งานวิจัย : การเปรียบเทียบความสามารถในการอ่าน ความสามารถในการเขียน และแรงจูงใจในการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
ฉัตรชัย อภิวันท์สนอง (2547) นิสิตปริญญาโท สาขาการมัธยมศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้ทำวิจัยเรื่อง การเปรียบเทียบความสามารถในการอ่าน ความสามารถในการเขียน และแรงจูงใจในการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการสอนด้วยวิธีการสอนตามแนวทฤษฎีการสอนภาษาแบบอรรถฐานกับวิธีการสอนตามคู่มือครู กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา จำนวน 80 คน แบ่งออกเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ผลการทดลอง พบว่า 1. ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุมไม่แตกต่างกัน 2. ความสามารถในการเขียนภาษาอังกฤษ และแรงจูงใจในการเรียนภาษาอังกฤษของกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
ฉัตรชัย อภิวันท์สนอง. (2547). การเปรียบเทียบความสามารถในการอ่าน ความสามารถในการเขียน และแรงจูงใจในการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการสอนด้วยวิธีการสอนตามแนวทฤษฎีการสอนภาษาแบบอรรถฐานกับวิธีการสอนตามคู่มือครู.ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การมัธยมศึกษา). กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. คณะกรรมการควบคุม : รองศาสตราจารย์ ดร. เสาวลักษณ์ รัตนวิชช์, รองศาสตราจารย์ อัจฉรา สุขารมณ์.
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่าน ความสามารถในการเขียนและแรงจูงใจในการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการสอนด้วยวิธีการสอนตามแนวทฤษฎีการสอนภาษาแบบอรรถฐานกับการสอนตามคู่มือครู โดยทำการทดลองกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2547 ได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย จำนวน 80 คน แบ่งเป็น กลุ่มทดลอง 40 คน และกลุ่มควบคุม 40คน ดำเนินการทดลองโดยใช้แผนการทดลองแบบ Randomized Control Group Pretest-Posttest Design กลุ่มทดลองได้รับการสอนด้วยวิธีการสอนตามแนวทฤษฎีการสอนภาษาแบบอรรถฐาน กับกลุ่มควบคุมได้รับการสอนด้วยวิธีการสอนตามคู่มือครูใช้เวลาในการทดลองสอนกลุ่มละ 20 คาบ คาบละ 50 นาที เนื้อหาที่ใช้ในการทดลองสอนทั้งสองกลุ่มเป็นเนื้อหาเดียวกัน
ในการดำเนินการทดลอง ผู้วิจัยได้ทดสอบนักเรียนทั้งสองกลุ่ม ก่อนและหลังการทดลอง โดยใช้แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่าน แบบทดสอบวัดความสามารถในการเขียน และแบบสอบถามวัดแรงจูงใจในการเรียนวิชาภาษาอังกฤษชุดเดียวกัน จากนั้นนำคะแนนที่ได้มาทำการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่าน ความสามารถในการเขียน และแรงจูงใจในการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยใช้ t-test แบบ Independent Samples และเปรียบเทียบความสามารถในการอ่าน ความสามารถในการเขียน และแรงจูงใจในการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนทั้งสองกลุ่ม ก่อนและหลังการทดลอง โดยใช้ t-test แบบ Dependent Samples
ผลการทดลองปรากฎว่า
-
ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการสอนด้วยวิธีการสอนตามแนวทฤษฎีการสอนภาษาแบบอรรถฐานกับวิธีการสอนตามคู่มือครูไม่แตกต่างกัน
-
ความสามารถในการเขียนภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการสอนด้วยวิธีการสอนตามทฤษฎีการสอนภาษาแบบอรรถฐานกับวิธีการสอนตามคู่มือครูแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
-
แรงจูงใจในการเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5ที่ได้รับการสอนด้วยวิธีการสอนตามแนวทฤษฎี การสอนภาษาแบบอรรถฐาน กับวิธีการสอนตามคู่มือครูแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
-
ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างก่อนและหลังการได้รับการสอนตามแนวทฤษฎี การสอนภาษาแบบอรรถฐานแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
-
ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างก่อนและหลังการได้รับการสอนตามวิธีการสอนตามคู่มือครูแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
-
ความสามารถในการเขียนภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างก่อนและหลังการได้รับการสอนตามแนวทฤษฎีการสอนภาษาแบบอรรถฐานแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
-
ความสามารถในการเขียนภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างก่อนและหลังการได้รับการสอนตามวิธี การสอนตามคู่มือครูแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
-
แรงจูงใจในการเรียน วิชาภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างก่อนและหลังการได้รับการสอนตามแนวทฤษฎีการสอนภาษาแบบอรรฐานแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
-
แรงจูงใจในการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5ระหว่างก่อนและหลังการได้รับการสอนตามวิธีการสอนตามคู่มือครูไม่แตกต่างกัน