ชาติ กอบจิตติ-ไม่เปลี่ยนแปลง

พวกเรา-ลัช-เดินทางไปถึงบ้านปากช่อง เพื่อสนทนาประสาลัช (ในฐานะนักอ่านรุ่นที่เติบโตมากับ คำพิพากษา และ พันธุ์หมาบ้า) บทสนทนานี้บางท่านเคยได้รับรู้มาแล้ว (เพราะเราถามไปถึงเรื่องเก่าๆ) เรื่องราวทั่วไป และความคิดเห็นบางประการ รวมๆ แล้วเป็นการสนทนาอันสุนทรีย์ ไม่ได้พาดพิงถึงผู้ใดในทาง เสียหาย และทำให้เราสัมผัสถึงความเป็นเขา-ชาติ กอบจิตติ-ไม่เปลี่ยนแปลง
พี่เคยเล่าอยู่บ่อยๆ ว่าอยากเป็นนักเขียนตั้งแต่ ม.ศ.2 เกิดมาจากอะไร ครอบครัวหรือเปล่า
เพราะเราอ่านมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ถ้าถามว่าเทือกเถาเหล่ากอมีใครเป็น ไม่มี พ่อจบป.4 แม่จบป.2 แต่พ่อเขาจะชอบเขียนกลอนติดไว้ตามหน้ากระจก กลอนด่าลูก กลอนอบรมเด็ก แต่ถามจริงๆ ตระกูลไม่เคยมีใครทำมาทางนี้ มาคิดย้อนไปก็น่าจะเป็นเพราะอ่าน แล้วอยู่ๆ ตอน ม.ศ.2 อายุก็ 13-14 ก็รู้สึกว่าอยากเป็น นักเขียน แล้วเราเรียนโรงเรียนผู้ชาย (ปทุมคงคา) ส่วนมากเขาก็อยากจะเป็นทหาร ตำรวจ มันก็แปลกๆ
เด็กๆ อ่านอะไร
อ่านหลายอย่าง ตอนเล็กๆ อยู่โรงเรียน (ที่คลองหมาหอน) มีหนังสือเท่าที่เขาจะให้มา พวกเสรีภาพ กระดูกงู หนังสือนิทาน โตขึ้นตอน ม.ศ.2 นั่นก็เริ่มอ่านรวมเรื่องสั้นแล้ว อ่านของžรงค์ วงษ์สวรรค์ ของอาจินต์ ปัญจพรรค์ ปกรณ์ ปิ่นเฉลียว สุวรรณี สุคนธา อ่านพวกนั้น แล้วก็อย่างที่เคยเล่าบ่อยๆ เมื่อก่อนเขาจะมีหนังสือรวมเรื่องสั้นหลายคนแต่ง ปกเขาก็จะมีชื่อของนักเขียนที่แต่งเรียงกัน เราก็เขียนชื่อเราต่อเลย แต่งตัวหนังสือให้เหมือนเชียว ทีนี้ก็มีชื่อ žรงค์ วงษ์สวรรค์ เราก็ไม่รู้ว่า žรงค์ วงษ์สวรรค์ (หนุ่ม) ในวงเล็บ เป็นชื่อเล่นรึไง เราก็ใส่ ชาติ (ตึ๋ง) เลย เห็นไหม ขึ้นปกมาตั้งแต่เด็กแล้ว
แล้วตอนเรียนชอบวิชาภาษาไทยไหม
ชอบเรื่องการใช้ภาษา เขียนจดหมายลาป่วย เรียงความ พวกนี้สบาย เต็ม แต่ถ้าหลักภาษาไม่ชอบเลย จำได้น่าจะตกด้วยซ้ำ เพราะมันเรียนสังกรประโยค เอกประโยค อักษรกลาง สูง ต่ำ นี่ท่องไม่ได้หรอก หลักมันเยอะ ไม่ชอบที่มันเป็นระเบียบ ต้องท่อง แต่ถ้าให้ทำนี่ชอบ
หมายถึงพอใช้ก็รู้ไปเองหรือ
ตอนนี้ก็ไม่รู้ บางคำยังสะกดไม่ถูกก็มี แต่เพียงแต่ว่าเราข้ามไปก่อน เดี๋ยวค่อยมาเช็คทีหลัง ตอนที่เขียนไม่ได้คิดถึงหลักภาษา มันเป็นเสียงที่อยู่ในใจ เสียงมันออกมาเราก็เขียนลงไป เราอาจจะไม่ได้กังวลถึงมันตั้งแต่แรก ทุกวันนี้ก็ไม่ได้คิดว่าประโยคนี้มันจะเป็นยังไง
แล้วจากนั้นก็ไปสอบเพาะช่าง ทั้งๆ ที่อยากเรียนเกี่ยวกับการเขียน?
