Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

ชัชวาลย์ โคตรสงคราม หนึ่งในเข้ารอบสุดท้ายซีไรต์ปี พ.ศ. 2552 จากนวนิยายเรื่อง ทะเลน้ำนม

 

 
ในโลกทุนนิยม นักเขียนสร้างตัวตนและอัตลักษณ์งานเขียนขึ้นมา
 
จากความคิดเกี่ยวกับความยุติธรรมในระบบการเมือง ความเชื่อในคุณค่าของความเป็นมนุษย์
 
และการอยู่กับธรรมชาติ"
 
 
 
สุมาลี  : ตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้าง การงานที่ทำหนักหนาหรือไม่ มีเวลาเขียนหนังสือหรือเปล่า?
 
ชัชวาลย์ : ถ้าถามว่าตอนนี้ทำอะไร โดยวิถีก็คืออ่านศึกษาวรรณกรรมที่มีผู้แปลมาจากภาษาต่างประเทศ ทั้งจีน อินเดีย ญี่ปุ่น รัสเซีย และอเมริกาใต้ เป็นการอ่านเพื่อศึกษารายละเอียดในแง่ของมุมมองและวิธีคิดในการนำเสนอ แน่นอนว่า เมื่อมองกลับมาที่รูปแบบและพัฒนาการของวรรณกรรมและผลงานของนักเขียนไทย ทำให้เห็นจุดเด่นและจุดด้อย แต่ในที่นี้เป็นการมองในกรณีศึกษาแบบใช้อัตวิสัยเป็นด้านหลักนะครับ ไม่ใช่แบบ "นักวิชาการ" แต่โดยบริบทแล้ว วรรณกรรมย่อมมีพื้นที่และเวลาในทางประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกันออกไปตามพลังการขับเคลื่อนที่มาจากชีวิต ผู้คน สังคม วัฒนธรรมและการเมือง ดังนั้นคุณค่าของวรรณกรรมจึงแตกต่างกันไปตามความเชื่อและมโนทัศน์ที่บริสุทธิ์ของชนชาตินั้น ๆ ในประเทศไทยและปรากฏการณ์ทางประวัติศาสตร์การต่อสู้ของกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ที่มีทั้งความเท็จและการกดขี่ทางชนชั้น แม้กระทั่งการเมืองสมัยใหม่ในยุคโลกาภิวัตน์ หรือจะเรียกว่าโลกาวิบัติก็ได้ ก็ย่อมจะให้พื้นที่และแรงผลักดันให้เกิดวรรณกรรมในรูปแบบและเนื้อหาเฉพาะเช่นกัน
 
 
 
ทำอะไรอยู่อีกหรือ : ในเวลา 5-6 ปีผ่านมานี้ ต้องวนเวียนอยู่ในห้องสมุดมหาวิทยาลัย เพราะนำตัวเองไปผูกติดอยู่กับระบบการศึกษาประเภทท่องจำและคัดลอก เพิ่งจะเสร็จไปเมื่อเดือนมิถุนายน 2550 ที่ผ่านมานี้เอง โดยเขียนวิทยานิพนธ์เรื่อง "สุนทรียภาพในวรรณคดีลาวเรื่องสังข์ศิลป์ชัยและมหาเวสสันดรชาดก"  มีอาจารย์ ผศ. วีณา วีสเพ็ญ เป็นประธานที่ปรึกษา และ อาจารย์ ผศ. ธัญญา สังขพันธานนท์ เป็นกรรมการ คุณสุมาลีก็เคยเรียนกับอาจารย์ทั้งสองท่านนี้ ท่านได้กรุณามาก คืออดทนกับความอืดยืดของผมได้อย่างดีทีเดียว ก็ทำมา 2-3 ปี ขาดช่วงบ้างเพราะลำบากในเรื่องค่าใช้จ่าย เป็นนักศึกษาที่จนตลอดกาล แต่ก็ชอบที่ได้ทำวิจัยในเรื่องที่อยู่ในใจ และเป็นเรื่องของรากเหง้า เรื่องของภูมิปัญญาโบราณสองฝั่งแม่น้ำโขงและลำสาขาทั้งมวล
 
 
 
แน่นอนว่า สิ่งที่สำคัญก็คือ ได้พบข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์กลุ่มชาติพันธุ์ไทที่มีแง่มุมชวนให้ครุ่นคิดและวิเคราะห์วิจารณ์มาก ทั้งในแง่ตำนานปรัมปรา ตำนานเกี่ยวกับมนุษย์ พืช และสัตว์ในสังคมและวัฒนธรรมของเครือญาติพี่น้องและมวลผู้คนในลุ่มแม่น้ำโขง จากจีน ยูนนาน จนถึงปากแม่น้ำโขงในเวียดนามภาคใต้ แต่เป็นข้อมูลที่มีไม่ครบถ้วนนะ คือได้อ่านแล้ว เกิดความคิด ถ้าได้อ่านนวนิยายเรื่อง "ทะเลน้ำนม" ซึ่งกำลังเสนอสำนักพิมพ์ มีความยาว 245 หน้ากระดาษเอสี่ จะพบว่า ได้รับอิทธิพลทางเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์เยอะมาก มีน้ำเสียงวิจารณ์ทั้งประวัติศาสตร์ การเมือง และชนชั้นที่ตรงไปตรงมา และบางบทอาจจะดิบ ทื่อ แต่ทิ่มแทงเหมือนไม่ยั้งปาก (กา)
 
 
 
