Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

งานวิจัย : การทดลองใช้พฤติกรรมความคาดหวังของครู ผู้ปกครอง ประกอบการสอนซ่อมเสริมเพื่อพัฒนาความสามารถทางการอ่าน อัตมโนทัศน์ และความสนใจในวิชาภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2

พัฒนศรี  ไชยันบูรณ์.  (2538)  นิสิตปริญญาโทสาขาวิชาจิตวิทยาการศึกษา   มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ  ได้ทำการวิจัยเรื่องการทดลองใช้พฤติกรรมความคาดหวังของครู  ผู้ปกครอง  ประกอบการสอนซ่อมเสริมเพื่อพัฒนาความสามารถทางการอ่าน  อัตมโนทัศน์  และความสนใจในวิชาภาษาไทย  ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2    กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียน โรงเรียนสุเหร่าจรเข้ขบ กรุงเทพมหานคร  ที่มีความบกพร่องทางการอ่านจากการเลือกของครูประจำชั้น  สติปัญญาระดับปกติจากการทดสอบด้วยแบบทดสอบสติปัญญาของราเวน  ชุดที่ 1(The  Coloured  progressive  Matrices)  จำนวน 32คน  แล้วสุ่มแบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 8กลุ่ม  กลุ่มละ 4 คน  แต่ละกลุ่มจะได้รับปัจจัยร่วมคือพฤติกรรมคาดหวัง (ครู  ผู้ปกครอง  ครูและผู้ปกครอง  ไม่ได้รับพฤติกรรมคาดหวัง)  และแบบของการสอนซ่อมเสริม (แบบกลุ่ม รายบุคคล)  ใช้เวลาทดลองสัปดาห์ละ 2วัน  วันละ 30นาที  ผลการวิจัยพบว่า 1. นักเรียนที่เรียนโดยได้รับพฤติกรรมคาดหวังจากครูและผู้ปกครอง  มีความสามารถทางการอ่านสูงกว่านักเรียนที่เรียนโดยไม่ได้รับพฤติกรรมคาดหวังอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05  2.  นักเรียนที่เรียนโดยได้รับพฤติกรรมคาดหวังจากครูและผู้ปกครอง  มีอัตมโนทัศน์สูงกว่านักเรียนที่เรียนโดยได้รับพฤติกรรมคาดหวังจากผู้ปกครอง  และนักเรียนที่เรียนโดยไม่ได้รับพฤติกรรมคาดหวังอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05  3.  นักเรียนที่เรียนโดยได้รับพฤติกรรมคาดหวังจากครูและผู้ปกครอง  พฤติกรรมคาดหวังจากครูมีความสนใจในวิชาภาษาไทยสูงกว่านักเรียนที่เรียนโดยไม่ได้รับพฤติกรรมคาดหวังอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05

พัฒนศรี  ไชยันบูรณ์.  (2538).  การทดลองใช้พฤติกรรมความคาดหวังของครู  ผู้ปกครอง  ประกอบการสอนซ่อมเสริมเพื่อพัฒนาความสามารถทางการอ่าน  อัตมโนทัศน์  และความสนใจในวิชาภาษาไทย  ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2.  ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (จิตวิทยาการศึกษา).กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.  คณะกรรมการควบคุม :รองศาสตราจารย์ ดวงเดือน ศาสตราภัทร ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ประณต เค้าฉิม

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความสามารถทางการอ่าน  อัตมโนทัศน์  และความสนใจในวิชาภาษาไทย  ที่มีการใช้แหล่งที่มาของพฤติกรรมคาดหวังและแบบของการสอนซ่อมเสริมต่างกัน   กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย  ได้แก่  นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2  ปีการศึกษา 2537  โรงเรียนสุเหร่าจรเข้ขบกรุงเทพมหานคร  ที่มีความบกพร่องทางการอ่าน  จากการเลือกของครูประจำชั้น  สติปัญญาระดับปกติจากการทดสอบด้วยแบบทดสอบสติปัญญาของราเวน  ชุดที่ 1(The  Coloured  progressive  Matrices)  จำนวน 32คน  แล้วสุ่มแบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 8กลุ่ม  กลุ่มละ 4 คน  แต่ละกลุ่มจะได้รับปัจจัยร่วมคือพฤติกรรมคาดหวัง (ครู  ผู้ปกครอง  ครูและผู้ปกครอง  ไม่ได้รับพฤติกรรมคาดหวัง)  และแบบของการสอนซ่อมเสริม (แบบกลุ่ม  รายบุคคล)  ใช้เวลาทดลองสัปดาห์ละ 2วัน  วันละ 30นาที  รวมเวลาทดลองทั้งสิ้น 10สัปดาห์  ผู้วิจัยดำเนินการทดลองเองทุกกลุ่ม  โดยใช้แบบแผนการทดลองแบบ Completely  Randomized  Factorial  Design

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่  แบบฝึกการอ่านภาษาไทย  แบบทดสอบวัดความสามารถทางการอ่าน  และแบบวัดอัตมโนทัศน์  และแบบวัดความสนใจในวิชาภาษาไทย  สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล  ได้แก่  ค่าเฉลี่ย  ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน  การวิเคราะห์ความแปรปรวนสององค์ประกอบ  และเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยเป็นรายคู่ด้วยวิธีของตูกี

ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้

  1. นักเรียนที่เรียนโดยได้รับพฤติกรรมคาดหวังจากครูและผู้ปกครอง มีความสามารถทางการอ่านสูงกว่านักเรียนที่เรียนโดยไม่ได้รับพฤติกรรมคาดหวังอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนนักเรียนที่เรียนโดยได้รับพฤติกรรมคาดหวังจากครู พฤติกรรมคาดหวังจากผู้ปกครอง และไม่ได้รับพฤติกรรมคาดหวังมีความสามารถทางการอ่านไม่แตกต่างกัน
  2. นักเรียนที่เรียนโดยได้รับพฤติกรรมคาดหวังจากครูและผู้ปกครอง มีอัตมโนทัศน์สูงกว่านักเรียนที่เรียนโดยได้รับพฤติกรรมคาดหวังจากผู้ปกครอง และนักเรียนที่เรียนโดยไม่ได้รับพฤติกรรมคาดหวังอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 นักเรียนที่เรียนได้รับพฤติกรรมคาดหวังจากครู มีอัตมโนทัศน์สูงกว่านักเรียนที่เรียนโดยไม่ได้รับพฤติกรรมคาดหวังอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
  3. นักเรียนที่เรียนโดยได้รับพฤติกรรมคาดหวังจากครูและผู้ปกครอง พฤติกรรมคาดหวังจากครูมีความสนใจในวิชาภาษาไทยสูงกว่านักเรียนที่เรียนโดยไม่ได้รับพฤติกรรมคาดหวังอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 นักเรียนที่เรียนได้รับพฤติกรรมคาดหวังจากผู้ปกครองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
  4. นักเรียนที่ได้รับการสอนซ่อมเสริมแบบกลุ่ม และนักเรียนที่ได้รับการสอนซ่อมเสริมเป็นรายบุคคลมีความสามารถทางการอ่านไม่แตกต่างกัน
  5. นักเรียนที่ได้รับการสอนซ่อมเสริมแบบกลุ่ม มีอัตมโนทัศน์สูงกว่านักเรียนที่ได้รับการสอนซ่อมเสริมเป็นรายบุคคลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
  6. นักเรียนที่ได้รับสอนซ่อมเสริมแบบกลุ่ม มีความสนใจในวิชาภาษาไทยสูงกว่านักเรียนที่ได้รับการสอนซ่อมเสริมเป็นรายบุคคลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