คือเราคิดว่าถ้าจะเขียนหนังสือต้องไปเรียนพวกอักษร-ศาสตร์ คือไม่รู้ แล้วสมัยก่อน เรียน ม.ศ.3 ต้องต่อ ม.ศ.4-5 ถึงจะไปสอบมหาžลัยได้ แต่ ม.ศ.3 คะแนน ไม่ถึง 65% จะเรียนต่อไม่ได้ เราคะแนนไม่ถึง ต่อ ม.ศ.4 ไม่ได้ ก็ชอบเขียนรูปอยู่ ก็เลยไปสอบเพาะช่าง
ตอนเรียนเพาะช่าง ถนัดอะไร
สมัยก่อนจะมีวิจิตรศิลป์หนักทางวาดรูป ปวช.ไปเป็น ครู หก.คือหัตถกรรม ทำงานหนัง ปั้น ไม้ ลงรัก ปิดทอง เราไปเรียนวิจิตรศิลป์ 3 ปี คือวาดรูป สีน้ำ ดรออิ้ง วิชาทางศิลปะนั่นล่ะ รุ่นเดียวกับมณเฑียร บุญมา เคยเช่าบ้านอยู่ด้วยกันด้วย ก็สนิทกัน พอจบปี 3 ก็ไปสอบศิลปากร สอบไม่ได้ ก็กลับบ้านทำกระเป๋า ปีรุ่งขึ้นก็มาสอบเพาะช่าง เรียนต่อปี 4 ปี 5 ส่วนที่ศิลปากรไม่ได้ไปสอบใหม่ เพราะเราให้โอกาสเขาแล้ว เขาไม่รับก็เรื่องของเขา(หัวเราะ) แต่มณเฑียรเขาไป สอบติด กลับมาเลยกลายเป็นรุ่นน้องเพื่อน ถึงเพื่อน เยอะไง เพราะรุ่นเพื่อนกลายเป็นพี่ รุ่นน้องก็เป็นเพื่อน แล้วยังมีรุ่นน้องอีก
ตอนเรียนไม่ตก ถ้าให้นับเป็นกลุ่มก็อาจเรียกว่าเป็นกลุ่มแรกแต่ปลายๆ กลุ่ม
หางมังกร
เออ เรื่องเหี้ยบอกเรา อยากได้อะไรเราจัดให้ แต่ช่วงเรียนเราก็ฝึกเขียน ทำหนังสือ ได้รวมกลุ่มกับเพื่อนที่ชอบๆ ทางด้านนี้
แล้วงานเขียนแรกๆ ที่เขียน
ยังมี ยังเก็บไว้อยู่เลย หลายอย่าง งานเขียนหนังสือมีหลายอย่าง เราไม่รู้ว่าถนัดอะไร แต่รู้ว่าชอบเขียน หนังสือ ทีนี้มันมีตั้งหลายอย่าง โคลง กลอน เรื่องสั้น เรื่องยาว สารคดี ข่าว ลองทำหมดแหละ แล้วมาสรุปได้ว่าชอบอยู่สองอย่างคือ เรื่องสั้นกับนวนิยาย แล้วไอ้สิ่งที่เราไม่ชอบแล้วไปกังวล ไปพะวงกับมัน บางทีมันเสียเวลา ก็ทิ้งมันไป แต่เคยคุยกับพี่เนาว์ (เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์) ว่าเออ เราก็เริ่มแต่งกลอนนะ แต่เราเริ่มอาจจะผิด พี่เนาว์แกบอกว่าไม่ถูก คือไปเริ่มตามผัง ท้ายนี้ส่ง มีกรอบ พี่เนาว์แกบอกว่ากวีเป็นเรื่องของเสียง ไม่ใช่ผัง เราไปเริ่มแบบนั้นก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องบังคับ ก็เลยไม่ชอบ ถ้าทำพี่เนาว์อาจจะลำบาก(หัวเราะ)
เริ่มเขียนงานจริงจังเมื่อไหร่
ผู้แพ้ เรื่องแรก เขียนเก็บไว้ ตอนนั้นค่อนข้างมีตังค์ ทำกระเป๋าส่งเซ็นทรัล (ผู้อ่านที่ติดตามผลงานของพี่ชาติจะทราบว่าพี่แกมีอาชีพทำกระเป๋าหนังขาย) แล้วเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งชื่อสุริยะ แซ่ห่าน เป็นรุ่นน้องเพาะช่าง เขามาชวนทำสำนักพิมพ์ เราก็รู้สึกว่าดี มันใกล้วงการนักเขียนเข้ามา ใกล้จะเป็นนักเขียน แต่ ดันมาเริ่มเป็นเถ้าแก่สำนักพิมพ์ก่อน มีเรืองเดช (จันทรคีรี) เป็นบรรณาธิการ
รู้จักกับพี่เรืองเดชได้อย่างไร
สุริยะเขารู้จักกันมาก่อน แล้วก็ชวนมาลงหุ้นทำสำนักพิมพ์ ชื่อสายธาร ก็ชวนเดชมา เราตอนนั้นก็เขียน งานอยู่แต่ไม่ได้ให้ใครดู ซื้อพิมพ์ดีดมาพิมพ์ไว้ วันนึง ไปสำนักพิมพ์ พี่มานพ ถนอมศรี แกเป็นเพาะช่างเก่าก็คุยกัน วันนั้นแกมาหาเรืองเดช พอดีเดชเขามา สาย พี่มานพก็กลับก่อน ส่วนเราก็ติดต้นฉบับเรื่องสั้น มาด้วย พอเดชมาก็ให้เดชดู บอกว่า เออ นี่..พี่มานพ แกมาคอย ฝากเรื่องสั้นไว้ให้อ่าน แล้วเอาเรื่องสั้นเรา ให้อ่าน เดชอ่านแล้วก็บอกว่า พี่มานพเขียนเรื่องนี้ดี จริงๆ (หัวเราะ) เราก็เลยส่งไป ได้ลงโลกหนังสือ ของพี่สุชาติ สวัสดิ์ศรี
