Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

งานวิจัย : การเปิดรับหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นที่มีเนื้อหาทางเพศของเด็กวัยรุ่นในเขตกรุงเทพมหานครกับทัศนคติต่อเพศสัมพันธ์

จุติมา เพชรรัตน์ (2541) นิสิตปริญญาโทสาขาวิชาการหนังสือพิมพ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการวิจัยเรื่อง การเปิดรับหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นที่มีเนื้อหาทางเพศของเด็กวัยรุ่นในเขตกรุงเทพมหานครกับทัศนคติต่อเพศสัมพันธ์ ผลการวิจัยพบว่า 1. จากการวิเคราะห์การเปิดรับหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นที่มีเนื้อหาทางเพศของเด็กวัยรุ่นในเขต กทม. พบว่าเด็กวัยรุ่นที่เป็นกลุ่มตัวอย่างโดยส่วนใหญ่จะเคยอ่านหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นประเภทนี้ ทั้งนี้ส่วนใหญ่กลุ่มตัวอย่างจะมีความถี่ในการอ่านหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นเหล่านี้คือแล้วแต่โอกาสและสถานที่ใดก็อ่านได้หมด และมีความชอบที่จะอ่านหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นดังกล่าว 2. จากการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการเปิดรับสื่อการ์ตูนญี่ปุ่นประเภทนี้กับทัศนคติต่อเพศสัมพันธ์ของเด็กวัยรุ่น พบว่า เพศต่างกันที่อ่านหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นเหล่านี้มีความสัมพันธ์กันกับทัศนคติด้านเพศศึกษาทั่วไปแต่ไม่มีความสัมพันธ์กับทัศนคติด้านการใช้ชีวิตคู่ของผู้หญิงและผู้ชาย, ด้านพฤติกรรมการแสดงออกทางเพศ และสื่อมวลชนที่นำเสนอเรื่องราวทางเพศ ส่วนอายุของกลุ่มตัวอย่างที่แตกต่างกันมีความสัมพันธ์กับทัศนคติในเรื่องเพศศึกษาทั่วไปและด้านการใช้ชีวิตคู่ของผู้หญิงและผู้ชาย แต่ไม่มีความสัมพันธ์กับทัศนคติเกี่ยวกับพฤติกรรมการแสดงออกทางเพศ และสื่อมวลชนที่นำเสนอเรื่องราวทางเพศ และนักเรียนที่เคยอ่านและไม่เคยอ่านหนังสือการ์ตูนไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการแสดงออกทางเพศ แต่มีความสัมพันธ์กับทัศนคติในเรื่องเพศศึกษาทั่วไป

จุติมา เพชรรัตน์. (2541). การเปิดรับหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นที่มีเนื้อหาทางเพศของเด็กวัยรุ่นในเขตกรุงเทพมหานครกับทัศนคติต่อเพศสัมพันธ์. วิทยานิพนธ์ น.ม. (การหนังสือพิมพ์). กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. อาจารย์ที่ปรึกษา : รศ.รจิตลักขณ์ แสงอุไร

 

การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ทราบถึงการเปิดรับสื่อการ์ตูนญี่ปุ่นที่มีเนื้อหาทางเพศของเด็กวัยรุ่นในเขตกรุงเทพมหานครและศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการเปิดรับสื่อการ์ตูนญี่ปุ่นประเภทนี้กับทัศนคติต่อเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่น

