Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

งานวิจัย : การพัฒนาโมเดลเชิงสาเหตุนิสัยการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในกรุงเทพมหานคร

นิลเนตร นิลประดิษฐ์ (2549) นิสิตปริญญาโท สาขาวิจัยการศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำวิจัยเรื่อง การพัฒนาโมเดลเชิงสาเหตุนิสัยการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างมีจำนวน 408 คน ตัวแปรที่ใช้การวิจัยประกอบด้วย ตัวแปรภายในแฝง 3 ตัวแปร ได้แก่นิสัยการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในกรุงเทพมหานคร ปัจจัยด้านครอบครัว และปัจจัยด้านตัวผู้อ่าน และตัวแปรภายนอกแฝง 1 ตัวแปรคือ ปัจจัยด้านโรงเรียน ผลการวิจัยที่สำคัญ คือ 1. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในกรุงเทพมหานคร มีนิสัยการอ่านอยู่ในระดับปานกลาง โดยนักเรียนที่อยู่ในโรงเรียนขนาดใหญ่มีระดับนิสัยการอ่าน มากกว่านักเรียนที่อยู่ในโรงเรียนขนาดกลาง แต่ไม้พบความแตกต่างของระดับนิสัยการอ่านของนักเรียนที่อยู่คนละสังกัด 2. โมเดลเชิงสาเหตุนิสัยการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย ปัจจัยที่มีอิทธิพลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อนิสัยการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในกรุงเทพมหานคร โดยปัจจัยที่มีอิทธิพลรวมและมีอิทธิพลทางอ้อมสูงที่สุดคือ ปัจจัยด้านครอบครัว และปัจจัยที่มีอิทธิพลทางตรงสูงที่สุดต่อนิสัยการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในกรุงเทพมหานคร คือ ปัจจัยด้านโรงเรียน

นิลเนตร นิลประดิษฐ์. (2549).การพัฒนาโมเดลเชิงสาเหตุนิสัยการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในกรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์ ค.ม. (วิจัยการศึกษา). กรุงเทพฯ :บัณทิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. อาจารย์ที่ปรึกษา:อาจารย์ วรรณี แกมเกตุ

ศึกษาและเปรียบเทียบระดับนิสัยการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในกรุงเทพมหานคร เมื่อจำแนกตามสังกัดและขนาดของโรงเรียน เพื่อพัฒนาโมเดลเชิงสาเหตุนิสัยการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในกรุงเทพมหานคร และเพื่อตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลเชิงสาเหตุนิสัยการอ่าน ที่พัฒนาขึ้นกับข้อมูลเชิงประจักษ์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัยคือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียนในกรุงเทพมหานคร จำนวน 408 คน ตัวแปรที่ใช้การวิจัยประกอบด้วย ตัวแปรภายในแฝง 3 ตัวแปร ได้แก่นิสัยการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในกรุงเทพมหานคร ปัจจัยด้านครอบครัว และปัจจัยด้านตัวผู้อ่าน และตัวแปรภายนอกแฝง 1 ตัวแปรคือ ปัจจัยด้านโรงเรียน โดยตัวแปรแฝงวัดจากตัวแปรสังเกตได้ รวมทั้งหมด 16 ตัวแปร เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถาม ซึ่งมีความเที่ยงในการวัดตัวแปรสังเกตได้ตั้งแต่ 0.69-0.92 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์ค่าสถิติพื้นฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สันการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน และการวิเคราะห์โมเดลลิสเรล

ผลการวิจัยที่สำคัญสรุปได้ดังนี้

  1. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในกรุงเทพมหานคร มีนิสัยการอ่านอยู่ในระดับปานกลาง โดยนักเรียนที่อยู่ในโรงเรียนขนาดใหญ่มีระดับนิสัยการอ่าน มากกว่านักเรียนที่อยู่ในโรงเรียนขนาดกลาง แต่ไม้พบความแตกต่างของระดับนิสัยการอ่านของนักเรียนที่อยู่คนละสังกัด
  2. โมเดลเชิงสาเหตุนิสัยการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย ปัจจัยที่มีอิทธิพลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อนิสัยการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในกรุงเทพมหานคร โดยปัจจัยที่มีอิทธิพลรวมและมีอิทธิพลทางอ้อมสูงที่สุดคือ ปัจจัยด้านครอบครัว และปัจจัยที่มีอิทธิพลทางตรงสูงที่สุดต่อนิสัยการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในกรุงเทพมหานคร คือ ปัจจัยด้านโรงเรียน

  3. โมเดลเชิงสาเหตุของนิสัยการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในกรุงเทพมหานคร โดยภาพรวมมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยให้ค่าไค-สแควร์ (Chi-square) เท่ากับ 22.374 ที่องศาอิสระเท่ากับ 42 ที่ระดับความน่าจะเป็น เท่ากับ 0.994 มีค่า GFI เท่ากับ 0.993 ค่า AGFI เท่ากับ 0.979 และค่า RMR เท่ากับ 0.006 ตัวแปรในโมเดลสามารถอธิบายความแปรปรวน ของนิสัยการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในกรุงเทพมหานคร ได้ 91%