จากกรุงเทพฯ ถึง UNESCO กรณี World Book Capital

แม้ว่าจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่การสร้างกรุงเทพมหานครให้เป็น "มหานครแห่งการอ่าน "หรือ World Book Capital" ก็เป็นสิ่งน่าสนใจอย่างยิ่ง
เพราะการเริ่มต้นด้วยภาพแห่งความคิดนั้น ถ้ามีความมุ่งมั่น มีการวางแผนงานอย่างเป็นระบบ และมีบุคลากรที่มีความสามารถในเรื่องนี้ รวมทั้งมีงบประมาณที่เพียงพอแล้ว…ภาพฝันต่างๆ ที่วาดหวังเอาไว้ ก็สามารถจะเป็นจริงได้
เช่นเดียวกับกรุงเทพมหานครที่กำลังผลักดันโครงการ "มหานครแห่งการอ่าน หรือ "World Book Capital" อยู่ในขณะนี้ ซึ่งถือเป็นโครงการระดับ "Mega Project" นี้ ในปี 2013 ซึ่งต้องระดมความคิดจากทุกสารทิศ ทั้งองค์กรของรัฐและเอกชน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้
(1)
เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2554 ที่ผ่านมา คณะทำงานของกรุงเทพมหานคร นำโดยรองผู้ว่าฯ ทยา ทีปสุวรรณ เดินทางมาร่วมประชุมระดมความคิดและขอความร่วมมือกับบริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ณ บริษัท เนชั่นฯ เพื่อร่วมกันผลักดันกรุงเทพฯ ให้ได้รับคัดเลือกเป็น World Book Capital ปี 2013 ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือจากผู้บริหารเครือเนชั่นเป็นอย่างดี
ทยา ทีปสุวรรณ รองผู้ว่ากรุงเทพมหานคร กล่าวกับทีมผู้บริหารเครือเนชั่น ว่า "เราเองก็ต้องการเครือข่ายที่จะมาร่วมกันผลักดันให้กรุงเทพมหานครเป็นมหานครแห่งการอ่าน สำนักวัฒนธรรมกีฬาและการท่องเที่ยวกรุงเทพมหานครก็ร่วมกับเครือข่ายมากมาย หลายคนบอกว่าเราฝันเกินไปหรือเปล่าในการที่จะเป็นมหานครแห่งการอ่านทั้งๆ ที่คนกรุงเทพฯ หรือคนไทยมีอัตราการอ่านที่น้อยมาก
แต่เราก็มองว่าถ้าเราไม่ฝันหรือต่างคนต่างทำ อย่างสมาคมทำเอง หนังสือทำเอง ภาครัฐทำกันเองหรือภาคเอกชนทำเองอิมแพ็คก็จะไม่มาก แล้วก็จะไม่เกิดการรวมตัวหรือการบูรณาการร่วมกัน ก็เลยเป็นที่มาระหว่างกรุงเทพมหานครกับเครือข่ายโดยกรุงเทพมหานครเป็นแกนหลัก เพราะว่าเราก็ต้องดูแลในเรื่องการศึกษาของคนกรุงเทพฯอยู่แล้ว
แล้วเราก็มีห้องสมุดแห่งการเรียนรู้ มีบ้านหนังสือ มีโรงเรียนสี่ร้อยสามสิบกว่าแห่ง ก็เลยเป็นตัวตั้งตัวตีใหญ่และมีเครือข่ายที่เข้มแข็ง ตอนนี้เรามีอยู่ประมาณกว่า 80 เครือข่าย 55 แห่งยืนยันร่วมมือกับเราแล้ว อีกกว่า 30 แห่ง กำลังรอคำตอบ"