การทำงานสำนักพิมพ์ตอนนั้นเป็นอย่างไร
ไม่ได้ทำงาน มันเหมือนเราเป็นนายทุน มาจ่ายเงินเดือนพนักงาน จ่ายค่าพิมพ์ ทำไม่เป็น ก็ทำกระเป๋าอยู่ ไม่ได้ไปทำอะไรกับเขาหรอก คืออาจจะไปนั่งดูปก ดูอะไร เขาจะพิมพ์อะไรก็เรื่องของเขา เราก็ทำบัญชี ค่าใช้จ่าย จ่ายค่าพิมพ์ยังไง
แล้วได้มาทำงานกับพี่เรืองเดชจริงๆ ตอนไหน
ตอนหลังสำนักพิมพ์เลิก สุริยะก็ไป ก็เหลือเรา หนังสือ มันก็เริ่มพิมพ์ไปแล้ว สำหรับเราพอเรื่อง ทางชนะ ได้ลง เราก็ว่าจะพิมพ์ คืออย่างที่บอก มีตังค์ไง ไม่ใช่ว่ามีตังค์ราคาคุย คือเราพร้อมที่จะขาดทุนกับมัน เหมือนเราวางไว้ว่าเราจะเดินแล้ว นี่ก็คือส่วนประกอบ การทำกระเป๋าก็คือส่วนประกอบในการเดินไปถึงทาง ที่เราวางไว้ตั้งแต่เด็กๆ ฉะนั้นถ้ามันมีทาง อย่างในกรณีกระเป๋ามันงอกเงยขึ้นมา ก็เท่ากับเราไม่ได้เสียอะไร คือไม่ได้ไปยืมใคร ไม่ต้องเป็นหนี้ใคร การพิมพ์ เดชเขาก็ช่วยดู ตอนสายธารเลิกไป ก็ตกลงเดชเขาว่าทำต่อ เขาก็คิดว่าเป็นสหกรณ์สำนักพิมพ์ เราก็ไม่ได้ทำอะไร ลงหุ้น แล้วเดชเขาก็จะจัดการปันผล หักค่าลิขสิทธิ์ แต่ขณะเดียวกันหนังสือของเราจะแยก บัญชีต่างหาก เราเป็นคนจ่ายเอง ในที่สุดก็เอามารวม กัน โดยให้เดชดูแล มีวัฒน์ (วรรลยางกูร) จำลอง (ฝั่งชลจิตร) มาลา (คำจันทร์) แล้วก็เรา รวม 4 คน
พี่เคยพูดไว้ว่าเชื่อในการทำงานกับบรรณาธิการ แต่หาคนอย่างเรืองเดชไม่ได้
เดชเขาเป็นคนอ่านหนังสือแตก แล้วเราก็คุยกันถึง ประเด็นเวลาเขาอ่านงาน บางทีก็คุยกันเอ๊ย..ประเด็น ตรงนี้อย่างนี้ดีมั้ย เราก็ต้องฟังเหตุผลของบรรณาธิการ เปลี่ยนไม่เปลี่ยนเป็นอีกเรื่อง ต้องอธิบายกัน
เชื่อในการทำงานที่มีบรรณาธิการ
เชื่อ
บรรณาธิการที่นับถือ ที่คิดว่าดี
เราผ่านน้อยเกินกว่าที่จะไปตัดสินว่าคนนี้เป็นบรรณาธิการที่ดีไม่ดี เราตัดสินไม่ได้ เพราะเราไม่เคยผ่านกับเขา อย่างพี่น้อย นันทวัน หยุ่น นี่เราถือว่าเป็นบรรณาธิการที่เยี่ยมนะ เพราะเราเคยผ่านงาน อย่าง เรืองเดช เราก็ว่าเยี่ยม เพราะเราเคยผ่าน ก็คงมีบรรณาธิการดีอีก แต่เราไม่เคยผ่านเขา เราก็ไปพูดถึงไม่ได้ แล้วตอนนี้มันก็โตแล้ว หาคนมาบรรณาธิการยากแล้ว แต่จริงๆ เราก็ต้องการคนใหม่ๆ ที่มา ทำงานกับเราได้ แต่มันยังไม่มีโอกาส
ในการเขียนงาน เรื่องมาจากไหน
มีอยู่สามลักษณะ หนึ่งประสบการณ์ สองเรื่องที่มากระทบ อย่างบางทีคำว่าผมยังไม่ได้รับรายงาน แค่เป็นคำมากระทบเฉยๆ แล้วเราก็แต่งออกมา สามตั้งเรื่องขึ้นมา แล้วก็ไปหา เหมือนอย่างเวลา เราตั้งประเด็นขึ้นมาแล้วก็ไปหาประสบการณ์มาเขียน แต่ทั้งหมดทั้งปวงคือเวลาลงมือเขียนมันใช้หมดนั่นล่ะ ขณะเดียวกันมันก็ต้องมีจินตนาการด้วย
เรื่องจนตรอก ทราบว่าทดลองประสบการณ์ตาย
