คำบอกเล่าของ “อนุสรณ์ ศรีคำขวัญ”

คำบอกเล่าของ "อนุสรณ์ ศรีคำขวัญ" นักเขียนเรื่องสั้นรางวัลนายอินทร์อะวอร์ด
คุณอยากฟังเรื่องราวชีวิตและงานเขียนของผมหรือครับ….โอว์ว์…รู้สึกเป็นเกียรติและยินดีมากเลยครับ…เรื่องของผมก็มีอย่างนี้แหละนะ
อันดับแรกเลยผมมีนามปากกานะ เป็นนามปากกาแรกก่อนใช้ อนุสรณ์ ศรีคำขวัญ ซะอีก ผมใช้นามปากกาว่า ‘ใบคา’ ใช้เขียนกลอนในเว็บไซต์ thaipoem.com แต่ผมก็ลงชื่อจริงไว้นะว่า ไอ้ใบคานี่ คือ อนุสรณ์ ศรีคำขวัญ ว่าด้วยเรื่องนามปากกา สำหรับผมแล้วมาจากหลายส่วนรวมกัน แรกเลยผมเป็นคนที่ด้อยเรื่องการตั้งชื่อ เรื่องสั้นหลายชิ้นของผมตัวละครไม่มีชื่อด้วยซ้ำ
อีกประการคือ อนุสรณ์ แปลว่า ที่ระลึก อยากให้ผู้อ่านระลึกถึงหลังอ่านงานผม เมื่อถอด ‘การันต์’ ออก ก็จะกลายเป็น ‘อนุสรณ’ (อ่านว่า อะ -นุ – สะ – ระ – นะ) ซึ่ง อนุ แปลว่า เล็กๆ ส่วน สรณ แปลว่า ที่พึ่ง รวมกันกลายเป็น ที่พึ่งเล็กๆ ใช้สำหรับเตือนตัวเองว่า พึงพึ่งตัวเองเข้าไว้ ผมเคยคิดจะใช้นามปากกาว่า อนุสรณ แต่คนรอบข้างก็ยังอ่านว่า อนุสรณ์ อยู่ดี พอเติม สระอะ (เป็น อนุสรณะ) ดันอ่านเป็น อนุสร – นะ อืม! เอาเข้าไป ผมเลยเลิกล้ม ครั้นจะให้ใส่สระอะหลังตัวอักษรทุกตัว ก็ไม่อยากได้อีก
สรุปแล้ว ศรีคำขวัญ มันก็ดูเข้ากับการเขียนหนังสือดีนะ ผมเลยชอบชื่อจริง อนุสรณ์ ศรีคำขวัญสุดท้าย หากใช้นามปากกาอาจจะทำให้ผู้อ่านเสียเวลาในการสืบค้นว่าไอ้นี่คือใคร ไม่ว่าจะชมหรือด่า คือไม่ต้องเสียเวลาค้นหรอก คนคนนั้นคือผมคนนี้แหละ ผมพร้อมเสมอ อย่างที่ถามนั่นละ ผมพอใจและยินยอมให้สังคมรับรู้ว่า ผมเขียนอะไรบ้าง แนวไหนบ้างเพราะผมถือว่า ‘ผมไม่ได้เขียนเพราะคุณชอบแต่ผมเขียนให้คุณชอบ’ ไม่ชอบก็แล้วไป (หัวเราะ)
ทำไมผมถึงได้ไปเขียนงานเขียนแนวอื่นๆ…งานเขียนที่ไม่ใช่วรรณกรรมใช้เลี้ยงท้อง งานวรรณกรรมเลี้ยงใจครับ ความสามารถและประสบการณ์ทางวรรณกรรมของผม ณ ตอนนี้ไม่สามารถเลี้ยงปากเลี้ยงท้องให้อิ่มอยู่ตลอดเวลาได้ อีกอย่างผมไม่มีอาชีพอื่นและไม่คิดจะทำนอกจากการเขียน อย่างน้อยถึงไม่ใช่แนววรรณกรรมก็ยังได้เขียน เป็นการฝึกฝนอยู่ในตัวก็ต้องทำไปเพื่อความอยู่รอดครับ
คุณถามผมถึงงานเขียนทุกประเภทอื่นๆ อย่างงั้นหรือ…อ๋อ… ผมให้ความสำคัญกับมันหมด เช่น ครั้งที่ทำหนังสือสอนเล่น Rubik’s Cube ผมเล่นไม่เป็นเลย แต่อยากทำหนังสือสอนเพราะเห็นว่ากระแสมา แล้วไม่มีใครทำ อย่างน้อยน่าจะขายได้บ้าง ผมเริ่มต้นด้วยการไปปรึกษาชมรมรูบิคไทยแล้วมาฝึกเล่น มองมันทุกขั้นตอน พยายามมองออกมาเป็นภาพนิ่งและหาคำอธิบายเป็นตัวอักษร ผมฝึกเล่นอยู่ 1 เดือนกว่าๆ โดยไม่ทำงานอื่นเลย กระทั่งเข้าใจ หลังจากนั้นก็เริ่มถอดเป็นภาพนิ่งและเขียนคำอธิบาย
