Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

ความรักของนักเขียน บทเรียนของนักคิด

 

 
25 กันยายนที่ผ่านมาเป็นวันคล้ายวันเกิดของ หลู่ ซวิ่น นักคิดนักเขียนคนสำคัญของจีน ผู้ซึ่งถ้ามีชีวิตอยู่มาจนถึงปัจจุบันก็จะมีอายุครบ 126 ปี เป็น 126 ปีที่แผ่นดินจีนมีความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ทั้งการล่มสลายของราชวงศ์ชิง การเกิดสงครามกลางเมืองชิงความเป็นใหญ่ระหว่างกลุ่มขุนศึก การสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนภายหลังพรรคคอมมิวนิสต์มีชัยในปี 1949 การปฏิวัติวัฒนธรรมโดยแก๊งสี่คนอันนำไปสู่ความวุ่นวายอย่างต่อเนื่องยาวนานในสังคมเพิ่งสร้างอย่างจีนคอมมิวนิสต์ การปรับเปลี่ยนประเทศให้ทันสมัยภายหลังการสรุปบทเรียนในยุคคืนสู่อำนาจของเติ้ง เสี่ยว ผิง การปราบปรามผู้เรียกร้องประชาธิปไตยที่จัตุรัสเทียน อัน เหมิน ในปี 1989 การได้เกาะฮ่องกงคืนสู่มาตุภูมิในวันที่ 1 กรกฎาคม ปี 1997 ไม่กี่เดือนหลังจากเติ้ง เสี่ยว ผิง ปิดเปลือกตาอำลาโลก และการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับเกือบร้อยละสิบต่อปีมาเป็นเวลากว่าทศวรรษ จนจีนสามารถก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจใหม่ของโลก ผู้ผลิตสินค้าและบริการราคาถูกให้กับประเทศตะวันตกที่ใช้ชีวิตสุขสบายราคาแพงจนชักจะแข่งขันไม่ได้ 
 
ทั้งหมดนี้ทำให้จีนเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ทั้งที่อยากจดจำบันทึกและที่อยากลืมเลือนละเลย 
 
 
ทั้งประวัติศาสตร์ของประเทศและประวัติศาสตร์ส่วนบุคคล ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปก็มักถูกหยิบยกขึ้นมาชำระสะสาง ดังกรณีของท่านประธานเหมา เจ๋อ ตง ที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับการวางตำแหน่งไว้ในใจปวงชนชาวจีนดั่งเทพเจ้า แต่เมื่อความจริงแห่งชีวิตส่วนตัวเริ่มเป็นข่าวรั่วสู่สาธารณะ รวมถึงความมั่วในการดำเนินนโยบายในช่วงบั้นปลายของชีวิต เทพเจ้าอย่างท่านประธานเหมาก็ถึงคราวต้องกลับมาเป็นประชาชนธรรมดาที่มีความอยาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง และความกลัวดังคนปกติ อันนำไปสู่ความผิดพลาดมากบ้างน้อยบ้างไปตามเหตุปัจจัยในชีวิต 
 
เผอิญท่านประธานเหมามีฤทธิ์และอำนาจมาก เมื่อก่อความผิดพลาดผลเสียหายจึงร้ายแรงกว่าความพลาดผิดของสามัญชน เสียงก่นด่าวิจารณ์จึงต้องรุนแรงกว่าเป็นธรรมดาโลก 
 
เฉิน หยุน นักเศรษฐศาสตร์คนสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์ให้ข้อสังเกตว่า "ถ้าประธานเหมาตายลงเสียตั้งแต่ปี 1956 เหมาจะเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของจีน ถ้าเหมาตายลงสิบปีหลังจากนั้น ประวัติศาสตร์ก็ยังคงยกย่องอย่างสูง" น่าเสียดายที่เหมาอายุยืนยาวอยู่มาได้จนถึงปี 1976 พรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงจำเป็นต้องเงียบเฉยและละเลยความผิดพลาดมากมายของเหมา เพื่อเห็นแก่ความดีที่เหมาเคยได้สร้างไว้อย่างใหญ่หลวง 
 
เติ้ง เสี่ยว ผิง ผู้นำที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดคนหนึ่งในยุคปฏิวัติวัฒนธรรมและน่าจะเป็นคนที่ตามล้างตามเช็ดประธานเหมาในทางประวัติศาสตร์หลังสามารถกลับมากุมอำนาจได้อีกครั้ง กลับเป็นผู้เข้าใจเหมาและเข้าใจชีวิตอย่างลึกซึ้งจนถึงกับกล่าวสรุปไว้ว่า "ถ้าไม่มีประธานเหมา ก็ไม่มีประเทศจีนใหม่" เหมาจึงกลายเป็นชายชราผู้จากไปโดยยังคงเหลือที่ยืนในประวัติศาสตร์ แม้จะไม่ยิ่งใหญ่แต่ก็ไม่สิ้นไร้ไม้ตอกเหมือนอย่างผู้นำคอมมิวนิสต์อื่นๆ ที่มักจะถูกผู้นำรุ่นหลังทำลายความชอบธรรมจนแทบจะกลายเป็นตัวตลก ดังกรณีผู้นำอดีตสหภาพโซเวียตทั้งหลาย ที่ถูกเหล่าสหายร่วมกันถอนหงอกจนผมบาง 
 
เมื่อ กุหลาบ สายประดิษฐ์ เจ้าของนามปากกาศรีบูรพา นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ของไทย เดินทางไปเยือนแผ่นดินจีนเพื่อสานสัมพันธ์ในทางวัฒนธรรมและมีโอกาสพบปะกับท่านประธานเหมาในวัยชรา ประธานเหมาได้กล่าวทักว่า ท่านนี้หรือที่เขาว่าคือ หลู่ ซวิ่น ของเมืองไทย คำกล่าวสั้นๆ เช่นนี้เล่นเอาคณะล่ามชาวจีนดีใจกันยกใหญ่ เพราะในเวลานั้น หลู่ ซวิ่น ถือเป็นนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของยุคจีนใหม่ก็ว่าได้ ดังประธานเหมาเองได้เคยกล่าวถึงเขาไว้ว่า "หลู่ ซวิ่นคือขุนพลแห่งการปฏิวัติวัฒนธรรมของจีน เขาไม่เพียงแต่เป็นนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่ยังเป็นนักคิดและนักปฏิวัติผู้ยิ่งใหญ่อีกด้วย" ผลงานเรื่องเด่นของหลู่ ซวิ่น คือ เรื่องของอาคิว ได้รับการยกย่องอย่างสูงในจีนและได้รับการแปลเป็นภาษาต่างประเทศอย่างกว้างขวางรวมทั้งในภาษาไทยหลายสำนวน 
 
หลู่ ซวิ่น เกิดเมื่อวันที่ 25 กันยายน ค.ศ.1881 ในครอบครัวปัญญาชนผู้มีฐานะ แซ่หลู่ ในนามปากกาน่าจะมีที่มาจากแซ่ของมารดา คือ หลู่ รุ่ย ส่วนบิดาของเขานั้นแซ่โจว ชื่อ โจว ปั๋วอี้ ชื่อเดิมของหลู่ ซวิ่น คือ โจว ซู่เหริน ซึ่งคนทั่วไปแทบจะไม่รู้จักแล้วหลังนามปากกาสร้างความยอมรับอย่างแพร่หลาย หลู่ ซวิ่น มีนิสัยรักการอ่านมาตั้งแต่เด็ก มีโอกาสได้เรียนวรรณกรรมคลาสสิคของจีนตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ชีวิตต้องมาพลิกผันเมื่อปู่ของเขาซึ่งเป็นขุนนางถูกกล่าวหาว่าทุจริต ทำให้ทั้งครอบครัวต้องอพยพหลบหนีเพราะเกรงอาญา จนบ้านแตกสาแหรกขาดและพ่อผู้ช้ำใจของเขาต้องจากไปก่อนวัยอันควร 
 
ด้วยเหตุปัจจัยในครอบครัว หลู่ ซวิ่น ในวัย 18 จึงตัดสินใจเดินทางออกจากบ้านไปยังเมืองนานจิงเพื่อเข้าเรียนต่อในโรงเรียนทหารเรือที่มีค่าเทอมถูก เมื่อไม่รู้สึกประทับใจจึงย้ายมาเรียนต่อที่โรงเรียนการรถไฟและเหมืองแร่ แม้จะยังไม่ตรงใจนัก แต่หลู่ ซวิ่น ก็มุ่งมั่นตั้งใจเรียน 
 