คือมันจำเป็นเหมือนกัน ในเรื่องคือตัวละครปู่ผูกคอตาย เราไม่รู้ว่าคนผูกคอตายมันเป็นยังไง ก็ลองผูกดู แต่ตีนถึงพื้นนะ แล้วก็ไม่ได้อยู่คนเดียว ผูกแล้วก็ทิ้งตัวมา จนมันไม่ไหวแล้ว จะเห็นว่ามันมีเสียงหูลั่น แล้วก็อื้ออึงอยู่ในอาการ ไปเปิดดูจะเห็นว่าใช้คำอยู่แค่นั้น เพราะจากนั้นมาเราคิดว่าเราทนไม่ได้แล้ว
ตั้งใจลองจริงๆ
ตั้งใจหาว่าจะมาเขียนยังไงเท่านั้นเอง แต่เรารู้ว่าเราไม่ตายหรอก รู้ แต่ว่าลองดูว่าก่อนที่จะไปถึงตรงนั้น มันได้แค่ไหน ให้รู้ว่าลมมันออกหูยังไง แต่ก็ไม่ได้แนะนำว่าต้องไปลองนะ มันอาจจะมีวิธีดีกว่านี้ หรือ ว่าตอนนั้นยังเด็กก็ไม่รู้ (อายุประมาณ 25 ปี)
ย้อนไปถึงตอนเด็กๆ เคยรู้สึกอะไรถึงความตายไหม
เราเห็นค่อนข้างบ่อย เวลาเผาที่วัดเขาจะเผากลางแจ้ง บางทีก็ลุกขึ้นมานั่ง ลุกขึ้นมาต้องเอาไม้ค้ำ เมื่อก่อน กลัว คือไอ้ตายนี่ไม่กลัว ไม่คิดนะ คิดว่า…เออ…ถ้าตายแล้วมันจะร้อนมั้ยวะ เพราะมันเผากันสดๆ คง จะร้อนชิบหาย(หัวเราะ) แต่เรื่องความตายแล้วก็ชิน เพราะใครตายก็ไปวัด อยู่กันในหมู่บ้าน ก็เหมือนเป็น ญาติกัน ใครก็ต้องไปทุกคน ใครตายก็ต้องเผา บางที ก็ไม่ลุก บางคนก็ทั้งอืดๆ ก็ลุกมาก็มี
คิดมาถึงตัวเองไหม
คิดว่าจะไม่ตายด้วยซ้ำ กลัวร้อน(หัวเราะ) คิดอยู่นาน เลย
แล้วเคยอ่านงานที่เกี่ยวกับความตาย ที่ติดในใจไหม
ไม่นะ ไม่ค่อยได้คิดกับมัน เป็นปกติ ธรรมดา แต่ดูที่มันน่าสนใจก็เพราะมันมืด คนไม่ค่อยรู้จัก คนกังวลกัน แล้วมันก็กลายเป็นเสน่ห์เรื่องงานเขียนน่าพูดถึง น้อยคนที่จะรู้ คนที่รักๆ เรา อย่างพ่อตาย นี่ไม่เห็นจะมาบอกเลยว่าเป็นไง มันเป็นดินแดนที่เรา ยังสงสัย แต่ก็ไม่ได้เคร่งเครียดกับมัน เพียงแต่คิดว่าสาเหตุที่คนสนใจเพราะมันเป็นดินแดนที่คนยังไม่ก้าวล่วงไป แล้วมันทำให้เราสงสัย
แล้วจริงๆ เคยอยากตายไหม
ไม่ค่อยได้คิดนะว่าอยากไม่อยาก แต่คิดว่าถึงวันนี้แล้วไม่กลัว ไม่กลัวร้อนแล้ว(หัวเราะ)
อ่านหนังสือธรรมะบ้างหรือเปล่า
อ่านเหมือนกัน บางช่วง ส่วนใหญ่อ่านของท่านพุทธทาส คือง่ายหน่อย เข้าใจง่าย ปฏิบัติได้ โอเค เพราะว่าอ่านไม่ได้หวังจะไปสวรรค์หรอก
กลับไปถึง คำพิพากษา เคยคิดว่าจะถึงขั้นซีไรต์ไหม
คือตอนนั้นรางวัลมันยังไม่ดังแบบสมัยนี้ ช่วงนั้นเลิก ทำสำนักพิมพ์กันไปแล้วนะ สำนักพิมพ์ต้นหมาก ของกัณหา แสงรายา พิมพ์ กัณหาเป็นบก.อยู่ ก็เอาไปให้เรืองเดชอ่าน คือตอนนั้นมันเสร็จแล้ว เขาอ่านแล้วก็บอกว่า เออ..เล่มนี้ต้องได้ซีไรต์ จะส่งก็ได้นะ แต่ตอนนั้นซีไรต์มันก็ไม่ได้ถึงขั้นทอล์กอ็อฟเดอะ ทาวน์ เหมือนสมัยนี้
รางวัลมีผลต่อวิถีชีวิตแค่ไหนคะ
วิถีชีวิตไม่มี เพราะเราเป็นคนอย่างนี้มานานแล้ว ถามว่ามีผลกระทบมั้ย หนังสือมันก็ขายดีขึ้น คนรู้จัก มากขึ้น ได้ตังค์เยอะ ดีหรือชั่วก็ไม่รู้ สรุปก็คือตังค์มันจะมีเข้ามา แต่เราก็ไม่ได้เปลี่ยน เฮฮา ปกติ
เลิกกระเป๋าตอนไหน
พองานเขียนเริ่มอยู่ตัว เลี้ยงปากท้องได้ เราก็เลิกกระเป๋า แต่ถามเรื่องเงินก็ต้องบอกว่ากระเป๋าทำเงิน ดีกว่าเขียนหนังสือเยอะกว่าเยอะ…เยอะมาก
ตอนนั้นคำพิพากษาเป็นละครโทรทัศน์ด้วย ใครทำบท
เราเป็นคนเขียนบทเอง แล้วอาจารย์สดใสเป็นคนมาตรวจแก้ ไม่เคยคิดว่าจะมาเขียน เพราะไม่ใช่หน้าที่เรา อาจารย์สดใสแกดีนะ สอนเราเยอะ แกบอกว่า หนังสือของคุณมันเป็นภาพอยู่แล้ว เพียงแต่คุณตัดภาพให้มันมาเป็นอย่างนี้ เราไม่รู้ว่าเขียนยังไง แกก็สอนว่ามันก็เหมือนกัน เสร็จแล้วแกก็ตรวจแก้