ดูเหมือนว่าเครือข่ายที่ค่อนข้างสะเปะสะปะในทีแรกเริ่มปรากฏเค้าลางชัดขึ้นทุกขณะ เมื่อคนหมู่มากคิดจะร่วมทางอุดมการณ์เดียวกันเช่นนี้ กรุงเทพมหานครจึงอาศัยงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งที่ 39 นี้ เป็นเวทีโอบรัดสายสัมพันธ์ที่แต่ละองค์กรยินดีร่วมมือด้วย
"มีการประชุมสมัชชากันโดยจะเซ็น MOU กันสิ้นเดือนนี้ สมัชชามากันกว่า 800 คน ทั้งสำนักพิมพ์ บริษัทพิมพ์หนังสือ ทั้งภาคเอกชน คุยกับ เอเชียบุ๊คส ดั๊บเบิ้ลเอ ทุกคนก็สนใจกับโครงการนี้ รวมถึงภาคเอกชนที่ไม่เกี่ยวกับวงการนี้แต่อยากจะทำ CSR ก็เข้ามาร่วมกับเรา ก็เลยทำเป็น Road Map to World Book Capital ขึ้นมา ซึ่งต้องขอความร่วมมือจากทางสื่อ เพราะ Map ต่างๆ ที่เราทำขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเพิ่มพื้นที่การอ่าน เรื่องของการมีเครือข่ายที่ชัดเจนครอบคลุมงบประมาณ มีกิจกรรม และสุดท้ายก็คือมีการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อปลุกกระแสเรื่องของการอ่านให้กับคนกรุงเทพฯและต่อไปในจังหวัดอื่นด้วย
จากสถิติที่คนไทยอ่านหนังสือปีละประมาณสามเล่มเทียบกับเวียดนาม 60 เล่ม เทียบกับญี่ปุ่นสิงคโปร์ 50-60 เล่ม ถึงแม้เราอาจจะไม่ได้ที่เสนอตัวในปีพ.ศ. 2556 แต่เราก็หวังว่าการผลักดันในครั้งนี้ถ้าไม่ได้รางวัลแต่เราก็ได้การมีส่วนร่วมได้การสร้างกระแสตรงนี้ แต่ถ้าได้ก็เป็นการสร้างชื่อเสียงให้แก่กรุงเทพฯและประเทศไทย เท่าที่เช็คข้อมูลมาจากทางยูเนสโก ในปีพ.ศ. 2556 นี้ที่เข้าร่วมการแข่งขันก็จะมีกัวลาลัมเปอร์ ลอนดอน" รองผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ กล่าว
จากข้อมูลที่กรุงเทพมหานครชี้แจงกับบริษัทเนชั่นฯ พบว่างบประมาณที่จะนำมาใช้ปูทางสู่ มหานครแห่งการอ่านนั้นเป็นงบประมาณต่อเนื่อง 2 ปี ส่วนหนึ่งอาจต้องขอเงินสนับสนุนจากรัฐบาล เพราะรัฐบาลก็มีนโยบายผลักดันการอ่านให้เป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งปัจจุบันกำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในอีกไม่นาน ทางกรุงเทพมหานครก็หวังว่าจะได้เงินสนับสนุนก้อนนี้ด้วย
"เราก็จะมีการแบ่งงานกันอย่างชัดเจนว่าใครทำเรื่องอะไร การใช้งบประมาณก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีเวนท์ประจำปีต่างๆ แต่ละเดือนก็จะมีกำหนด เราก็เลยมาเล่าให้ทางเนชั่นฯ ฟังเพราะเราก็อยากได้ทางเครือเป็นสมาชิกเป็นเครือข่ายกับเรา ในภาพการประชาสัมพันธ์ ในภาพรวมทั้งสื่อโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ เราก็ควรมีให้ครบทุกด้านด้วย เพื่อจะปลุกกระแสให้ได้ในเรื่องของการอ่าน