ปัจจุบันขณะ : กำลังร่างต้นฉบับนวนิยายขนาดสั้นที่ยังไม่มีชื่อหลัก นอกจากชื่อรอง ดูเหมือนจะไปได้สัก 10 -20 หน้า โดยใช้ดินสอร่างในกระดาษธรรมดา ไม่ถึงกับสีชมพูเหมือนนักเขียนใหญ่ในอดีตหลายท่าน ซึ่งดูลึกซึ้งงดงามมากในท่วงทำนองวิธีทำงาน คุณว่าไหม การทำงานเขียน ถ้าเราวิเคราะห์ดูดี ๆ จะพบว่ามันงดงาม มันนำตัวตนของเราออกมาจากความต้องการอะไรหลายอย่างที่เป็นเรื่องของ "เปลือกนอก" ผมเข้าใจว่า นักเขียนที่มีรากฐานความคิดที่เข้มข้นจะรู้ว่า การนั่งลงเขียนหนังสือ เป็นการแตกยอดอยู่ภายใน เป็น  "แก่นใน" ที่คล้ายกับการบรรลุสู่สัจธรรมบางอย่าง แต่ไม่ถึงกับหลุดโลกนะครับ มันกึ่ง ๆ ระหว่างโลกียธรรมกับโลกุตรธรรม แบบนั้นมากกว่า พูดแบบนี้เป็นการเชิดชูคนเขียนหนังสือมากเกินไปหรือเปล่า?
 
 
 
การงานประจำ : เคยพูดไว้ในบทความของคุณสุมาลีในหนังสือพิมพ์เนชั่น เมื่อหลายปีก่อนว่า "ครูที่ดี กับ ข้าราชการที่ดี นั้นต่างกัน" ถึงวันนี้ ผมว่ามันก็ยังชัดเจน มันยิ่งเห็นมากขึ้น ถ้าเรายังเชื่อว่า งานของครูเป็นงานที่เสียสละ เป็นงานที่ต้องจมลึกอยู่กับความเจริญก้าวหน้าของเด็ก ๆ โดยเฉพาะในทางความคิดที่เรากำลังละเลยกันมากในขณะนี้ ถ้าถือตามนี้ ผมถือว่า ผมประสบความสำเร็จทางนามธรรมที่น่าพึงพอใจ เพราะผมทำงานสอนอยู่กับเด็ก แต่ถ้าใช้มุมมองแบบข้าราชการที่จะต้องมีความก้าวหน้าในเรื่องขีดขั้นเงินเดือน ตำแหน่งหน้าที่ ผมคงไม่ประสบผลที่น่าพอใจมากนัก เพราะผมหลีกเว้นออกจากการแสวงหาผลประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่ คือไม่แก่งแย่ง ไม่ทำงานเพื่อจะให้ได้เงินเดือนขั้นพิเศษ แต่ทำงานเพราะมีความคิด มีความอ่านว่า เด็ก ๆ จะต้องได้รับการถ่ายทอดความคิดดี ๆ และมีความเข้มแข็ง แม้ว่าเขาจะยังเด็ก แค่ชั้นมัธยม แต่ผมก็ยังยืนยันกับเขาว่า คนเราต้องดูที่แก่นใน เปลือกนอกนั้นเป็นเพียงมายาคติที่จะหลอกล่อให้เราอ่อนแอและหลงใหลไปกับความอ่อนด้อยทางสติปัญญา
 
 
 
เป็นครูแบบนี้ คุณสุมาลีถามว่าหนักไหม ผมก็ตอบได้ว่า ไม่หนักหรอก แม้ว่าจะมีแรงเสียดทานจากระบบ จากคนอยู่บ้าง ทั้งจากผู้บริหาร  คือเขาแตกต่างจากเราแน่นอน ในด้านความคิดเห็นต่อการจัดระบบการศึกษา การบริหารจัดการ และการเปลี่ยนแปลงของกระแสเศรษฐกิจและการเมืองโลก เขาอาจจะแตกต่างจากเราแม้กระทั่งการให้นิยามของคำว่า "ครู"  และ  "การศึกษา"  นิยามของคำว่า "การเรียนรู้" แต่ในระยะ 4-5 ปี ที่ผ่านมาก็ได้รับการยอมรับ คือเขาคงเข้าใจว่า เราก็ไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยกับใคร แต่อาจจะพูดอะไรตรงไปตรงมา และมุ่งเน้นไปที่ผลประโยชน์ของนักเรียน ผมสอนและปลีกตัวออกมานิ่งอยู่ในมุมของตัวเองมากขึ้น เราก็อยู่ของเรา สอนเด็ก เขียนหนังสือ แต่งตัวตามสบาย ไว้ผมค่อนข้างยาว และไม่ค่อยพูด แต่มีความสุข แม้ในเรื่องเศรษฐกิจส่วนตัวจะต้องต่อสู้ มันก็เป็นเรื่องของชีวิตที่จะต้องอยู่ต่อไปเป็นปกติธรรมดาจนกว่าจะดับสิ้น
 
 
 
สิ่งที่อยากจะทำให้เด็ก ๆ มากที่สุดคือ การสร้างความใฝ่ในการอ่าน มีเงินซื้อหนังสือเข้าห้องสมุดมาก ๆ และมีพื้นที่เวลาจัดกิจกรรมส่งเสริมให้เข้าอยากอ่านมากขึ้น แต่ก็เป็นที่รู้กันอยู่ว่า ในโรงเรียนมัธยมส่วนมากยังล้าหลังมาก โรงเรียนที่ผมสอนอยู่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เด็ก ๆ ได้มีโอกาสฟัง อ่านและคิดจากการนำเสนอของผมอยู่บ้างบางส่วน
 