ได้เข้าไปดูขั้นตอนการถ่ายทำด้วยใช่ไหมคะ
ดู ได้อะไรมาหลายอย่าง มันเป็นประสบการณ์เราด้วย นักเขียนนี่ดีอย่าง ไปทำดีทำชั่ว ก็เป็นประสบการณ์ทั้งนั้น ตอนเข้าไปดูเขาถ่ายทำละคร ก็มาเขียนเรื่องอากาศรอบกาย มันก็ได้บรรยากาศ หรืออย่างได้ไปเห็นป๋า ส.อาสนจินดา แกสอนเอ๋ กษมา (ผู้แสดงเป็นไอ้ฟักภาคละครโทรทัศน์) ว่า เสื้อภารโรงอย่าไป ซัก มันจะมีกลิ่น พอเราสวมมันจะจำบทได้ อย่างนี้เราไม่มีทางรู้เลยถ้าเราไม่เข้าไปคลุกกับมัน ถ้าเรารู้พอเราเขียนถึงดาราเราก็เอาไปใช้ คนที่เป็นดารามา อ่านเขาก็จะรู้ว่าเรารู้จริง
ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เข้าไปคลุกคลีกับละคร
แต่ตอนเรียนเคยทำละครเวที เคยทำ เคยเล่น เก็บตังค์จัดละครเวทีในโรงเรียน เอาตังค์กินเหล้ากัน ปิดวิก เก็บบัตรทำละคร แต่ถ่ายทำเป็นโทรทัศน์นี่ไม่เคย ถือว่าครั้งแรก
ตอนทำละครที่โรงเรียนเล่นเองหรือเปล่า
ไม่ค่อยได้เล่น อยู่ข้างหลัง เขียนบท
แนวไหนคะ
หลายแนว พี่โส่ย (ภรรยา) ยังเคยเล่นเลย มันทำแล้ว สนุก เก็บตังค์ว่าจะไปใช้หนี้ ก็เอาไปกินเหล้ากัน คนดูเต็มน่ะ มีแบบทำตลก สมัยก่อนมันจะมีคนขายชิกเคล็ดหน้าโรงหนัง ก็เอาเพื่อนไปเล่น ทำเป็นตาบอดถือไม้เท้า แสดงในหอประชุมห้องโสตเลย ปิดม่าน เล่นสีเล่นแสงได้ สนุก
แล้วบทภาพยนตร์ล่ะคะ ลมหลง เรื่องแรกหรือเปล่า
ก่อนนั้นเคยทำเรื่อง บ้าน (มาจากเรื่องจนตรอก) ไปกำกับร่วมกับเขา เขียนบทด้วย แต่โดยอาชีพแล้วไม่ค่อยชอบ คือถ้ามองว่าตั้งแต่ตอนนั้นเคยกำกับร่วม ป่านนี้ก็น่าจะได้กำกับเองแล้ว แต่จริงๆ มันไม่ถูกกับนิสัย หนังมันเป็นกองทัพ ใช้คนเยอะ ยิ่งสมัยก่อน ผู้กำกับเนี่ย…ขี้ไม่ออกก็บอกเราน่ะ(หัวเราะ) เราต้อง ตัดสินใจทุกอย่าง บางทีคน 50 คน ยกกองถ่ายไปที..มันไม่ถูกกับนิสัย ชอบทำงานคนเดียว เงียบๆ ส่วนเรื่อง ลมหลง คือ พี่หง่าว (ยุทธนา มุกดาสนิท) ชวนไปเขียน ก็คิดว่าอาจจะไม่ถูกของเขา คือเขาให้ทำเป็นบทหนังธรรมดา แต่เราคิดว่าน่าจะทำเป็นบทหนังที่อ่านได้ แทนที่ภาษาจะเป็นภาษาสั่งก็บรรยายเสียหน่อย ให้มันสละสลวยในการอ่าน
ตอนทำเรื่องบ้าน (จนตรอก) พอใจไหม
ก็พอใจในระดับนั้น ได้อย่างที่เราต้องการ
หนังเหนื่อยมากเลย
เครียด เคยไปนั่งดู คนดูเดินออก มันดูไม่สนุก หนังมันก็ไม่ทำตังค์
เรื่อง เวลา เขียนเป็นบทละครผสมบทหนัง
คิดไว้นานแล้ว เทคนิคมาก่อนด้วยซ้ำ คือคิดว่าจะทำ ยังไงให้เอาบทหนัง บทละคร นวนิยายมารวมอยู่ในเรื่องเดียวกัน ก็มาได้เรื่องนี้ คือคิดว่าถ้าผู้กำกับหนัง ไปดูละคร จะบรรยายละครออกมาเลยดีมั้ย แล้วนิยาย จะทำยังไง เรื่องนี้มันเหมือนกับเราย้ายมุมมองตลอดเวลา เรียกได้ว่าเทคนิคมาก่อน
เป็นคนชอบเทคนิคหรือคะ
ไม่นะ คือคิดว่าเราไม่ชอบของอะไรที่ซ้ำๆ คือถ้าทำแล้วสนุกมันน่าทำ ถ้าเราทำแล้วมันซ้ำๆ เราเองก็เบื่อ คนอ่านเขาก็ต้องเบื่อ ไม่รู้นะ แต่เราเบื่อเสียแล้ว มันก็ไม่สนุกแล้ว ฉะนั้นจะหาอะไรที่ไม่เคยทำ ที่สนุกๆ ทำ