ในส่วนของกรุงเทพมหานครเองก็จะทำในส่วนของการจัดอีเวนท์ส่งเสริมการอ่าน มีประกวด Young Reader และ Young Writer Award การเพิ่มพื้นที่ให้ประชาชนได้มีทางเลือกในการอ่านหนังสือมากขึ้น เรามีการเพิ่มห้องสมุดในการเรียนรู้ เพิ่มบ้านหนังสือ ตอนนี้เรามีศูนย์การเรียนรู้อยู่ 34 แห่ง เราก็อยากมีให้ครบทุกเขต 50 เขต บ้านหนังสือมีอยู่ 116 แห่ง เป็นรถที่เข้าไปตั้งอยู่ในชุมชน และก็มีรถคาราวานความสุข ก็จะเป็นเหมือนรถ Mobile เคลื่อนที่ ห้องสมุดเคลื่อนที่เข้าไปในชุมชน มีเกมส่งเสริมการอ่านเข้ามาเล่นกับเด็กๆ ในชุมชน"
ด้าน ธนาชัย ธีรพัฒนวงศ์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้ให้คำแนะนำกับคณะรองผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานคร ว่า
"จะเรียกว่า World Book Capital เป็นเครื่องมือก็ได้ เป็นเครื่องมือที่จะทำให้สร้างวัฒนธรรมการอ่านของคนกรุงเทพฯ จริงจัง หรือจะมองเป็นระยะสั้นก็ได้ ถ้าได้ก็จะเป็นการสร้างกระแส และสิ่งที่มันเกิดขึ้นที่ท่านรองฯพูดชัดเจน คือการมีส่วนร่วม ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าทุกคนพร้อมที่จะเข้ามาช่วย แต่ที่ต้องการคือ 1.การเชื่อม และ 2.ต้องมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างจริงจัง…
…การส่งเสริมให้คนรักการอ่านเป็นกิจกรรมที่ดีมาก ไม่ว่าใครมาทำก็ต้องสนับสนุน เพราะว่าเป็นการทำดี ทุกองค์กร ทั้งที่ได้ผลประโยชน์โดยตรงหรือไม่ได้เลย ต้องช่วยกันสนับสนุน ถ้ามีใครมาทำโครงการนี้ ส่วนวิธีการทำอย่าไปคิดมาก คิดถึงผลประโยชน์ของประเทศและคนในประเทศดีกว่า ไม่ว่าจะได้หรือไม่ได้รางวัลก็ตาม ทำแล้วผลที่ออกมาจะมีประโยชน์มากกว่ารางวัลที่ได้รับ เพราะว่าจะทำให้คนไทยหันมาอ่านกันมากขึ้น เพราะฉะนั้นโครงการนี้ถ้าพูดในนามของ สมาคมนิตยสาร ไม่จำเป็นต้องประชุมว่าเห็นด้วยหรือไม่ เพราะมันไม่มีใครที่จะไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว"
(2)
กระทั่งเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2554 ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จึงร่วมกับสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย ได้ใช้บริเวณบูธกิจกรรมของทางกรุงเทพมหานคร บูธ X08 บริเวณทางเข้าห้องเพลนารีฮอลล์ 2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งที่ 39 เพื่อประกาศอย่างเป็นทางการว่ากรุงเทพมหานครพร้อมและตั้งใจจะผลักดันตัวเองสู่ World Book Capital ให้จงได้ ทั้งนี้ยังถือฤกษ์งามยามดีเปิดตัว Brand Ambassador และ Logo ที่เพิ่งทำเสร็จกันสดๆ ร้อนๆ อีกด้วย