  
 
เวลาเขียนหนังสือมีไหม :หลายปีมานี้ วิธีการเขียนยังอยู่ในรูปแบบเก่า คือร่างต้นฉบับลงในกระดาษแล้วค่อยพิมพ์ลงในเครื่อง แต่ให้อารมณ์คนละแบบกับพิมพ์ดีดนะ ส่วนมากใช้เวลากลางคืน พูดได้ว่า 8-9 ปีมานี้ ในเวลา 100 % เราจะใช้ทำงานสอนถึง 50 % ใช้เขียนหนังสือเพียง 10 % นอน 20 % เดินทางและไปพบปะเพื่อนฝูง 10 % ส่วนที่เหลือ 10 % นั้นหมดไปกับการอ่าน เมา! และเขียนบทกวีเอาไว้อ่าน พูดแบบนี้คงเห็นชัดนะครับ
 
 
 
น่าแปลกที่ว่า ในช่วง 4-5 ปี ที่ผ่านมานี้ ผมเขียนนวนิยายจากที่เคยร่างไว้เป็นขนาดสั้น 2 เรื่อง ให้จบลงได้เป็น 1 เรื่อง (หมายถึง ทะเลน้ำนม) ทั้งที่มีงานเรียนและวิจัย ผมรู้สึกคล้าย ๆ กับว่า ชีวิตยิ่งมีแรงกดดันมาก เราก็ยิ่งทำงานได้มาก แต่ถ้าช่วงไหนว่าง สบาย ๆ เราก็อาจจะเพลินไปได้เหมือนกัน นี่เป็นข้อสังเกตส่วนตัวนะครับ แต่ช่วงนี้ ผมเริ่มวางแผนมากขึ้น คือวางรูปแบบการเขียน ระยะเวลา การแสวงหาข้อมูล และ พื้นที่ ผู้คน สีสันความเป็นพื้นถิ่นที่จะทำให้เกิดแรงบันดาลใจอย่างถึงพริกถึงขิง ต่อนวนิยายหรือกลุ่มความคิดที่เรากำลังเริ่มต้นขับเคี่ยวกับมันอย่างไม่รามือและไม่ยอมแพ้
 
เวลาเขียนหนังสือของผมจึงมีอยู่เสมอ เพราะมันหมายถึงทุกวินาทีที่เรากำลังตื่นรู้ เราคิดและทำงานทุกย่างก้าว ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงทีเดียวว่า เมื่อทุกอย่าง ซึ่งหมายถึงองค์ประกอบของเรื่องลงตัวในระดับหนึ่ง ผมอาจจะใช้เวลาเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้นก็จะได้ฉบับร่างขึ้นมาครั้งแรกที่ทำให้ตื่นเต้น
 
 
 
มันเป็นความรู้สึกที่ดี และวิเศษมากที่เราสามารถร่างนวนิยายขึ้นมาได้ 1 เรื่อง หลังจากที่เราได้คิดมานาน 3-5 เดือน หรือบางครั้งอาจะใช้เวลาคิดและวางแผนเป็นปี หรือสองปี!
 
 
 
ผมว่าคุณสุมาลีคงรู้กระบวนการตรงนี้ เพราะคุณเองก็เขียนหนังสือ ผมเชื่อว่า คนเขียนหนังสือทุกคนมีเวลาทั้งนั้น มันไม่มีข้ออ้างอื่นใดเลยที่จะมาบอกว่า ไม่มีเวลา เพราะการเขียนหนังสือ ไม่จำเป็นต้องว่าง และนั่งลงตลอด แต่คุณต้องเข้าใจว่า ช่วงที่สำคัญก็คือ การจัดการกับฉบับร่าง ตรงนี้จะต้องใช้เวลา สมาธิและความพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ
 
 
 
ผมจึงมีเวลาเสมอ แม้กระทั่งเด็ก ๆ ชั้น ม.1 กำลังวาดรูป ผมก็ร่างต้นฉบับไปได้ แม้เขาจะเข้ามายืนดู ยืนถาม เข้ามาแทรกซึมขัดจังหวะอย่างสนิทสนม แต่ผมไม่เสียสมาธิ เพราะเมื่อเขาหันหลังให้ ผมก็เริ่มร่างต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าเสียงระฆังจะดังขึ้นอีกครั้ง นั่นละ คุณจะรู้ว่าเสียงอึกทึกจะเริ่มขึ้นไปอีกราวสัก 5-10 นาที ระยะนั้นผมก็ลุกไปเข้าห้องน้ำ หรือไม่ก็ชงกาแฟสักถ้วย ถ้าหากชั่วโมงต่อไปเป็นชั่วโมงว่างละก็ นั่นคือช่วงเวลาที่วิเศษที่สุดใน "จตุรัสแห่งเสียงท่องจำไม่รู้จบ" ของผม และเด็ก ๆ
 
 
 
คุณอาจจะไม่เข้าใจ ในเมื่อเรา  "เป็นครู" ที่ไม่ต้องวิ่งวุ่นเพียงเพื่อความก้าวหน้าของตัวเอง แต่เด็ก ๆ กลับมีแต่สติปัญญาตกต่ำล้าหลังอยู่ทุกวัน เราก็ไม่ต้องเป็นกังวล เรา  "มีอยู่"  เพื่อความเป็นครูที่มีความคิดทันสมัยและเรียนรู้เท่าทัน และนำมาบอกเล่าให้เด็ก ๆ ได้รับฟัง ก็เท่านั้น การเป็นครูที่ดีนั้นจะต้องมีความสุขมาก โดยเฉพาะเราไม่ต้องคิดว่า เราจะได้มากได้น้อย หรือไปคิดว่า ใครจะได้มากได้น้อย ใครจะได้เกินเราแบบนั้น แต่ในวัฒนธรรมกระดาษที่สร้างกันมาหลอกกันไปมาของกระทรวงศึกษาก็ลำบากเหมือนกันที่จะหาครูแบบนี้และหาผู้บริหารที่เข้าใจส่งเสริม เพราะกระทรวงศึกษาธิการ เป็นกระทรวงที่ชอบแข่งขันและประเมินแบบหลอกลวง เอาเอกสารโป้ปดมดเท็จเข้าว่า คุณรู้ไหมว่า การปฏิรูปการศึกษา ผมอยากเรียกว่า "ปะ ติ ลูบ" มากกว่า และมันไม่ได้ทำเพื่อเด็ก ๆ นักเรียนมากนัก นอกจากเพื่อครูอาจารย์และข้าราชการเท่านั้น!
 
 
 
การจัดการศึกษา การบริหารจัดการในระบบมัธยมศึกษา บางเรื่องมีความซ้ำซากสูญเปล่า และเหลวแหลกมาก แต่มันก็เป็นเรื่องของคน มันจึงแก้ยาก คนที่ไม่มีอุดมการณ์ใด นอกจาก ทำงานเพื่อเงินเดือน โดยใช้เด็กเป็นเครื่องมือ เราก็รู้กันอยู่ แต่ระบบราชการอุปถัมภ์มันแรงและมันหนักหน่วง ผมปลีกตัวออกมาทำในสิ่งที่ทำได้กับเด็ก ๆ แต่มันเล็กน้อยมาก มันไม่อยู่ในสายตา โดยปรากฏการณ์ขณะนี้ ผมเห็นว่า กระทรวงศึกษาธิการไม่ต้องการครูที่ดีมากนักหรอก  เขาต้องการข้าราชการที่ดี สำหรับผู้บริหารก็ทำเป็นอย่างเดียวคือ คอยเกษียนหนังสือราชการในห้องปรับอากาศ แต่ผู้บริหารที่ดี ๆ เก่ง ๆ และทันสมัยก็มีนะ แต่ผมไม่ค่อยเจอ หรือบางทีก็อาจจะเป็นเพราะว่า ผมมองในมิติเดียวและคิดแบบก้าวหน้ามากเกินไป และลืมไปว่าตัวเองอยู่ในระบบ ระบบซึ่งมันครอบงำคนที่เป็นครูมาโดยตลอด
 
 
 
เอาอย่างนี้ ผมไม่อยากจะตำหนิวัฒนธรรมความคิดและวิถีการทำงานของกระทรวงศึกษาธิการมากนัก มันจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่ดีในสายตาผู้ใหญ่ แต่ผมอยากจะบอกสั้น ๆ ว่า ถ้าการจัดการศึกษาของประเทศเรายังขาดคำสำคัญเกี่ยวกับ "ความรู้ และ  “การเสียสละ" เสียแล้ว การศึกษาที่เราทุ่มเทเงินและกำลังคนลงไป มันสร้างคนให้มีคุณภาพไม่ได้หรอก มันจะพังพาบลงไปเรื่อย ๆ นั่นก็คือความตกต่ำของจิตใจมนุษย์ที่เป็นผลสะเทือนมาจากการจัดการศึกษาที่หลอก ๆ และโดยเฉพาะ คุณภาพของคนบริหารจัดการด้านกำลังคน สื่ออุปกรณ์ และสุดท้ายเรื่องของเงินเดือนและค่าตอบแทนที่สวนทางกับสภาพเศรษฐกิจอย่างไม่น่าเชื่อ
 
 
 
คุณสุมาลีต้องเข้าใจด้วยว่า การมีเวลาของผมในที่นี้ ผมไม่ได้หมายความว่า จะต้องมีงานเขียนจำนวนมากตามมา ไม่ใช่ประเด็นนั้น ผมเชื่อว่า นักเขียนมีสิทธิ์เลือกได้อยู่ 2 แบบ นั่นคือ เขียนงานที่มีคุณภาพ หรือไม่เช่นนั้นก็เลิกเขียนไปเสีย!
 
ผมเชื่ออย่างนี้ครับว่าในโลกทุนนิยมเป็นใหญ่ นักเขียนควรสร้างตัวตนและอัตลักษณ์งานเขียนขึ้นมาจากความคิดเกี่ยวกับความยุติธรรมในระบบการเมือง ความเชื่อในคุณค่าของความเป็นมนุษย์ และการอยู่กับธรรมชาติ ดังนั้น งานเขียนแต่ละชิ้นแต่ละเรื่อง จึงควรมีความงดงาม มีพลังที่จะบอกเล่าถึงปรากฏการณ์ของมนุษย์ ทั้งในแง่สุขนาฏกรรม และโศกนาฏกรรม
 
 
 
สุมาลี : มองการขับเคลื่อนของขบวนนักเขียนอีสานเป็นอย่างไร?
 