งานพี่แต่ละเรื่องจะเปลี่ยนแปลงไปตลอด เกี่ยวกับสนุก ใช่ไหมคะ
มันสนุกเรา ถ้าเราไม่สนุกซะแล้วมันก็จบตั้งแต่ต้นแล้ว คนเขียนยังไม่สนุกเลย อ่านแล้วจะให้เขาสนุกได้ไง (หัวเราะ)
งั้น พันธุ์หมาบ้า ก็สนุกมาก
เออ สนุกสิ
ตอนเขียน พันธุ์หมาบ้า เป็นตอนใน ลลนา ผู้อ่านเขามีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง
มีทั้งชอบไม่ชอบ แต่กระแสมันเยอะ แต่ไม่ใช่ชอบหมดนะ เข้ามาด่าก็มี อะไรของมึงวะ แม่งž ทุกย่อหน้า มึงจะกินเหล้ากันไปถึงไหน เมื่อไหร่มึงจะลุกซะที ไอ้คนที่ชอบก็ โอ๊…ดีนะ..จะมีสองพวกเขาจะฉะกัน
ตอนเขียนครั้งแรกเกิดจากบรรณาธิการ(นันทวัน หยุ่น)ชวนเขียนใช่ไหมคะ
สมัยก่อนตอนนั้น บริบททางการเมืองยังสูงอยู่ จะมีการแบ่งกันว่าเป็นนักเขียนก้าวหน้า นักเขียนนิยาย วันหนึ่งเราก็ไปพูดกับรุ่นพี่นักเขียนผู้หญิง แกบอกว่า พวกเรานักเขียนแบบนี้ พิมพ์กันสองพัน พันห้า แล้ว ก็ชื่นชมกันเอง ของแกแบบว่าคนอ่านเรือนแสน เรา ก็คิดในใจ เดี๋ยวเขียนให้ดู เขียนเป็นตอนๆ น่ะเขียน เป็น จากนั้นพอดีพี่น้อยโทรมาชวนว่ามีมั้ย ตอนนั้นเขียนได้สัก 60 หน้าพอดีเลยลองดู เขียนเป็นตอนๆ ส่ง ไม่ได้เขียนล่วงหน้านะ ส่งกันแบบไปถึงก็เรียงพิมพ์ กันเลย บางทีแบบนั่งทำถึงเช้าไปส่ง แต่ไม่เคยตก ขออภัยขาดตอนไม่มี…
คิดวิธีเล่าเรื่องไว้ก่อนหรือคะ เพราะในเรื่องมันเล่าย้อนไปมาทั้งเรื่อง
มันไม่ยาก เขียนตอนๆ ไม่ยากเลย ขอให้เรื่องเดินแล้วจบให้น่าติดตาม เท่านั้นเอง แต่เราวางโครงใหญ่ ไว้ แต่ระหว่างหน้า สมมติมีสี่หน้าลงพอดี เราต้องคิดว่าทำยังไงให้เรื่องนี้อ่านสนุกแล้วลงพอดี ตรงนี้ล่ะ เคล็ดลับของมัน แต่เรื่องยาวเป็นตอนๆ น่ะไม่ยากเลย ทีนี้มันจะยากตรงที่เวลาคุณมารวมเล่ม ถ้าคุณไม่ดูใหม่ มันจะยึกๆๆ ต้องมาเกลี่ยอีกที อย่างหลายๆ เรื่องพอมารวมเล่มแล้วมันกลายเป็นหนาเทอะทะ จริงๆ มันตัดออกได้ตั้งเยอะแยะ
พันธุ์หมาบ้า ตัดออกเยอะไหมคะ
ก็ตัด พอสมควร ดูเอง เอาซีร็อกซ์มาอ่าน มาเกลี่ยพวกที่เขียนเป็นตอนๆ ก็น่าจะมีบรรณาธิการอีกคนมาช่วยทำตรงนี้ จะได้นิยายที่กระชับ แล้วดีๆ ไม่งั้น มันจะเยิ่นเย้อกับพวกบทสนทนา ที่เพื่อจะมาลงตรงจบตอน คือถ้าเป็นตอนๆ มันได้ แต่พอมารวมเล่มแล้วมันไม่จำเป็น
เรื่องเป็นตอนๆ นี่ไม่เขียนอีกเลยใช่ไหมคะ
ไม่ชอบไง แต่อย่างน้อยเราได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเราทำได้ มีคนติด
ถ้าตอนนี้มีคนมาชวนให้เขียนเป็นตอนล่ะคะ
ไม่เอา นอกจากว่าทำให้ เป็นน้อง เป็นเพื่อน ก็เอา ถ้าอยู่ๆ มีคนมาจ้างลงเป็นตอนๆ ไม่เอา เสียเวลา
รู้สึกอย่างไรที่ พันธุ์หมาบ้า มันกลายเป็นหนังสือที่วัยรุ่นอ่านมาจนทุกวันนี้
มันเป็นเรื่องของหนังสือ หนังสือมันเดินทางของมันเอง เด็กบางคนอาจจะอ่านแค่พันธุ์หมาบ้าเล่มเดียวก็ได้ คือไม่ได้อ่านงานของเราทั้งหมดก็มี ตัวหนังสือ มันเดินไปหา เป็นปากต่อปาก อาจจะไปสนองข้างในของเขา เรื่องเพื่อน เรื่องอะไรๆ ที่จริงแล้วเราต้อง การจะบอกว่าเออ..เพื่อนรักกันยังไง ผู้ปกครองดูแลเด็กหน่อย อย่าไปบังคับมันมาก อย่าไปคิดว่าเราชอบอะไรมันต้องชอบ ก็กลายเป็นว่าเป็นคัมภีร์..