Brand Ambassador ถูกจัดแบ่งออกเป็นช่วงวัยต่างๆ เพื่อให้เข้าถึงคนได้ทุกกลุ่ม โดยมีเกณฑ์คัดเลือกตั้งแต่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิในวงการหนังสือ กระทั่งผู้ทรงคุณวุฒิทางสังคม ดังนี้
วัยเด็ก คือ พัทธดนย์ เกลี้ยงจันทร์ หรือน้องเดียว อัจฉริยะรุ่นจิ๋วจากรายการเกมทศกัณฐ์เด็ก และ แพรกานต์ นิรันดร หรือปอเปี๊ยะ “Pieretta Dawn” (เพียเร็ตตา ดอว์น) เจ้าของผลงานวรรณกรรมเยาวชนไตรภาคชื่อดัง ชุด "จักรภพพันธุ์มหัศจรรย์"
วัยรุ่น คือ อินทิรา เจริญปุระ หรือทราย เจริญปุระ ศิลปินดาราชื่อดังอีกทั้งยังเป็นนักอ่าน นักเขียน คอลัมนิสต์ประจำคอลัมน์ "รักคนอ่าน" ในมติชน สุดสัปดาห์ และ ดร.นาวิน เยาวพลกุล หรือ นาวิน ต้าร์ ศิลปินชื่อดัง
วัยสูงอายุ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และ คุณหญิงจำนงศรี รัตนิน
ผู้แทนทางศาสนา ได้แก่ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (บุญถึง) "ว.วชิรเมธี"
และเปิดตัวโลโก้ Read for Life โครงการรณรงค์ให้กรุงเทพเป็นมหานครแห่งการอ่าน โดยขอลิขสิทธิ์ "ช้างก้านกล้วย" จากบริษัท "กันตนา" เพื่อตอกย้ำความเป็นไทย
นอกจากเปิดตัวตัวแทนและโลโก้แล้วยังมีการลงนามสนธิสัญญา (MOU) พิธีสำคัญซึ่งเปรียบเสมือนการผูกสัมพันธ์ระหว่างกรุงเทพมหานครและภาคีน้อยใหญ่ ว่าจะร่วมกันส่งเสริมผลักดันกันต่อไป
มรว.สุขุมพันธุ์ กล่าวในพิธีลงนามว่า "ตลอดเวลาที่กรุงเทพมหานครมีการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการอ่านมาอย่างต่อเนื่องทำให้ผมเห็นความตื่นตัวของภาคีหน่วยงานที่ร่วมกันเสนอโครงการและทำกิจกรรมส่งเสริมการอ่านตามเป้าหมายภารกิจของแต่ละหน่วยงานกันอย่างมากมาย หากภาคีหรือหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาคราชการและภาคเอกชนได้ช่วยกันผลักดันเรื่องการอ่านให้แก่ทุกกลุ่มคนในสังคมเราคิดถึงเรื่องการอ่านพูดคุยกันถึงหนังสือที่สนใจมีการแนะนำหนังสือสู่กันและกันเป็นภาพที่น่าชื่นใจ
หากเราทำให้เกิดบรรยากาศแบบนี้ได้ตลอดไปเยาวชนไทยและทุกคนจะเป็นคนที่มีความรู้อย่างกว้างขวาง กระหายการอ่านกรุงเทพจะมีสภากาแฟอยู่ทั่วทุกที่ เราจะมีหนังสือดีๆ ให้อ่านสม่ำเสมอ แลกเปลี่ยนความสนใจเรื่องหนังสือ นักเขียน ไม่ต่างจากการพูดคุยเรื่องแฟชั่น บันเทิงหรือเทคโนโลยี วันนี้ถึงเวลาที่เราจะร่วมมือ ร่วมใจเป็นหนึ่งเดียวในการสร้างปณิธานแห่งการอ่านให้กลายเป็นจริงในชีวิตประจำวัน"