ชัชวาลย์ : เราอาจจะเรียกว่าเป็น "ขบวนการนักเขียนอีสาน" ก็ได้ เอาอย่างนี้ ผมขอเรียกในทัศนะของผมได้ไหมว่า "นักเขียนลาวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย"  เรียกแบบนี้แสลงหูชนชั้นปกครองไหม ผมไม่อยากจะรู้ คือโดยส่วนตัวผมไม่สนใจคุณค่าของชนชั้นปกครองและชนชั้นผู้นำในสังคมไทยมากนัก ในแง่ที่ว่า คุณค่าของชนชั้นเหล่านั้น มันเป็นเรื่องของวาทกรรมและผลประโยชน์ที่สืบเนื่องกันมานานมาก มันมีอยู่แค่นี้ คุณลองนึกดูมันตลกไหม ถ้ามีคนมาบอกว่า "เสรีภาพ คุณค่าของความเป็นมนุษย์ของคุณจะมีได้ เกิดขึ้นและหรือได้รับการรับรองตามกฎหมาย (ซึ่งก็คืออำนาจปกครอง) คุณจะต้องมีสัญชาติ…และเชื้อชาติ…(!!??) เท่านั้น" ที่ผมนำเสนอมาถึงตรงนี้ เพราะโดยแท้ที่จริงแล้ว ความเป็นมนุษย์มันเป็นสัจสากล มันเป็นนามธรรมและรูปธรรมที่ปราศจากการกำหนดโดยภายนอก แต่ประวัติศาสตร์มันบอกว่า ที่นี่มีการกดขี่ความเป็นชาติพันธุ์โดยผ่ากลไกกฎหมายรัฐธรรมนูญและวาทกรรมของความเป็นชาตินิยมที่ปรุงแต่งและแอบอ้างขึ้นมาอย่างสุดขั้ว ซึ่งคุณสุมาลีจะเรียก ว่า ชาติไหนก็ได้ ผมไม่พูด แต่สิ่งที่ต้องรู้ก็คือ ความล้มเหลวและความเลวร้ายส่วนหนึ่งเกิดจากความต้องการที่จะสร้างความเป็นรัฐชาติให้มั่นคงแข็งแรงขึ้นมาในช่วงสมัยหนึ่ง
 
 
 
ผมไม่พูดถึงสารัตถะหรือข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ไทย และลาว และปรากฏการณ์นับตั้งแต่สมัยสถาปนาล้านช้างหลวงพระบาง โดยพระเจ้าฟ้างุ้มมหาราชจนถึงปัจจุบันนะครับ แต่อยากจะบอกว่า ปรากฏการณ์ต่อมา คือ การต่อสู้จักรวรรดินิยมตะวันตก หรือพวกล่าเมืองขึ้น การเกิดขบถผู้มีบุญ การสังหารสี่รัฐมนตรีอีสาน การเกิดและดับสลายของพรรคคอมมิวนิสต์ในไทยและประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง สิ่งเหล่านี้มีความหมายมากในแง่ของการรับรู้ของคนในภูมิภาค แต่ความจริงคุณไม่อาจหาอ่านได้ในตำราของกระทรวงศึกษาธิการมากนัก มันเป็นวาระแห่งการปิดบังซ่อนเร้นเพื่อสร้างประวัติศาสตร์แบบยอกย้อนขึ้นมากลบฝังความจริงที่ตายไปกับกาลเวลา เพื่อจะสร้างความจริงชุดใหม่ขึ้นมาให้ชอบธรรมและดูเป็นจริงเป็นจัง แต่ลักษณะนี้ก็เป็นปรากฏการณ์ในรัฐชาติด้อยพัฒนาทั้งหลายในโลกใบนี้
 
 
 
แต่นักเขียนจะต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ นี่คือต้นทางและต้นทุนทางความคิดของคนที่จะเขียนหนังสือ เพราะมันจะทำให้คุณมีความเบาหวิวน้อยลง เมื่อคุณเดินไปบนถนนสายวรรณกรรมของประเทศนี้ คุณไปหาอ่านในตำรากระทรวงไม่ได้หรอก มันต้องค้นหาตามซอกหลืบของสังคมที่มืดมน งานเขียนที่ดีมันไม่เคยเกิดขึ้นในห้องเรียน และในประเทศที่มีการกดขี่และเหยียดหยามประชาชนเท่านั้นจึงจะมีงานเขียนชั้นเยี่ยม
 
 
 
สิ่งที่ผมกำลังพูดมานี้แหละคือ สิ่งที่นักเขียนอีสานจะต้องเรียนรู้และเข้าใจ เพราะมันหมายถึงความเข้าใจในเรื่องรากเหง้าและน้ำเสียงทางประวัติศาสตร์ ผมเคยเขียนไปถึงพี่โกศล อนุสิม ว่า นักเขียนอีสานควรจะมุ่งไปในทิศทางใด คิดว่าชัดเจนพอสมควร คุณอาจจะเข้าไปอ่านดูบ้างก็ได้ หรือหากมีช่องทางนำเสนออีกครั้ง ผมก็อยากจะทำ คือนอกเหนือจากตัวตนและอัตลักษณ์ของเราในฐานะเชื้อชาติลาวโดยตรงอยู่แล้ว เราควรเข้าใจสุนทรียภาพของความเป็นลาวในบริบท 2 ฝั่งแม่น้ำโขง ทั้งในแง่ชาติพันธุ์วิทยา ประวัติศาสตร์ วรรณคดี ขนบธรรมเนียมที่เก่าแก่ลึกซึ้งทั้งหมดเท่าที่จะสามารถเรียนรู้ได้ ถึงแม้ว่าส่วนหนึ่งมันจะเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ในวิถีชีวิตของเรามาตั้งแต่เกิดก็ตาม ตรงนี้เองที่ผมอยากจะบอกคุณสุมาลีว่า มันจะทำให้งานเขียนเกิดนัยสำคัญและเกิดพลังสร้างสรรค์อย่างสูงสุด คุณอ่าน ปุยนุ่นและดวงดาว ของ รมย์ รติวัน อ่าน ฟ้าบ่กั้น ของลาว คำหอม และอ่าน ลูกอีสาน ของ คำพูน บุญทวี อีกรอบสิ แล้ววิเคราะห์เปรียบเทียบน้ำเสียง คุณจะพบว่า มันมีพลังในทางสร้างสรรค์สูงมาก นั่นเพราะผู้เขียนมีรากฐานความคิดที่เข้มแข็ง มีสำนึกในความเป็นเชื้อชาติที่ลึกล้ำในบาทก้าวย่างของชีวิตภายใต้โครงสร้างสังคมและการเมืองแบบใหม่ที่พลิกฟื้นมาจากระบบเจ้าขุนมูลนายอันล้าหลังและยกตัวเองขึ้นบนหอคอยอย่างน่ารังเกียจ
 
