ้น ก็เพราะอยากให้เขามองเห็นโลกที่กว้างและแตกต่างออกไป เราก็ได้แต่พยายามแนะนำต่อไป แม้ว่าเขาจะเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้างก็ตาม”
ด้วยเวลาที่มีจำกัดทำให้ฉันแอบเสียดาย เพราะช่วงที่นั่งคุยในร้านนี้เหมือนได้พักผ่อน นั่งพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างคนคอเดียวกัน ได้สูดกลิ่นหนังสือ ฟังเพลงเบาๆ เป็นความสุขที่ทำให้เราเห็นมุมมองอีกด้านจากนักเขียนรุ่นใหญ่
ที่สำคัญร้านหนังสือนร้านนี้ทำให้ฉันรู้สึกว่าหากบ้านและสิ่งที่เรารักมาอยู่รวมกันในที่เดียว ก็จะทำให้บ้านเป็นยิ่งกว่าบ้าน
ครั้งหน้า…รับรองว่าจะกลับไปเยี่ยม Booktopia อีกแน่นอนค่ะ
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก http://www.baanlaesuan.com/House.aspx?pid=1&cid=8