นอกจากนี้แล้วภายในบูธของกรุงเทพมหานครยังกิจกรรมที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับ World Book Capital ให้ประชาชนทั่วไปได้ร่วมทำอีกมากมายเช่นกิจกรรม Write to Goal ร่วมลงนามสนับสนุนการขับเคลื่อนกรุงเทพฯ สู่การเป็นมหานครแห่งการอ่านและก้าวสู่เมืองหนังสือโลก Good to Read แนะนำหนังสือที่เป็นแรงบันดาลใจของคุณให้แก่คนอื่นๆ Read with Love ร่วมเป็นอาสาสมัครส่งเสริมการอ่านให้กับน้องๆ และผู้ด้อยโอกาส Our Reading Places ร่วมปักหมุดแนะนำพื้นที่การอ่านหนังสือในกรุงเทพฯ
(3)
มองเห็นแสงสว่างอยู่ลิบตาทว่าหากไม่เหลียวแลระหว่างทางก่อนจะไปถึงแสงนั้นคงไม่สามารถจะข้ามฝันสู่ความเป็นจริงได้ โดยเฉพาะการเสนอชื่อกรุงเทพมหานครเพื่อให้องค์การยูเนสโก จัดเป็น "World Book Capital" หรือ"มหานครแห่งการอ่าน "
แม้ว่ากรุงเทพมหานครจะสร้างฐานกำลังผู้สนับสนุนไว้มากมาย แต่พื้นฐานความจริงที่ประเทศไทยเป็น อยู่ คือ ก็คงหนีไม่พ้นสภาพการณ์วิกฤติการอ่านที่ต้องเผชิญมายาวนานแล้ว เดิมทีคนไทยโดยเฉพาะเยาวชนอ่านหนังสือน้อยอยู่แล้ว แต่ปัจจุบันมีสิ่งยั่วยุจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์มากมายกวักมือเรียกพวกเขาให้ลุกหนีจากหน้ากระดาษมากยิ่งขึ้นๆ บวกกับเมื่อได้ยินชื่อคู่แข่งในปี 2013 อย่างกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษด้วยแล้ว ก็ยิ่งต้องทำงานอย่างหนักในการที่จะให้ยูเนสโกยอมรับ
และต่อไปนี้คือคำให้การของผู้มีส่วนร่วมในคณะทำงานเพื่อผลักดันกรุงเทพฯไปสู่มหานครแห่งการอ่าน
0คิดว่าตอนนี้กรุงเทพฯเทียบเท่ากับลอนดอนได้หรือยัง ?
หากเทียบแล้วเขาพื้นฐานการอ่านดีกว่าเรามาก แต่ว่าเขาก็ได้รับผลกระทบจาก สื่อสมัยใหม่ มันไม่ค่อยมีเวลา พอเขาได้รับผลกระทบ เขาจึงกลับมาฟื้นฟูผลักดัน แต่ว่าต้องยอมรับว่า พื้นฐานการอ่านของเขากับเรา คนละเส้นกัน แต่เราเชื่อว่าคณะกรรมการคงจะมองความพยายามว่าใคร ที่จะมีความพยายามอย่างจริงจัง และอีกอย่างก็คือการให้โอกาส เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าเราจะสู้เขาได้ไหม เราก็คิดว่าเราทำให้เต็มที่สำหรับเรา ทุกภาคีประชุมกัน กรรมการที่เป็นแกนในประมาณ 10 กว่าองค์กร แต่ว่าถ้ารวมสมัชชาหรือกลุ่มอื่นที่เข้ามาคุยกันครั้งก่อน ก็หลายร้อยองค์กร ทุกคนนั้นมีความรู้สึกว่า ก็ต้องผลักดันกันต่อไป