 
 
ผมพูดถึงความเป็นคนเชื้อชาติลาว ไม่ใช่เพราะผมไปปฏิเสธการดำรงอยู่ภายใต้ความเป็นรัฐชาติในปัจจุบัน แต่ผมต้องการชี้ให้เห็นว่า ความจริงสากลของเราก็คือ เราเป็นลาวภายใต้สยามหรือไทย อย่าให้พูดมากไปกว่านี้ แต่บัดนี้ สำนึกของนักเขียนอีสานเป็นไปในรูปแบบใดก็รู้กันอยู่ คุณอย่าไปเสียเวลาวิ่งตามวรรณกรรมที่มันเป็นภาษาหนึ่ง แต่เสียงพูดของคุณกลับเป็นสำเนียงหนึ่งอยู่เลย ผมหมายความว่า กระบวนทัศน์ของนักเขียนลาวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย จะต้องเรียนรู้และเข้าใจจุดหมายและนัยสำคัญนี้ให้ครบถ้วน เพราะถ้าหากคุณทิ้งรากเหง้าในทางมโนทัศน์ภาษา คำ สำเนียงการเปล่งเสียงของภาษาแม่ไปแล้ว ผมเชื่อว่า งานเขียนนั้นอาจไปถึงครึ่งทางหรือไปไม่ถึงจุดหมายที่ควรจะเป็น
 
ในลักษณะเฉพาะเรื่องการใช้คำ คนที่พยายามทำและกล้าหาญมากกว่าใคร หลังจากทศวรรษ 2525 เป็นต้นมาก็คือ สังคม เภสัชมาลา คุณลองไปศึกษาดูคำที่นักเขียนคนนี้ใช้อีกครั้งสิ จะพบว่า เขากล้าใช้คำลาวเป็นกรณีศึกษาวิจัยได้ แต่นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความเป็นลาวในท่ามกลางวรรณกรรมที่เขียนเป็นภาษาไทยถิ่นกรุงเทพฯ โดยตรง ผมอยากจะชี้ว่า มันต้องลึกเข้าไปอีกกว่านั้นให้ได้ ในแง่สุนทรียภาพภาษา มันจะต้องไม่ใช่เพียงแค่ “คำ” หรือ “รูปคำ” เท่านั้น แต่หมายถึงน้ำเสียงแห่งภาษาและความเป็นมนุษย์ที่สะท้อนออกมา เราจะทำอย่างไรดี จึงจะสามารถเขียนวนิยายที่น้ำเสียงที่ทรงพลังอย่างถูกทิศถูกทางได้ เขียนเป็นภาษาไทยได้ แต่เมื่ออ่านแล้วทำให้รู้สึกถึงความเป็นเชื้อชาติลาวอย่างใหญ่หลวงหลาย ไม่ใช่เรื่องชาตินิยมที่แทรกซ้อนในอำนาจรัฐนะครับ แต่งานเขียนที่ดีมันก็สามารถใช้ในจุดมุ่งหมายที่จะสร้างสรรค์หรือนำไปเป็นเครื่องมือทำลายได้เหมือนกัน ซึ่งเราจะพบได้ในวรรณคดีบางสมัยบางเรื่องและในบางประเทศ พูดง่าย ๆ ว่า ความเป็นมนุษย์ที่มีเชื่อชาตินี้มันสามารถสร้างสรรค์ขึ้นมาได้โดยผ่านกระบวนการทางวรรณศิลป์ที่อลังการและเต็มเปี่ยมด้วยวิธีอุปมา เพื่ออะไรละหรือ? เพื่อคงความเป็นลาวในแง่สุนทรียภาพให้ปรากฏอยู่ในวรรณคดี
 
 
 
ผมตอบคำถามข้อดียาวมาก พูดง่าย ๆ ว่า ผมมองว่า การขับเคลื่อนของขบวนการนักเขียนอีสาน มีความยากลำบาก ทั้งในแง่ที่ หนึ่ง-ถูกกดดันโดยกระแสวรรณกรรมชาตินิยม หรือวรรณกรรมกระแสหลัก นับตั้งแต่มีการจัดสร้างโรงเรียนในสมัยรัชการที่ 5 เก็บใบลาน และเริ่มพิมพ์ตำราผูกขาด ล้าหลังคลั่งชาติ,   สอง-สภาพเศรษฐกิจที่กำหนดพื้นที่และเวลาของนักเขียน ทำให้ขาดความสืบเนื่องและพลังสร้างสรรค์ได้หดหายไปอย่างน่าเสียดาย, สาม-ในแง่ของการตีพิมพ์ การสร้างรางวัลทางวรรณกรรม มีผลต่อการสร้างงานในแง่ที่ว่า นักเขียนลาวอีสานไม่สามารถนำเสนองานที่มีลักษณะความเป็นอีสาน โดยผ่านคำและน้ำเสียงแบบลาวได้อย่างเต็มที่ เพราะถูกบีบบังคับให้พูดและเขียนภาษาถิ่นกรุงเทพฯ ข้อนี้ ผมคิดว่าเป็นปัญหาที่ลึกล้ำและซับซ้อน ถ้าจะวิเคราะห์นะครับ
 