กลายเป็นเล่มที่ได้รับการกล่าวถึงมาก
เขาซื้อไปทำหนัง ไม่รู้ว่าสัญญาหมดหรือยัง เห็นจะให้เอ็ม(สุรศักดิ์ วงษ์ไทย)ทำ แต่เงียบไป โทรทัศน์ก็โทรมา
เคยดูที่สหรัฐ วิไลเนตร กำกับ เมื่อนานมาแล้ว แต่รู้สึกว่า พันธุ์หมาบ้า ทำเป็นหนังยากนะคะ
ยาก(เสียงหนักแน่น) คือถ้าจะเอาเรื่องอย่างในหนังสือ ทั้งเล่มยิ่งไปกันใหญ่เลย ยิ่งยาก มันต้องจับตัวใดตัวหนึ่งเป็นหลัก จับชีวิตทัยก็เป็นหนังเศร้าหน่อย แล้ว เอาอ๊อดโต้มาร้อย หรือจะเอาอ๊อดโต้ขึ้น ก็เป็นหนังบู๊ สนุกหน่อย แล้วเอาทัยมาเล่า จะมาเล่าทั้งสองตัว หรือเล่าทั้งกลุ่มที่นั่งกินเหล้ามันจะไม่สนุก แล้วไม่รู้จะเล่าตรงไหนด้วย
แต่ช่วงนั้นก็เป็นกระแสอยู่นะคะ
ตอนนั้นไม่อยู่ (ไปอเมริกา) ก็ไม่ได้ยุ่งเลย ตอนหลังถึงได้ดูวิดีโอ มีคนส่งไปให้ดู
ตอนที่ไปอยู่อเมริกา มีข่าวว่าจะไปเขียนงานเป็นภาษาอังกฤษ
พูดไปหลายทีแล้ว จริงๆ แล้วเหมือนกับเราจำเป็น พอเริ่มมีชื่อเสียง คนก็เข้ามาหาเยอะ อย่างไปตามงาน ฝรั่งเดินมาเราหนีอย่างเดียว หนักๆ เข้าเราก็หนีไม่ไหว เราก็ต้องแก้ปัญหา หันสู้กับมัน ก็เคยไปเรียนเอ.ยู.เอ เสร็จแล้วเรียนในห้องแป๊บเดียว ออกมามันก็ต้องใช้ภาษาปกติ ขึ้นรถเมล์ กินข้าว ใช้ภาษาไทย ก็เลยคิดว่าต้องใช้สภาวะแวดล้อมบังคับ ไปอยู่โน่นเขาไม่พูดไทย เป็นการบังคับให้ต้องใช้ แต่ก็ยังไม่ได้ดี หรอกนะ พอดีมันปวดหลัง เลยกลับ แต่ก็ค่อยยังชั่วขึ้น อ่านได้ เขาแปลมาก็รู้ว่าแปลถูกมั้ย แต่ก่อนต้องให้คนอื่นช่วย
แปลว่าก่อนหน้านั้นภาษาอังกฤษไม่ได้เลย
ตอนที่ลูกสาวของนักเขียนฟิลิปปินส์ที่ได้ซีไรต์ปีเดียว กัน ก็สนิทกัน จะถามว่าจะกลับกี่โมง เครื่องออกกี่โมง จริงๆ มันก็ถามง่ายมาก What time…ก็ว่าไปใช่มั้ย เสือกไปถามว่า How many ožclock น่ะ (หัวเราะ)
ไปตอนนั้นหมายถึงไปเรียนจริงจังด้วยใช่ไหมคะ
เรียน โรงเรียนก่อนที่จะเข้ามหาวิทยาลัย เราเรียนตั้งแต่ฐานขึ้นมาใหม่ ก็โชคดี ในแง่ที่เราไปหัวเราว่าง ไป ก็ง่าย ถ้าหัวเรามีบันทึกพวกนี้เราต้องไปลบไอ้ความ จำที่มันไม่ถูกต้องออก
แล้วได้ลองเขียนงานเป็นภาษาอังกฤษไหม
ไม่ได้ลองหรอก ก็ลองเขียนบันทึก แต่มันยาก ไม่ใช่ เรื่องง่าย จริงๆ แล้วยังคิดว่าถ้าอยู่สัก 15 ปี น่าจะใช้ได้ ในเวลา 15-16 ปี น่าจะได้
ตอนไปอเมริกา ช่วงนั้นคือช่วงที่เขียนเวลาใช่ไหมคะ
ก่อนหน้าทำไว้หลายร่าง แต่ก็มาจบที่เมืองไทย กลับ มาถึงเขียน
ทำไมถึงคิดเรื่องคนแก่
มันเป็นประเด็นสืบเนื่อง เรื่องใหม่ที่กำลังทำก็เหมือน กัน คือเรามองว่าชีวิตมันไม่มีอะไร เหมือนอย่างที่คิดเรื่องใหม่ เราเขียนว่า ถ้าโลกนี้เป็นความจริง ฉันก็เพียงผ่านทางมา และฝากร่องรอยไว้ชั่วคราวเท่านั้นเอง นั่นเป็นประเด็นที่เรามองมาตลอด เป็นประเด็นหลักชีวิตเรา กลับไปถึงเรื่องเวลา นั่นก็คือความตายมันไม่น่าจะมีอะไรเบื้องหลัง เราไม่รู้ เราอ่อนด้อยปัญญา เราเอาตรงนี้ดีกว่าว่าชีวิตมันไม่มีอะไร พอตายแล้วมันก็จบกัน มันอยู่ที่ว่าเรามองอะไร เรื่องใหม่ก็ประเด็นอย่างที่บอก เราอาจจะมองลึกลงไปหน่อย คือความรัก อะไรอย่างนี้ หรือกามารมณ์เป็นยังไง พันธะสัญญาคืออะไร คุณธรรมมีจริงมั้ย แล้วความดีล่ะ ก็จะเริ่มมองพวกนี้มากขึ้น