ผลการวิจัยพบว่า 

  1. จากการวิเคราะห์การเปิดรับหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นที่มีเนื้อหาทางเพศของเด็กวัยรุ่นในเขต กทม. พบว่าเด็กวัยรุ่นที่เป็นกลุ่มตัวอย่างโดยส่วนใหญ่จะเคยอ่านหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นประเภทนี้ ทั้งนี้ส่วนใหญ่กลุ่มตัวอย่างจะมีความถี่ในการอ่านหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นเหล่านี้คือแล้วแต่โอกาสและสถานที่ใดก็อ่านได้หมด และมีความชอบที่จะอ่านหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นดังกล่าว 
  2. จากการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการเปิดรับสื่อการ์ตูนญี่ปุ่นประเภทนี้กับทัศนคติต่อเพศสัมพันธ์ของเด็กวัยรุ่น พบว่าเพศต่างกันที่อ่านหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นเหล่านี้มีความสัมพันธ์กันกับทัศนคติด้านเพศศึกษาทั่วไปแต่ไม่มีความสัมพันธ์กับทัศนคติด้านการใช้ชีวิตคู่ของผู้หญิงและผู้ชาย, ด้านพฤติกรรมการแสดงออกทางเพศและสื่อมวลชนที่นำเสนอเรื่องราวทางเพศ อีกทั้งประเภทของโรงเรียนที่แตกต่างกันมีความสัมพันธ์กับทัศนคติในเรื่องเพศศึกษาทั่วไปและการใช้ชีวิตคู่ของผู้หญิงและผู้ชาย แต่ไม่มีความสัมพันธ์กับทัศนคติเกี่ยวกับพฤติกรรมการแสดงออกทางเพศและสื่อมวลชนที่นำเสนอเรื่องราวทางเพศ นอกจากนี้อายุของกลุ่มตัวอย่างที่แตกต่างกันมีความสัมพันธ์กับทัศนคติในเรื่องเพศศึกษาทั่วไปและด้านการใช้ชีวิตคู่ของผู้หญิงและผู้ชาย แต่ไม่มีความสัมพันธ์กับทัศนคติเกี่ยวกับพฤติกรรมการแสดงออกทางเพศ และสื่อมวลชนที่นำเสนอเรื่องราวทางเพศ และนักเรียนที่เคยอ่านและไม่เคยอ่านหนังสือการ์ตูนไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการแสดงออกทางเพศ แต่มีความสัมพันธ์กับทัศนคติในเรื่องเพศศึกษาทั่วไป, การใช้ชีวิตคู่ของผู้หญิงและผู้ชายและสื่อมวลชนที่นำเสนอเรื่องราวทางเพศ ส่วนโรงเรียนแต่ละแห่งมีความสัมพันธ์กับทัศนคติในเรื่องเพศศึกษาทั่วไป, การใช้ชีวิตคู่ของผู้หญิงและผู้ชายแต่ไม่มีความสัมพันธ์กับทัศนคติเกี่ยวกับพฤติกรรมการแสดงออกทางเพศและสื่อมวลชนที่นำเสนอเรื่องราวทางเพศ อีกทั้งโรงเรียนประเภทสหศึกษา,โรงเรียนชายล้วนและโรงเรียนหญิงล้วนมีความสัมพันธ์กับทัศนคติด้านการใช้ชีวิตคู่ของผู้หญิงและผู้ชายแต่ไม่มีความสัมพันธ์กับทัศนคติในเรื่องเพศศึกษาทั่วไป,พฤติกรรมการแสดงออกทางเพศและสื่อมวลชนที่นำเสนอเรื่องราวทางเพศพฤติกรรมการซื้อหนังสือการ์ตูนของกลุ่มตัวอย่างที่เคยอ่านหนังสือการ์ตูนประเภทนี้พบว่ามีความสัมพันธ์กับทัศนคติในเรื่องเพศศึกษาทั่วไปและสื่อมวลชนที่นำเสนอเรื่องราวทางเพศแต่ไม่มีความสัมพันธ์กับทัศนคติด้านการใช้ชีวิตคู่ของผู้หญิงและผู้ชายและพฤติกรรมการแสดงออกทางเพศ และความชอบไม่ชอบอ่านหนังสือการ์ตูนของกลุ่มตัวอย่างที่เคยอ่านหนังสือการ์ตูนประเภทนี้พบว่ามีความสัมพันธ์กับทัศนคติในเรื่องเพศศึกษาทั่วไปและการใช้ชีวิตคู่ของผู้หญิงและผู้ชายแต่ไม่มีความสัมพันธ์กันกับพฤติกรรมการแสดงออกทางเพศและสื่อมวลชนที่นำเสนอเรื่องราวทางเพศ