 
 
ด้วยปมปัญหา 2-3  ประการนั้นเอง ที่ผมอยากจะบอกคุณสุมาลี ว่า ในทางหนึ่งมันก็เป็นข้อพิสูจน์ถึงความสามารถในด้านพลังและศักยภาพของความเป็นนักเขียนได้ พูดตรง ๆ กันมาหลายครั้งว่า นักเขียนลาวอีสานใช้ภาษาเขียนที่ไม่ตรงกับภาษาพูดของตัวเอง ทำให้เกิดอาการ "เข้าไม่ถึงแก่น"  ของภาษาไทยหรือไม่ ข้อนี้ผมไม่สรุป แต่การเรียนรู้ภาษาอื่นมันก็เป็นสิ่งที่ทำให้ดีเยี่ยมได้ และหากจะว่าไปแล้ว ภาษาลาวกับภาษาไทยก็เป็นภาษาที่พัฒนาแตกแขนงมาจากภาษาโบราณด้วยกัน
 
 
 
โดยส่วนตัว ผมมองว่า การเดินทางของนักเขียนลาวอีสานนั้น ลำบากขลุกขลักมาก เพราะว่า ส่วนหนึ่งความเป็นลาวอีสานได้ผูกติดอยู่กับการเมืองและอำนาจ แต่ในสัมพันธภาพระหว่างเพื่อนพ้องน้องพี่ก็อบอุ่นนะครับ เราต่างเป็นแรงบันดาลใจซึ่งกันและกัน
 
 
 
ผมคิดว่า สิ่งที่ผมพูดมาเกี่ยวกับความเป็นลาวอีสานนั้น ในด้านการเขียน มันก็เป็นการท้าทายตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก คือเราจะตีโจทย์ให้แตกได้อย่างไร เพื่อจะสร้างงานเขียนที่มีความหมาย ความงามและความจริงในโลกของวรรณกรรมที่มีเสน่ห์ มีอัตลักษณ์ของความเป็นเชื้อชาติที่น่ารัก เข้มแข็งและมองไปข้างหน้าด้วยความรู้สึกดีงามและมีความหวัง ผมอยากจะเขียนวรรณกรรมที่งดงามเช่นนี้ ในขณะเดียวกัน ผมก็ปรารถนาที่จะได้เห็นผลงานของนักเขียนคนอื่น ๆ ที่เอาจริงเอาจังกับปัญหาในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ในฐานะคนเขียนหนังสือ คุณไม่ต้องมีเส้นพรมแดนก็ได้ ในฐานะคนที่เรียนรู้โลกอย่างแตกฉานระดับหนึ่ง ผมว่า เราไม่จำเป็นต้องใส่ใจความชั่วช้าของนักการเมืองมากนัก เราอาจไม่จำเป็นต้องมีรัฐบาล ไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้ง หรือการปฏิวัติรัฐประหาร ไม่จำเป็นต้องมีพรรคการเมือง และไม่จำเป็นที่เมืองหลวงจะต้องเป็นศูนย์กลางของความเป็นชาตินิยม
 
 
 
ในทางงานเขียน ผมคิดว่า เราคือคนของทุกแห่งหนทุกที่ เราจะอยู่ที่ไหนก็ได้ที่มีมนุษย์ มีความงามและธรรมชาติที่ได้รับการปกปักรักษาดูแลจากใจและจากมือมนุษย์
 
 
 
แต่งานเขียนเรื่องสั้นและนวนิยายของเรานั้น ควรจะต้องสะท้อนความเป็นชาติพันธุ์ของเราออกมา ทั้งในแง่ประวัติศาสตร์บรรพชีวิต ความสุขและความเศร้า ความหวังที่งดงามในอนาคต นั่นผมหมายถึงว่า งานเขียนก็คือสายเลือดที่ประกอบไปด้วยศรัทธาแห่งความรักในเชื้อชาติของตัวเองและเชื้อชาติอื่นที่หลากหลาย, เชื้อชาติเป็นสิ่งเดียวที่เรามีอยู่โดยไม่มีใครและอำนาจอธรรมใดสามารถทำลายล้างได้ เราในฐานะนักเขียนจึงสะท้อนอัตลักษณ์ความเป็นเชื้อชาติออกมาให้หนักแน่น นั่นเพราะเป็นสิ่งเดียวที่จะบอกว่า เรายังมีชีวิตและมีความหวัง และทั้งหมดนั้นคือมโนทัศน์แห่งสายเลือดของเรา
 
 
 
สุมาลี : นับจากนี้อยากจะให้เป็นหรือให้ทำอย่างไรบ้าง?
 