แต่ที่สำคัญระหว่างการผลักดัน ต้องระวังผลที่เกิดขึ้นกับคนของเรา เราต้องระวังเรื่องนี้เป็นหลัก ประเทศอื่นๆ เราก็ไปศึกษา ก็พบว่ามันมีความหลากหลาย บางประเทศเป็นเมืองเล็กมาก ยกตัวอย่างเช่นเยเรวาน ของประเทศอาร์เมเนีย และกิจกรรมของเขาก็น้อยมาก แต่จำนวนประชากรเขาก็น้อยด้วย จุดที่แข็งของเขาคือภาษาของเขาได้รับความกระทบกระเทือนกำลังจะสูญหาย มองในแง่นี้ยูเนสโก ก็ต้องช่วยอนุรักษ์ไว้ หรืออย่างบัวโนสไอเรส เป็นเมืองใหญ่มาก คนเยอะ กิจกรรมเขาเยอะ ประวัติศาสตร์เขาก็เยอะแยะมาก เขาก็เสนอตัวไปอีกแบบหนึ่ง
เพราะฉะนั้นเราก็มองว่า เดิมเราเสนอว่ามีกิจกรรมอะไรบ้าง แต่คราวนี้จะเราเน้นว่าเรามีปัญหาอะไร และเราก็ต้องยอมรับว่าปัญหาเรามีเยอะ และพัฒนาการ การอ่านของเรายังไม่สม่ำเสมอ แต่ว่าสิ่งที่เราคิดว่าเขาจะเห็นคือ ความเข้าใจในตัวเราเอง เข้าใจปัญหาของเราเอง และกำลังพัฒนา ถ้าเขาเข้าใจเรา เวลาเรานำเสนอ เราจะบอกว่าฐานทุนเราไม่ใช่มีแค่ ร้านหนังสือ สมาคม มันมีคนที่อยากทำเรื่องนี้เยอะ อย่างรัฐบาลตอนนี้ก็กำลังจะทำเป็นวาระแห่งชาติ หรือในพระราชวงศ์กับการอ่าน สมเด็จพระเทพฯ ก็ทรงผลักดันเรื่องนี้อย่างจริงจัง และเรามีบุคคลระดับโลกที่ ยูเนสโก ยกย่อง ซึ่งหลายคนเป็นนักเขียน ยกตัวอย่างเช่น กุหลาบ สายประดิษฐ์ ท่านพุทธทาส หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช
เราคิดว่าฐานทุนพวกนี้เรามีอยู่ เรากำลังจะรวมพลังกัน และรวมกลุ่มสมาคม ร้านหนังสือ แม้กระทั่งพวกร้านกาแฟ ร้านทำผม ร้านสะดวกซื้อ พื้นที่เหล่านี้ถือว่ามีบทบาทเยอะ เพราะในหนึ่งวันมีคนผ่านเข้าออกที่เหล่านี้เป็นจำนวนมาก คนส่วนใหญ่ไม่เข้าห้องสมุด แต่จะเข้าออกอยู่ในร้านเหล่านี้ ถ้ายิ่งรวมตัวกันให้ได้มาก ก็จะกลายเป็นพื้นที่การอ่านที่มีพลัง และพอเราคิดเรื่องโครงการไฮไลต์ ซึ่งมีทั้งหมดประมาณ 7-8 โครงการ เราก็พบว่า มีทั้งโครงการที่เราย้อนกลับไปในอดีตเพื่อที่จะปักหมุดว่าเราเป็นมาอย่างไร เช่น ทำพิพิธภัณฑ์ พวกสมาคมการ์ตูนก็รู้สึกอยากทำมาก เราก็คิดกันมาแต่คิดไม่ออกว่าจะไปทำกันที่ไหน เมื่อไร
แต่พอเอามาเชื่อมต่อร่วมมือกัน กรุงเทพฯ ก็จัดหาที่ให้ได้ ก็อาจจะมีงบประมาณที่จะจัดหาสถานที่ ในขณะที่สมาคม content เยอะ มีใจในการที่จะทำเยอะ จะเห็นว่าพอร่วมมือกัน มันก็จะเกิดขึ้นได้ แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อน ต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างฝันกันไป มันก็ไม่เกิดขึ้น เรื่องต่อมาโครงการที่เรานำเสนอ มันครอบคลุม ทำให้คนรู้จักความเป็นมาของตนเอง จากหนังสือที่ว่าด้วยเรื่อง ประวัติศาสตร์สังคม เรามีเยอะมาก มูลนิธิ บริษัทโตโยต้า สำนักพิมพ์ธรรมศาสตร์ กลุ่มนี้เรามีเยอะ กลุ่มที่สองก็เป็นพวกกลุ่มหนังสือเด็ก ซึ่งกลุ่มนี้เราคิดว่าต้องให้น้ำหนักเป็นพิเศษ กลุ่มที่สาม เป็นเรื่องวรรณกรรม มันสามารถที่จะทำให้เข้าใจถึงความเป็นมนุษย์ ก็สามารถที่จะสร้างบทสนทนาที่สร้างสรรค์ได้