ผมแก้ไขถึง 7 ครั้ง ใช้เวลาอีก 1 เดือน เสร็จแล้วเอาไปให้เพื่อนเล่นโดยไม่อธิบายอะไรเลย ปรากฏว่าเพื่อนทำได้ แต่ก็มีติดๆ ขัดๆ บ้าง ผมเอาข้อด้อยเหล่านั้นมาปรับแก้อีก 2 ครั้ง จึงออกมาสมบูรณ์ ล่าสุดก็ทำเป็นหนังสือสอนรำไทเก๊ก เล่มนี้ผมไปคลุกอยู่กับสมาคมไทเก๊กพักหนึ่ง คือไม่ว่าแนวไหนๆ ถ้าออกมาจากตัวผมแล้วมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดครับ ผมมองว่าถ้างานที่เขียน มันจรดไปพร้อมกับใจ งานย่อมออกมาดี
คุณว่าไงนะ…อ๋อ…ทำไมผมถึงอยากเป็นนักเขียนใช่ไหม….ตอนเป็นเด็กที่ชอบอ่านหนังสือการ์ตูน ไม่ค่อยชอบเที่ยวเตร่กับเพื่อน วันๆ ก็จะคลุกอยู่แต่ในบ้าน เปิดอ่านการ์ตูนขายหัวเราะซ้ำแล้วซ้ำอีก ที่อ่านซ้ำนี่เพราะบ้านอยู่ไกลตลาด จำเป็นต้องอ่านเล่มเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา อยู่ในโรงเรียนผมมักหลบมุมอ่านหนังสือคนเดียว มันแปลกตรงที่บ่อยครั้งที่ผมอ่านเรื่องอะไรแล้ว วันรุ่งขึ้นต้องมีครูสักคนถามหน้าชั้นว่า มีใครรู้จัก หรือรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้น เรื่องนี้ไหม ซึ่งมันตรงกับเรื่องที่ผมอ่านมาก่อนหน้านั้น และผมก็ตอบได้อยู่คนเดียว เรียกความสนใจ เสียงปรบมือจากเพื่อนเป็นอย่างดีจนผมยิ้มแก้มแทบปริ ส่งผลให้อยากอ่านอีก
มาถึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้อยากเขียน ช่วงประถมผมทะเลาะกับเพื่อนร่วมชั้น ถึงขนาดนัดต่อยกันหลังเลิกเรียน ผมท้าว่า ‘ถ้าใครไม่มาเป็นหมา’ ปรากฏว่าเย็นวันนั้น ผมคอยเก้ออยู่ตั้งนานรุ่งขึ้นผมก็เลยด่าเพื่อนคนนั้นว่า “ไอ้หมา” แต่มันทำเฉย ผมจึงเปลี่ยนเป็นเขียนกลอนด่า สนุกครับ เพื่อนคนอื่นอ่านกันสนุกสนาน ไอ้เพื่อนหมาคนนั้นหน้าเสียยิ้มไม่ออกเชียว ตั้งแต่ตอนนั้นผมก็ชอบเขียนกลอนในบัดดล ฝึกเขียนทุกวัน สมุดเรียนเต็มไปด้วยกลอน พอโตขึ้นก็มาฝึกเขียนพวกเรื่องสั้น ตอนนี้ทำให้เขียนกลอนไม่ได้อีกเลย (หัวเราะ)
เกี่ยวกับกลุ่มวรรณกรรมที่ผมมีส่วนร่วมน่ะหรือ… ผมไม่มีเหตุผลของการรวมกลุ่มครับ แรกๆ เลยไม่คิดด้วยซ้ำ แต่ที่เข้ากลุ่มเนี่ย เพราะได้รู้จักกับพี่นักเขียนคนหนึ่ง เขากำลังรวบรวมเพื่อนๆ ทำกลุ่มวรรณกรรมกันอยู่ ชื่อ ‘ปูทะเลย์มหาสมุด’ ผมก็เลยขอเข้าร่วมด้วยเพราะอยากจะฝึกฝนการเขียน งานในกลุ่มก็เริ่มจากการไปขอทุนจากนายทุนมาพิมพ์หนังสือ นายทุนก็ใจดีให้เงินซะงั้น แต่มีข้อแม้ว่าอย่าขาดทุน ทำไปได้ 3 – 4 เดือนก็เกือบๆ 10 เล่ม (หัวเราะ) นายทุนบอก “พอเถอะ”
