มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน | Reading Culture Promotion Foundation

งานวิจัย : ผลของความต้องการทางปัญญา คุณภาพของสาร และความยากง่ายในการอ่านของลายมือ ต่อเจตคติต่อเรียงความ

พจนา วิไลกิจ (2538) นิสิตปริญญาโท  คณะครุศาสตร์  สาขาวิชาจิตวิทยาสังคม  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ได้ทำการวิจัยเรื่องผลของความต้องการทางปัญญา คุณภาพของสาร และความยากง่ายในการอ่านของลายมือ ต่อเจตคติต่อเรียงความ  กลุ่มตัวอย่างเป็นนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำนวน 128 คน ผลการวิจัยพบว่า  ผู้ที่มีความต้องการทางปัญญาสูงมีเจตคติต่อเรียงความไม่แตกต่างกันในเงื่อนไขต่อไปนี้  1) เรียงความมีคุณภาพสูงและลายมืออ่านง่าย กับเงื่อนไขที่เรียงความมีคุณภาพสูงและลายมืออ่านยาก   2) เรียงความมีคุณภาพต่ำและลายมืออ่านง่าย กับเงื่อนไขที่เรียงความมีคุณภาพต่ำและลายมืออ่านยาก  3) เรียงความมีคุณภาพสูงและลายมืออ่านง่าย กับเงื่อนไขที่เรียงความมีคุณภาพต่ำและลายมืออ่านง่าย  แต่ผู้ที่มีความต้องการทางปัญญาสูง มีเจตคติต่อเรียงความในเงื่อนไขที่เรียงความมีคุณภาพสูงและลายมืออ่านยาก สูงกว่าในเงื่อนไขที่เรียงความมีคุณภาพต่ำและลายมืออ่านง่าย  ส่วนผู้ที่มีความต้องการทางปัญญาต่ำ มีเจตคติต่อเรียงความในเงื่อนไขที่เรียงความมีคุณภาพสูงและลายมืออ่านง่าย สูงกว่าในเงื่อนไขที่เรียงความมีคุณภาพสูงและลายมืออ่านยาก  และในเงื่อนไขที่เรียงความมีคุณภาพต่ำและลายมืออ่านง่าย สูงกว่าในเงื่อนไขที่เรียงความมีคุณภาพต่ำและลายมืออ่านยาก 

พจนา วิไลกิจ.  (2538).  ผลของความต้องการทางปัญญา คุณภาพของสาร และความยากง่ายในการอ่านของลายมือ ต่อเจตคติต่อเรียงความ.  วิทยานิพนธ์ ค.ม. (จิตวิทยาสังคม). กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.  อาจารย์ที่ปรึกษา:รศ.ดร.ธีระพร อุวรรณโณ.

 

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ผลของความต้องการทางปัญญาคุณภาพของสารและความยากง่ายในการอ่านของลายมือ ต่อเจตคติต่อเรียงความโดยศึกษาตามแนวรูปแบบความเป็นไปได้ของการขยายความในการโน้มน้าวใจ(Petty and Cacioppe, 1986a) กลุ่มตัวอย่างเป็นนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำนวน 128 คน แยกเป็นชายจำนวน 70 คน หญิงจำนวน 58 คน  ผู้วิจัยได้ใช้ มาตรวัดความต้องการทางปัญญา ซึ่งพัฒนาขึ้นโดย นวพร คงเจริญ และ วิมดุลยากร (2535) เป็นเครื่องมือวัดความต้องการทางปัญญา และใช้ค่ามัธยฐานแบ่งกลุ่มตัวอย่างเป็นกลุ่มที่มีความต้องการทางปัญญาสูงและต่ำ อย่างละ64 คน จากนั้นจึงสุ่มจากแต่ละกลุ่มความต้องการทางปัญญา เข้าเงื่อนไขการทดลองจำนวนเท่ากัน 1 ใน 4 เงื่อนไข คือ เรียงความคุณภาพสูงกับลายมืออ่านง่าย เรียงความคุณภาพสูงกับลายมืออ่านยาก เรียงความคุณภาพต่ำกับลายมืออ่านง่าย และเรียงความคุณภาพต่ำกับลายมืออ่านยาก เครื่องมือวัดตัวแปรตามเป็นมาตรวัดเจตคติต่อเรียงความสร้างขึ้นตามแนวทางการสร้างมาตรจำแนกความหมาย 

 

ผลการวิจัยพบตามที่ทำนายว่า 

  1. ผู้ที่มีความต้องการทางปัญญาสูง มีเจตคติต่อเรียงความไม่แตกต่างกันในเงื่อนไขที่เรียงความมีคุณภาพสูงและลายมืออ่านง่าย กับเงื่อนไขที่เรียงความมีคุณภาพสูงและลายมืออ่านยาก 
  2. ผู้ที่มีความต้องการทางปัญญาสูง มีเจตคติต่อเรียงความในเงื่อนไขที่เรียงความมีคุณภาพสูงและลายมืออ่านยาก สูงกว่าในเงื่อนไขที่เรียงความมีคุณภาพต่ำและลายมืออ่านง่าย (p<.01) 
  3. ผู้ที่มีความต้องการทางปัญญาสูง มีเจตคติต่อเรียงความไม่แตกต่างกันในเงื่อนไขที่เรียงความมีคุณภาพต่ำและลายมืออ่านง่าย กับเงื่อนไขที่เรียงความมีคุณภาพต่ำและลายมืออ่านยาก 
  4. ผู้ที่มีความต้องการทางปัญญาต่ำ มีเจตคติต่อเรียงความไม่แตกต่างกัน ในเงื่อนไขที่เรียงความมีคุณภาพสูงและลายมืออ่านง่าย กับเงื่อนไขที่เรียงความมีคุณภาพต่ำและลายมืออ่านง่าย 
  5. ผู้ที่มีความต้องการทางปัญญาต่ำ มีเจตคติต่อเรียงความในเงื่อนไขที่เรียงความมีคุณภาพสูงและลายมืออ่านง่าย สูงกว่าในเงื่อนไขที่เรียงความมีคุณภาพสูงและลายมืออ่านยาก (p<.05) 
  6. ผู้ที่มีความต้องการทางปัญญาต่ำ มีเจตคติต่อเรียงความในเงื่อนไขที่เรียงความมีคุณภาพต่ำและลายมืออ่านง่าย สูงกว่าในเงื่อนไขที่เรียงความมีคุณภาพต่ำและลายมืออ่านยาก (p<.001)