เพราะฉะนั้นเราคิดว่า วรรณกรรมต้องได้รับการส่งเสริม ทั้งของไทยและของโลก กลุ่มที่สี่ คือ Spiritial Book ประเทศเราเป็นประเทศที่หนังสือพระพุทธศาสนามีความงดงามมาก ในขณะเดียวกันเราก็เปิดพื้นที่ให้หนังสือของศาสนาอื่นด้วย เพราะฉะนั้นจะทำยังไงให้เห็นว่า ที่นี่เป็นหมุดหมายของ Spiritial ของโลกได้ด้วยซ้ำไป ที่จะทำให้ใครที่อ่านหนังสือที่มันจรรโลงจิตใจ มาหาอ่านได้เลยแปลภาษาให้พร้อม ต่อไปก็เป็นเรื่อง Scientific กรรมการพวกภาคี คิดกันว่า เราต้องการเห็นเด็กของเราเป็นคนที่รักการแสวงหาความรู้ ใช้ความคิดแบบเป็นเหตุเป็นผล เป็นวิทยาศาสตร์ มันก็จะไปเสริมเรื่อง Creative Economy เราจะสร้าง Inovation แต่ถ้าเด็กเราไม่มีพื้นความรู้ ไม่ไขว่คว้าหาความรู้ เราก็จะไปต่อไม่ได้
เรื่องนี้เราก็ต้องนำเสนอ และเราจะมีเรื่องกลุ่มหนังสือใหญ่ๆ ที่จะทำเป็นไฮไลต์ หนังสือเด็ก หนังสือวรรณกรรม หนังสือ Spiritial หนังสือ Scientific ซึ่งมันครอบคลุมในบรรดาสำนักพิมพ์อยู่แล้ว ก็เป็นข้อดีอย่างหนึ่ง ขณะเดียวกันก็จะดึงเรื่องพวกนี้ของเราให้มันเด่นขึ้น ใครชอบด้านไหนก็เลือกด้านนั้น เด็กชอบวิทยาศาสตร์ก็จะมีพื้นที่ ที่ให้ค้นคว้าหรือว่ากระตุ้นให้กำลังใจ เด็กที่ชอบสายวรรณกรรม ก็มีพื้นที่ให้อ่านให้เขียน ถ้าทิศทางของยุทธศาสตร์ไปได้แบบนี้ เราก็เชื่อว่า ที่พูดไว้ว่าสร้างวัฒนธรรมการอ่าน น่าจะเป็นจริง
0มีเวลาประมาณ 2 ปี ที่จะสร้างวัฒนธรรมนี้ ?
ถ้าถามว่ายากไหม ก็ไม่ง่าย แต่ถ้าเราคิดว่าฐานทุนเดิมเรามี สมมติถ้าบอกว่าเนชั่นฯ มีแบบนี้อยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาเรียกว่าทำกับพื้นที่ของเนชั่นฯ เท่านั้น แต่ถ้าจะออกข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ เราต้องคุยกันเรื่องสื่อ เรื่องการรณรงค์ ทำให้รู้ว่าเนชั่นมีและไปพร้อมสภากาชาด และเมื่อไรก็ตามเห็นสภากาชาดไปทำงานที่ไหน ไปได้เลยที่นั่นมีหนังสือให้อ่านแน่นอน ถ้าเรามีตัวช่วยจากเดิมที่เราสมมติว่าพื้นที่เรา 10 ล้านคน อาจจะแตะได้สักล้านคน แต่ถ้าเรามีแรงกระเพื่อม มีกลไกบางอย่างเข้าไปเสริม มีการร่วมมือที่สื่อสารกัน จากหนึ่งล้าน อาจจะเข้าไปซักสามล้าน แค่นี้เราก็พอใจแล้ว แล้วหลังจากนั้นเราค่อยๆ พัฒนาไป