ในระหว่างนี้ก็ได้เรียนรู้เรื่องระบบการพิมพ์ ระบบสายส่ง ต่างๆ นานา พอถูกตัดท่อน้ำเลี้ยง ก็เขวนิดหน่อย ก็แค่อดมื้อกินมื้อ กินกล้วยน้ำว้าแทนข้าวบ้างเป็นบางวัน เท่านั้นเอง ไอ้ที่ผอมอยู่แล้วก็ผอมเข้าไปอีก ดีที่ยังเป็นที่รักของเพื่อนๆ อยู่บ้าง พอประทังชีวิตรอดมาได้ ด้วยความที่ได้ เรียนรู้อะไรบางอย่างจากนายทุน ก็เริ่มมองทางด้านการตลาดมากขึ้น หรือเพราะอดก็ไม่รู้แน่ (หัวเราะ) ก็เลยทำหนังสือเล่มหนึ่ง คือ บิดเล่นๆ เป็นรูบิค เกี่ยวกับวิธีสอนเล่นรูบิค เอาต้นฉบับเข้าไปเสมอสายส่งขอให้ช่วยออกค่าพิมพ์ให้หน่อย พูดจนเขายอม จึงทำให้จากที่ไม่มีกิน สามารถมีทุนพิมพ์หนังสือออกมาได้อีก 3 – 4 เล่ม และกลับมานอนซมอีกครั้ง เพราะหนังสือที่พิมพ์ด้วยทุนตัวเองนั้น มันไม่ทำกำไรเลย แต่พอรวมกลุ่มกันได้สักพักแล้วเนี่ย ความคิดเรื่องการสร้างกลุ่มผู้อ่าน คล้ายๆ แฟนคลับ ก็เริ่มเติบโตขึ้น แรกๆ ต้องการเพียงพื้นที่ให้ได้เขียนงาน กับเงินเท่านั้นเอง ส่วนนี้เป็นความคิดของผมเท่านั้น ส่วนผมได้อะไรจากการรวมกลุ่มก็น่าจะเป็นเรื่องประสบการณ์และได้เพื่อนครับ
คุณว่าอะไรนะ…เรื่องสั้นเรื่องแรกของผมยังงั้นหรือ… เรื่องสั้นเรื่องแรกของผมมันชื่อเรื่อง ‘ส่งรายงาน’ ลงในนิตยสารขวัญเรือนครับ ใช้เวลาพิจารณาอยู่ 1 ปีเต็มๆ จนผมลืมไปแล้วว่าเคยส่งไป ระหว่างนั้นไม่เขียนเรื่องสั้นเพิ่มอีก เพราะโดนปฏิเสธมาหลายที่เหลือเกิน
คุณถามผมเกี่ยวกับสามจังหวัดชายแดนใต้ ในฐานะที่ผมเป็นคนที่นั่น…..โอ้…น่าเห็นใจครับ สงสารสุขภาพจิตของชาวบ้านที่ต้องหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา ผมกลับไปบ้านแต่ละทีเนี่ยต้องคอยระวังตัวแจ ด้วยความที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ทุกวัน ก็จะกลายเป็นคนแปลกหน้าไป ขับมอเตอร์ไซค์นี่ก็ต้องพยายามไม่ให้ใครตามหลังได้ ทั้งๆ ที่รถเร่งได้ไม่ถึงร้อย แม้ว่าสาเหตุของการเกิดความไม่สงบจะมีมากมายยั้วเยี้ยพันกันวุ่นวายแค่ไหน แต่ถ้ารัฐบาลจริงใจที่จะแก้ปัญหาละก็เชื่อว่าสามารถแก้ปัญหาได้แน่นอน กลัวแต่จะสนุกอิ่มสำราญกับงบประมาณมหาศาลที่ลงพื้นที่จนไม่สนใจว่าใครจะเป็นอย่างไรก็ช่าง เพราะญาติพี่น้องกูไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย และที่ตายไปก็ไม่รู้ใคร งบลงพื้นที่ตั้งมากมาย แต่เครื่องมือที่ทหารระดับล่างได้ใช้แทบเทียบไม่ติดกับงบเหล่านั้นเลย แล้วนโยบายก็เปลี่ยนกันเป็นว่าเล่น ทดลองไปเรื่อย จะเข้า 10 ปีอยู่แล้วยังทดลองกันเล่นไม่เสร็จไม่สิ้น แล้วทุกวันนี้ที่ชาวบ้านอยู่ได้ผมมั่นใจว่า เพราะการดูแลตัวเอง ยิ่งอยู่ใกล้ทหารสิมีโอกาสตายไวกว่าซะอีก