ชัชวาลย์ : (กินข้าวผัดไปด้วย) ถ้าพูดในแง่กิจกรรม ซึ่งช่วงหลังผมก็เริ่มอิ่ม ๆ แต่ผมอยากให้มี หนึ่ง-ค่ายส่งเสริมการอ่านและการเขียนที่ชัดเจน ทั้งในแง่การจัดหลักสูตรที่ดี กระชับและไม่น่าเบื่อ ทั้งในแง่วิทยากร จัดปีละครั้ง คัดเด็ก ๆ มาจากโรงเรียนที่มีนักเรียนสนใจจริง ๆ สนับสนุนเงินทุนและวิทยากรในงานส่งเสริมการอ่านการเขียนของโรงเรียนต่าง ๆ สอง -จัดประชุมเสวนาในหัวข้อเกี่ยวกับการเขียนการอ่านและการวิจารณ์วรรณกรรมปีละ 1 ครั้ง เพื่อพัฒนาความคิดนักเขียนรุ่นใหม่ ความจริงผมก็รุ่นใหม่นะ คือมันต้องขับเคลื่อนกิจกรรมแบบหนัก ๆ ปีละครั้ง
 
 
 
สาม -จัดการอ่านบทกวีและเรื่องสั้นในสถานที่ทางศิลปะหรือในมหาวิทยาลัย และอีกอย่างหนึ่งที่ควรมีก็คือ สำนักพิมพ์ ผมหมายถึงชื่อสำนักพิมพ์ที่ทุกคนสามารถใช้ได้ และที่สำคัญต้องมีสายสัมพันธ์กับสายส่ง แต่เงินลงทุนนั้นอาจจะต้องเป็นของนักเขียน ผมว่าการทำแบบนี้ มันจะเป็นต้นทางการเรียนรู้ที่จะอยู่ในวงการเขียนการอ่าน และการพิมพ์ อย่าเพิ่งไปพูดถึงเรื่องรางวัล เพราะนั่นเป็นประเด็นท้าย ๆ เราต้องมีนักเขียนที่ตั้งใจจริง เดินเข้ามาพูดมาแสดงบทบาททางสังคมได้อย่างเผ็ดมันและจริงใจ และต้องมีงานเขียนที่พิสูจน์ตัวตนในระดับหนึ่งในระยะเวลาหนึ่ง และผมคิดว่า เราต้องใส่ใจดูแลกันตามอัตภาพ
 
 
 
ตรงนี้น่าสนใจนะ มันเป็นกระบวนการที่สัมพันธ์กับธรรมชาติของการเป็นนักเขียนที่ไม่ต้องไปอะไรมากในแง่รูปแบบ นักเขียนคนไหนจะพิมพ์ มีหัวสำนักพิมพ์ มีเงิน และหาบรรณาธิการอ่านให้สักคน และต้องยอมรับ ทำไมต้องมุ่งไปที่กรุงเทพฯ อยู่ตลอด กว่าจะเข้าไปถึงได้ บางคนหมดพลัง หรือไม่ก็ตายด้านทางความคิดไปเลยก็มี เพราะมันก็เหมือนสังคมแวดวงอื่น ๆ ที่มีทั้งความจริง และความลวง อันนี้ไม่ได้เสียดสีนะครับ คือมันต้องมีจุดเริ่มต้น และเราก็น่าจะทำได้ ผมยินดีอ่านต้นฉบับให้ และเขียนคำนำเสนอให้ใครก็ตามที่ให้ความนับถือตัวตนของผม และถ้าในอนาคต ผมมีเงิน ผมจะออกค่าพิมพ์ให้
 
(ผมเคยพูดกับรุ่นน้องว่า ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเงิน แต่น้องมันศอกกลับมาเลยว่า พี่ แล้วช่วงไหนที่พี่เคยมีเงินกับเขา ผมหัวเราะก้ากเลยละ!)
 
 
 
คุณสุมาลีเห็นด้วยไหมครับ ผมเสนออย่างนี้ อย่างตอนนี้ โดยส่วนตัวผมกำลังทำสำนักพิมพ์ขึ้นมา พิมพ์ที่บ้านเรา แต่เข้าระบบสายส่งที่กรุงเทพฯ ผมไม่รู้เรื่องธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ แต่ผมกำลังจะพิมพ์นวนิยายขนาดสั้น "พรุ่งนี้" ที่แพรวอมรินทร์เคยพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2545  ออกมาอีกครั้ง โดยมีบรรณาธิการและคณะทำงานน้องนุ่ง เช่น ธีรยุทธ บุษบงค์, ไพรยุทธ สะกีพันธุ์ และที่ปรึกษาอื่น ๆ อีก 2-3 คน จาก "ประชาคมภาษาและวัฒนธรรมชาติพันธุ์ไทลาวลุ่มแม่น้ำโขง" ที่ผมกับเพื่อน ๆ กำลังดำเนินโครงการก่อตั้งให้แล้วเสร็จในอีก 1-2 ปีข้างหน้า โดยมีผมทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการโครงการไปพลาง ๆ ก่อน
 
 
 
สุมาลี :  อยากจะพัฒนาวงการนักเขียนอีสานอย่างไรบ้าง? 
 
ชัชวาลย์ :  คุณสุมาลีพูดคำว่า "พัฒนา" นี่ ผมรู้สึกสะท้านใจขึ้นมาเลยละครับ  อาจจะเป็นเพราะคำว่าการพัฒนามันเป็นพลวัตที่มีทั้งสร้างสรรค์และทำลายอยู่ในตัวของมันเอง คุณไปดูบริบทและผลพวงของการพัฒนาชนบทในบ้านเราก็ได้ ผมว่ามันเป็นช่องทางหากินของระบบราชการที่มี “คน” จำนวนหนึ่งแอบอ้างเพื่อตำแหน่ง