แต่ถ้าเราไม่เริ่มตอนนี้ต่อไปเราคิดว่าคงยาก และคิดว่ามันจะไม่ทัน เพราะถ้าคนเราไม่ปลูกฝังการรักการอ่าน หรือไม่ต่อเนื่อง มันจะกลายเป็นนิสัยที่ไม่รักการอ่าน เพราะฉะนั้นเรา ต้องการปลูกฝังให้เป็นนิสัย และใส่เข้าไปในวิถีชีวิต และต้องปลูกฝังอย่างต่อเนื่อง ก็คิดและคาดหวังกับทางกรุงเทพฯ เยอะ เพราะมันเป็นแกนกลาง ขนาดเนชั่นฯ ที่ว่าใหญ่ ยังบ่นเลยว่าทำได้แค่นี้ อยากทำมากกว่านี้ก็ไม่ได้ แต่ถ้าภาครัฐทำ และกรุงเทพฯเป็นหน่วยงานท้องถิ่นเขามีหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของคนในพื้นที่ 10 ล้านคน ไม่เหมือนรัฐบาล รัฐบาลดูแลทั้งประเทศ
เมื่อรัฐบาลประกาศวาระการอ่านแห่งชาติ ก็ยังไม่ค่อยเห็นอะไรเป็นรูปเป็นร่าง เรื่องมันใหญ่เกินไปจนทุกคนไม่รู้จะทำยังไง แต่พอเรา Scope ชัดเจนว่าพื้นที่แค่นี้ กี่ร้อยตารางเมตรของเราที่กำหนดไว้ ก็ทำให้ดีเพื่อเป็นตัวอย่าง และเราเชื่อว่าที่กรุงเทพฯ ถ้ามันเกิด ที่อื่นก็จะเกิดตาม อย่างน้อยก็ปักหมุดไว้ตรงนี้
สำหรับคนอ่านหนังสือแล้ว ส่วนหนึ่งอาจรู้สึกได้ในนัยหนึ่งว่า นี่คือนิมิตหมายอันดีของวงการหนังสือไทยที่จะก้าวกระโดดจากเมืองที่มีตัวเลขสถิติ (ซึ่งยังไม่เป็นที่แน่ชัด) การอ่านหนังสือน้อยติดอันดับโลก มาเป็นเมืองหนังสือโลก หรือมหานครแห่งการในความเข้าใจของกรุงเทพมหานคร แต่อีกนัยหนึ่งนี่คงเป็นจุดสำคัญของความมั่นคงบนเก้าอี้ "เจ้าเมือง" กรุงเทพมหานครแห่งนี้ในสมัยหน้า
ดังคำพูดหนึ่งที่ว่า "นี่เป็นภารกิจ เหลืออีกปีครึ่ง เก้าอี้อยู่หรือไม่…ขึ้นกับงานนี้"
เกณฑ์การตัดสินของคณะกรรมการจาก UNESCO ในการตัดสินให้เป็น World Book Capital จะครอบคลุมปัจจัย 6 ประการ ดังนี้
1. การมีส่วนร่วมของเครือข่ายทุกภาคส่วน
2. ในปีนั้นและปีถัดไป จะต้องมีการทำงานที่ชัดเจนต่อเนื่องว่าจะส่งเสริมการอ่านอย่างไร
3. กิจกรรมที่มีต้องหลากหลายและมีคุณภาพซึ่งภายในพื้นที่เมืองนั้นต้องมีกิจกรรม
4. มีแผนและงบประมาณที่ชัดเจน มั่นใจได้ว่าทำจริง
5. ต้องส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของแต่ละบุคคล ให้สามารถคิด เขียน และเผยแพร่ความคิดของตนเองได้
6. กระบวนการโครงการเป็นระยะยาว ทำให้มั่นใจได้ว่าจะปักหมุดเรื่องการอ่านต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำเพื่อเอารางวัล
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : http://www.bangkokbiznews.com โดย : ปริญญา ชาวสมุน