อะไรนะ…คุณถามถึงบทบาทนักเขียนน่ะหรือ….ผมมองในลักษณะปัจเจกมากกว่า จริงๆ แล้วถ้าจะพูดถึงเรื่องนี้ควรจะถอดหมวกความเป็นนักเขียนออกก่อน เพราะไม่ใช่แค่นักเขียนที่แสดงออกต่อสังคม ยังมีกลุ่มอาชีพอื่นอีกมากมาย เช่น นักวิชาการ นักธุรกิจ นักเรียนนักศึกษา ฯลฯ กลุ่มเหล่านี้ก็แสดงออกต่อสังคมด้านการเขียนเช่นกัน แต่นักเขียนได้เปรียบกว่าตรงที่ใช้ภาษาในการหากินอยู่แล้ว จึงแสดงออกทางด้านการเขียนได้สะดวกกว่าและง่ายต่อการพิจารณาของบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ต่างๆ
บางทีอาชีพที่ไม่ใช่นักเขียน เขียนบทความไปเนี่ย อาจเสียเวลาเกลาคำอีก แก้โน้นแก้นี่อีก เสียเวลาได้ คือนักเขียนเมื่อถอดหมวกออกก็เป็นคนไทยคนหนึ่ง ที่เหมือนกับคนไทยอีกหลายคน ผมจึงไม่มีความเห็นว่านักเขียนควรจะแสดงออกทางสังคมอย่างไร ก็เลยอยากจะชวนคิดว่า สมมุติเวทีการเมืองค่ายหนึ่งมีนักเขียนดังๆ ขึ้นไปสนับสนุน ผู้คนก็จะพากันพูดว่า “โอ้โห! ขนาดนักเขียนท่านนี้ยังสนับสนุนเลย” หรือมีดาราขึ้นพูดสนับสนุน คนก็จะพากันสนใจ หรือขนาดคล้อยตาม ผมว่ามันเป็นเปลือก เรามองกันที่เปลือกมากกว่าแก่นของความเป็นคนภายใต้หมวกนั้น
นักเขียนเองก็อาจจะติดกับหมวกไม่ยอมถอด อาจจะคิดว่า เฮ้ย! ข้าฯ เป็นนักเขียนนะ นักเขียนที่พวกคุณชอบอ่านไง เพราะฉะนั้นต้องฟังข้าฯ เชื่อข้าฯ แต่ลืมไปว่าทัศนคติ แนวคิดอะไรเหล่านั้นมันคือของคุณเอง ไม่ได้มาจากความเป็นนักเขียน สังคมก็เลยเต็มไปด้วยการสร้างภาพ สำหรับความคิดผมเรื่องนักเขียนควรมีบทบาทใดในสังคมไทย ก็พื้นๆ ครับ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เขียนอะไรที่ไม่ทำให้สังคมเสื่อมเสีย ในลักษณะการเขียนของผมก็ ไม่ชี้แนะ ไม่ชักนำ แต่สร้างให้เหตุการณ์นั้นๆ เป็นตัวอย่าง
สำหรับความฝันของผมน่ะหรือ…ไม่มีหรอกครับ เพราะความฝันมันเจ็บปวด โลกของความเป็นจริงมันโหดร้ายเกินกว่าที่ความฝันจะดำเนินอยู่ได้ ยิ่งมีฝันที่สวยงามมากแค่ไหน ยิ่งทำให้เจ็บมากขึ้นเท่านั้น คนบางคนทนไม่ได้ถึงขนาดฆ่าตัวตายไปก็มากมี อีกอย่างสำหรับผมแล้วยังแยกไม่ออกระหว่าง ความฝันกับความอยาก เพราะถ้าพูดว่า ฝัน ก็ต้องพ่วงคำว่า อยาก เข้าไปด้วย
แต่ถ้าความฝันคือความอยาก…มันก็คือกิเลสดีๆ นี่เองนะคุณ
//////////////////////
อนุสรณ์ ศรีคำขวัญ – เป็นชาวยะลา จบการศึกษาระดับ ปวช. ที่วิทยาลัยเทคนิคยะลา แผนกอิเล็กทรอนิกส์ ก่อนจะจะเดินทางมาเรียนต่อ สาขาวารสารศาสตร์ ในรั้วราชภัฏสวนดุสิต หลังจากจบการศึกษาก็ทำงานด้านสื่อ โดยเข้าทำงานกับนิตยสารไฮคลาส และเขียนเรื่องสั้นด้วย เคยรับรางวัลนายอินทร์อะวอร์ด ประเภทเรื่องสั้น ปี 2552 และมีผลงานรวมเรื่องสั้นชุดแรก คือ รถเมล์ สายสั้น
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : http://www.bangkokbiznews.com โดย : ติน