นวนิยายเรื่องใหม่ที่กล่าวถึง ได้กี่เปอร์เซ็นต์แล้ว
ห้าหกหน้า
ร่างไว้แล้วใช้ไหมคะ
ฮึ…(ส่ายหน้า)เรื่องนี้ไม่ร่าง อย่างที่บอก บางทีเราทำงานส่วนมากจะทำงานเป็นแผน วางแปลนไว้ว่าจะไปยังไง มีโครง เรารู้สึกว่ามันไม่สนุกแล้ว มันไม่ท้าทาย เราลองดูซิ ว่าถ้ามันไม่มีโครง เราจะทำยังไง เปลี่ยนวิธี ให้เราได้สนุกด้วย ให้ตัวละครพาไป ตอนนี้ตัวละครก็พาไปอ่าน ผู้ชนะสิบทิศ ของ ยาขอบ
เรื่องมาจากข่าวต่างๆ หรือคะ
มันเข้าประเด็นที่เราคิดอยู่ ที่เราคุยกันเรื่องความรักว่า love is bullshit อย่างกรณีเรื่องพระฆ่าผู้หญิงที่ตัวเองไปติดพัน เหล่านี้มันประกอบความคิดได้ มันเป็นสิ่งที่มายืนยันความคิดของเรา เพราะมันมีเหตุการณ์อย่างนี้จริงๆ แต่ขึ้นกับว่าเราจะเอามันมาใส่ยังไง อย่างข่าวที่เกิดขึ้น ถ้าเราเอาไปใส่มากไปมันจะกลายเป็นสรุปข่าวหรือเปล่า อยู่ที่วิธีที่จะมาใส่กับมัน มันก็สนุกดี
แปลว่าเป็นคนชอบสนุก
ให้ตัวเองสนุก เวลาเขียนไม่เคยคิดถึงคนอ่านว่าเขาจะอ่านมั้ย ขายใคร เสร็จแล้วค่อยคิด เหมือนกับทำเก้าอี้ตัวนึง ตอนทำไม่ได้คิดว่าจะทำให้ใคร แค่คิดว่าทำเก้าอี้ให้นั่งได้
ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะไปทางไหน เพราะไม่ร่างโครง
ก็บอกไม่ได้ แต่ว่าในวิธีเขียนเหมือนเราทำงานไปพักหนึ่ง โดยสัญชาตญาณเราก็จะมองไปข้างหน้า ล่วงหน้าไปเรื่อยๆ แต่ว่าวางไว้จบมั้ย-ไม่มี
กลับมาเรื่อง คำพิพากษา ภาพยนตร์เรื่อง ไอ้ฟัก
คนทำก็รู้จักกัน ก็มาคุยกัน ก็ว่าทำยังไงก็ได้แต่อย่าให้แก่นมันเปลี่ยน เขาเอาบทแรกมาดู แต่จุดขายมันค่อนข้างไม่ชัด อย่างที่เข้าไปดูในเว็บ คนอ่านก็มักจะบอกว่าไม่ดูหรอก ไม่ใช่หนังสือ ภาพมันออกมาออกจะเป็นหนังอาร์นิดๆ คนที่อ่านหนังสือแล้วร้องไห้ร้องห่มเขาก็ไม่เอาล่ะ ภาพสมทรงมันไม่ใช่คุณตั๊ก คนแอนตี้ไม่ไปดู ทีนี้คนที่อยากไปดูคุณตั๊ก ไปดูแล้วมันก็โป๊ไม่จริงอีก
ส่วนตัวดูแล้วรู้สึกอย่างไร
ก็โอเค ดูเป็นหนังน่ะนะ เรามองว่าเปลี่ยนไปได้ คือถ้ามันเปลี่ยนไม่ได้ นานวันมันก็ไปอยู่บนหิ้ง คนทำไม่สนุกแล้ว มันไม่ได้ดูเนื้อ มันเหมือนดินน้ำมันก้อนหนึ่ง เนื้อคือดินน้ำมัน คุณจะเอาไปบิดปั้นยังไงก็ได้ มันก็จะสนุก คนทำก็สนุก คนดูก็สนุก แต่ชอบไม่ชอบ ก็ไม่ว่ากันนะ ก็ด่ากันไป แต่มันได้มาทุบเล่น
เคยบอกว่ามีต่างประเทศจะมาซื้อ คำพิพากษา
เออ เคยมานั่งคุย มันเงียบไปแล้ว โชคดีของมัน (หัวเราะ)
สำหรับงานเขียนช่วงหลังงานห่างมาก อย่างใน บริการรับนวดหน้า แต่ละเรื่องก็ห่างกันมาก เห็นได้ชัดเลย ทำงานช้าลงหรือเปล่า