งานวิจัย : ความสัมพันธ์ระหว่างหัวเรื่องที่คุ้นเคย เพศ คำศัพท์ และความเข้าใจในการ อ่านภาษาอังกฤษของนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในประเทศไทย
นัจธิชา จันทร์ศรี (2551). นิสิตปริญญาโท สาขาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างหัวเรื่องที่คุ้นเคย เพศ คำศัพท์ และความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษของนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในประเทศไทย กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาวิชาเอกภาษาอังกฤษ ชั้นปีที่ 3 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจำนวน 7 แห่ง จำนวนประชากรมีทั้งสิ้น 127 คน โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ (1) นักศึกษาชาย จำนวน 57 คน และ (2) นักศึกษาหญิง จำนวน 70 คน เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย แบบทดสอบการอ่านเพื่อความเข้าใจของหัวเรื่องที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคย แบบทดสอบคำศัพท์ และแบบสอบถามความคุ้นเคยในหัวเรื่อง ซึ่งผู้วิจัยสร้างขึ้นจากการศึกษาว่า นักศึกษาหญิงคุ้นเคยกับหัวเรื่อง การทำอาหารและเรื่องครื่องสำอาง ส่วนนักศึกษาชายคุ้นเคยกับหัวเรื่องเกี่ยวกับเรื่องการขนส่งและเรื่องกีฬา ผลวิจัยพบว่าความแตกต่างของเพศและไม่มีผลต่อการความเข้าใจในการอ่านในหัวเรื่องที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคย และความคุ้นเคยในหัวเรื่องไม่มีผลต่อความเข้าใจในการอ่าน และพบว่า คำศัพท์มีความสัมพันธ์กันกับความเข้าใจในการอ่าน ซึ่งหมายความว่านักศึกษาจะเข้าใจเนื้อหาที่อ่านได้ดีขึ้น ถ้านักศึกษารู้คำศัพท์ในเนื้อหานั้นๆ ดังนั้นนักศึกษาควรเตรียมความพร้อมในการรับรู้และมีความคงทนในการจำคำศัพท์ กิจกรรมต่างๆในการรับรู้คำศัพท์ เช่น อ่านเนื้อเรื่องที่คุ้นเคย หาคำศัพท์ในพจนานุกรมและออกเสียงคำศัพท์นั้น นอกจากนั้นจากผลการวิจัยยังสรุปได้ว่า
นัจธิชา จันทร์ศรี (2551). ความสัมพันธ์ระหว่างหัวเรื่องที่คุ้นเคย เพศ คำศัพท์ และความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษของนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในประเทศไทย. ปริญญานิพนธ์ ศศ.ม. (ภาษาอังกฤษ). กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. คณะกรรมการควบคุม: อาจารย์ ดร. สายวรุณ จำปาวัลย์ อาจารย์ ดร. ศิรินันท์ ศรีเนาวรัตน์
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของหัวเรื่องที่คุ้นเคย ความแตกต่างในด้านเพศ คำศัพท์ และความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษของนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในประเทศไทย ประชากรกลุ่มตัวอย่างใช้การเลือกแบบสุ่ม โดยเลือกจากนักศึกษาวิชาเอกภาษาอังกฤษ ชั้นปีที่ 3 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจำนวน 7 แห่ง จำนวนประชากรมีทั้งสิ้น 127 คน โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ (1) นักศึกษาชาย จำนวน 57 คน และ (2) นักศึกษาหญิง จำนวน 70 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย แบบทดสอบการอ่านเพื่อความเข้าใจของหัวเรื่องที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคย แบบทดสอบคำศัพท์ และแบบสอบถามความคุ้นเคยในหัวเรื่อง ซึ่งผู้วิจัยสร้างขึ้น ก่อนทำการเก็บข้อมูลจริง ผู้วิจัยได้จัดทำแบบสอบถามความคุ้นเคยในหัวเรื่องออกสอบถามนักศึกษาเอกภาษาอังกฤษชั้นปีที่ 3 จำนวน 40 คน ที่ไม่ใช่ตัวอย่างประชากร เพื่อเลือกหัวเรื่องสำหรับสร้างแบบทดสอบการอ่านเพื่อความเข้าใจของหัวเรื่องที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคย และแบบทดสอบคำศัพท์ เพื่อนำไปใช้ในการเก็บข้อมูลจริง
ผลของแบบสอบถามพบว่า นักศึกษาหญิงคุ้นเคยกับหัวเรื่องดังนี้ เรื่องการทำอาหารและเรื่องเครื่องสำอาง ส่วนนักศึกษาชายคุ้นเคยกับหัวเรื่องเกี่ยวกับเรื่องการขนส่งและเรื่องกีฬา ต่อจากนั้นผู้วิจัยค้นคว้าหาเนื้อความเกี่ยวกับหัวข้อดังกล่าวในวารสาร หนังสือพิมพ์ หรือนิตยสารภาษาอังกฤษ เพื่อสร้างแบบทดสอบการอ่านเพื่อความเข้าใจของหัวเรื่องที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคย และแบบทดสอบคำศัพท์ ซึ่งเครื่องมือนี้ได้รับการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาจากอาจารย์ที่ปรึกษาและอาจารย์สอนภาษาอังกฤษในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่ง
อาจารย์ทั้งสองคนเห็นพ้องว่าเนื้อหาถูกต้องและเหมาะสมในการในมาใช้ในงานวิจัยหลักครั้งนี้ จากนั้นผู้วิจัยนำแบบทดสอบการอ่านเพื่อความเข้าใจของหัวเรื่องที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคย และแบบทดสอบคำศัพท์ออกทดลองใช้กับนักศึกษาที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างประชากร เพื่อวัดค่าความเชื่อมั่นของข้อสอบ ผลจากการทดลองใช้ข้อสอบ ผู้วิจัยได้แก้ไขข้อสอบบางข้อ และค่าความเชื่อมั่นของข้อสอบการอ่านเพื่อความเข้าใจของหัวเรื่องที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคย และแบบทดสอบคำศัพท์คือ 0.78 และ 0.80 ตามลำดับ แบบสอบถามเพื่อวัดความคุ้นเคยเกี่ยวกับหัวเรื่องได้รับการตรวจจากอาจารย์ที่ปรึกษาในด้านความเหมาะสมเกี่ยวกับหัวข้อในการทดลองจริง นักศึกษาทำแบบทดสอบการอ่านเพื่อความเข้าใจของหัวเรื่องที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคย และแบบทดสอบคำศัพท์ หลังจากนั้นนักศึกษาได้ให้ระดับคะแนนหัวเรื่องที่คุ้นเคยมากที่สุดและหัวเรื่องที่คุ้นเคยน้อยที่สุดในแบบสอบถามวัดความคุ้นเคยเกี่ยวกับหัวเรื่อง ค่า Pearson’s correlation coefficient ได้นำมาใช้เพื่อทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างความคุ้นเคยเกี่ยวกับหัวเรื่อง คำศัพท์ และความเข้าใจในการอ่าน และค่าสถิติ t-test ได้นำมาใช้เพื่อทดสอบว่านักศึกษาชายจะได้คะแนนสูงกว่านักศึกษาหญิงอย่างมีนัยสำคัญ เมื่ออ่านหัวเรื่องที่นักศึกษาชายคุ้นเคย และ นักศึกษาหญิงจะได้คะแนนสูงกว่านักศึกษาชายอย่างมีนัยสำคัญ เมื่ออ่านหัวเรื่องที่นักศึกษาหญิงคุ้นเคย ระดับนัยสำคัญทางสถิติคือ .05
ผลการวิจัยสนับสนุนสมมติฐานการวิจัยที่ว่าคะแนนในแบบทดสอบการอ่านเพื่อความเข้าใจของหัวเรื่องที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคย และแบบทดสอบคำศัพท์ มีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ อย่างไรก็ตามผลการวิจัยไม่สนับสนุนสมมติฐานการวิจัยที่ว่านักศึกษาจะทำคะแนนในแบบทดสอบการอ่านเพื่อความเข้าใจของหัวเรื่องที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคย ได้สูงอย่างมีนัยสำคัญในหัวเรื่องที่นักศึกษาคุ้นเคยมากกว่าในหัวเรื่องที่นักศึกษาไม่คุ้นเคย จากการวิจัยเกี่ยวกับความแตกต่างด้านเพศ ผลการวิจัย พบว่า แม้ว่านักศึกษาหญิงจะทำคะแนนได้สูงกว่านักศึกษาชายในหัวเรื่องที่เกี่ยวกับนักศึกษาหญิง แต่คะแนนที่ได้ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นผลการวิจัยไม่สนับสนุนสมมติฐานการวิจัยที่ว่านักศึกษาหญิงจะได้คะแนนสูงกว่านักศึกษาชายอย่างมีนัยสำคัญในหัวเรื่องที่เกี่ยวกับนักศึกษาหญิง นอกจากนี้ผลการวิจัยยังพบว่านักศึกษาหญิงได้คะแนนสูงกว่านักศึกษาชายในหัวเรื่องที่เกี่ยวกับนักศึกษาชาย แต่คะแนนที่ได้ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นผลการวิจัยไม่สนับสนุนสมมติฐานการวิจัยที่ว่านักศึกษาชายจะได้คะแนนสูงกว่านักศึกษาหญิงอย่างมีนัยสำคัญในหัวเรื่องที่เกี่ยวกับนักศึกษาชาย
จากผลการวิจัยครั้งนี้สามารถสรุปได้ว่า คำศัพท์มีความสัมพันธ์กันกับความเข้าใจในการอ่าน ซึ่งหมายความว่านักศึกษาจะเข้าใจเนื้อหาที่อ่านได้ดีขึ้น ถ้านักศึกษารู้คำศัพท์ในเนื้อหานั้นๆ ดังนั้นนักศึกษาควรเตรียมความพร้อมในการรับรู้และมีความคงทนในการจำคำศัพท์ กิจกรรมต่างๆในการรับรู้คำศัพท์ เช่น อ่านเนื้อเรื่องที่คุ้นเคย หาคำศัพท์ในพจนานุกรมและออกเสียงคำศัพท์นั้น นอกจากนั้นนักศึกษาสามารถเพิ่มพูนคำศัพท์ด้วยการฝึกสะกดคำศัพท์ จดคำศัพท์ เขียนและพูดคำศัพท์ซ้ำๆ นอกจากนั้นจากผลการวิจัยสามารถสรุปได้ว่าความคุ้นเคยในหัวเรื่องไม่มีผลต่อความเข้าใจในการอ่าน ทั้งนี้อาจเป็นไปได้ว่าประโยคของหัวเรื่องที่เกี่ยวกับเครื่องสำอางและการขนส่งซึ่งเป็นหัวเรื่องที่ไม่ คุ้นเคย สั้นและไม่ซับซ้อน ดังนั้นนักศึกษาสามารถเข้าใจความหมายของประโยคได้ง่าย นอกจากนั้นใน เรื่องรูปแบบการเขียน ผู้เขียนจะเน้นเนื้อหาหลักของเรื่องในช่วงแรกและต่อด้วยเนื้อหาเฉพาะ และเนื้อหาแต่ละย่อหน้าของทั้งสองเรื่องนั้นสั้นและประกอบด้วยประโยคเพียง 1-2 ประโยคเท่านั้น ดังนั้น นักศึกษาจึงสามารถเข้าใจลำดับการเขียนของผู้เขียนได้ง่าย ในส่วนของหัวเรื่องเกี่ยวกับการทำอาหาร และกีฬา ประโยคแต่ละประโยคสั้นแต่มีความซับซ้อนมากกว่าเรื่องเกี่ยวกับเครื่องสำอางและเรื่องการขนส่ง ดังนั้นจึงอาจจะทำให้นักศึกษาประสบปัญหาในการอ่าน สำหรับเรื่องความแตกต่างของเพศ ผลการวิจัยพบว่าความแตกต่างของเพศไม่มีผลต่อการความเข้าใจในการอ่านหัวเรื่องเกี่ยวกับ การทำอาหาร เครื่องสำอาง การขนส่งและกีฬา เมื่อนักศึกษาชายและนักศึกษาหญิงอ่านเรื่องที่นักศึกษาคุ้นเคยอยู่แล้ว เนื่องจากอาจเป็นเพราะผู้วิจัยได้พยายามทำให้จำนวนนักศึกษาชายและนักศึกษาหญิงมีจำนวนเท่ากัน แต่จำนวนนักศึกษาหญิงมีจำนวนมากกว่านักศึกษาชายเนื่องจากนักศึกษาชายมีจำนวนจำกัด ผลของการวิจัยจึงทำให้เพศไม่มีผลต่อการอ่านเพื่อความเข้าใจ นอกจากนั้น จากการศึกษาเรื่องหน้าที่ของสมองฝั่งซ้ายและฝั่งขวาพบว่า โดยทั่วไปแล้วสมองฝั่งซ้ายจะถูกใช้พัฒนาขบวนการการเรียนรู้ทางภาษา และผู้หญิงใช้สมองฝั่งซ้ายในการพัฒนาขบวนการการเรียนรู้ทางภาษาได้ดีกว่าผู้ชาย ดังนั้นผู้หญิงจึงมีความสามารถในการเรียนรู้ทางภาษาได้ดีกว่าผู้ชาย