ช่วงเวลานั้นจีนกำลังถูกคุกคามอย่างหนักจากมหาอำนาจทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี รัสเซีย เยอรมนี ออสเตรีย ออสโตร-ฮังกาเรียน รวมทั้งญี่ปุ่น แต่แทนที่จะลุกขึ้นสู้ ราชวงศ์ชิงกลับกดขี่ซ้ำประชาชนด้วยการสมยอมกับตะวันตก หลู่ ซวิ่น ได้รับความกระทบกระเทือนใจจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับพี่น้องร่วมชาติมาก หลังเรียนจบและได้รับทุนไปศึกษาต่อที่ประเทศญี่ปุ่น จึงเริ่มเขียนหนังสือโดยแปลงานเป็นตอนๆ ลงตีพิมพ์ในนิตยสารและได้ตัดสินใจเปลี่ยนมาเรียนด้านการแพทย์แทนด้วยเชื่อว่าวิทยาศาสตร์น่าจะช่วยผลักดันให้เกิดการปฏิรูปในสังคมจีนได้ หลังจากเขาอ่านงานเขียนด้านวิทยาศาสตร์ซึ่งสร้างผลสะเทือนต่อสังคมตะวันตกมากมาย 
 
หลู่ ซวิ่น น่าจะได้เป็นแพทย์มากกว่าเป็นนักเขียน จนเมื่อเขาได้เห็นการฆ่าเสียบหัวประจานคนจีนโดยทหารญี่ปุ่นในภาพยนตร์สารคดีที่ถูกฉายขั้นเวลาในระหว่างเรียน หลู่ ซวิ่น จึงฉุกคิดว่าลำพังการแพทย์คงรักษาได้แต่ร่างกายที่ป่วยไข้ หากแต่ไม่สามารถรักษาจิตใจที่อ่อนแอของคนจีนได้ เพราะในภาพยนตร์นั้นชาวจีนผู้แข็งแรงที่เรียงรายอยู่โดยรอบกลับวางเฉยเย็นชาต่อการทารุณกรรมเพื่อนร่วมชาติโดยไม่คิดจะต่อสู้ช่วยเหลือ
 
จึงหาใช่ร่างกายหากแต่เป็นจิตใจของชาวจีนที่อ่อนแอป่วยไข้จนถึงขีดสุด ถ้าไม่ปลุกจิตสำนึกคนในชาติให้ลุกขึ้นสู้ พลเมืองจีนมากมายก็ไม่อาจรับมือกับการรุกรานของต่างชาติได้ มิพักต้องเอ่ยถึงการหลอมรวมใจเพื่อสร้างชาติขึ้นมาใหม่หลังความล่มสลาย 
 
ในภาวการณ์เช่นนี้ หลู่ ซวิ่น คิดว่าวรรณคดีน่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการปลุกจิตสำนึกของพี่น้องร่วมชาติ เขาจึงเริ่มใช้ปากกาถ่ายทอดความคิดอันแหลมคมวิพากษ์วิจารณ์ระบบศักดินา รวมทั้งความอยุติธรรมในสังคมอย่างไม่ทดท้อ จนกลายเป็นนักปฏิวัติคนสำคัญของจีนผู้มีปัญญาและปากกาเป็นอาวุธ 
 
หลู่ ซวิ่น ใช้ทั้งการเขียนเรื่องสั้น การผลิตนิตยสาร ตลอดจนถึงการเป็นอาจารย์สอนวรรณกรรมในมหาวิทยาลัยปักกิ่ง เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนความคิดของเขา ความแหลมคมทางความคิดทำให้เขาถูกรัฐบาลขณะนั้นเล่นงานจนต้องลี้ภัยการเมืองลงสู่ภาคใต้และได้งานสอนที่มหาวิทยาลัยเซียะเหมิน ก่อนจะทนการคอร์รัปชั่นในมหาวิทยาลัยไม่ได้ และต้องย้ายไปเป็นคณบดีคณะศิลปศาสตร์ในมหาวิทยาลัยจงซาน 
 
ระหว่างนั้นเอง สวี่ กวาง ผิง อดีตนักศึกษาวิทยาลัยครูสตรีปักกิ่ง ซึ่งเป็นคนรักของหลู่ ซวิ่น ได้เดินทางมาอยู่ร่วมกับเขา โดยเป็นผู้ช่วยคนสำคัญทั้งด้านการงานและชีวิต แม้ว่าขณะนั้นหลู่ ซวิ่น จะมีภรรยาที่แต่งงานถูกต้องตามประเพณีจีนโบราณอยู่แล้ว แต่สวี่ กวาง ผิง ก็ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขร่วมต่อสู้ท่ามกลางความผันผวนทางการเมืองของจีนกับหลู่ ซวิ่น เป็นเวลายาวนานกว่าทศวรรษ และน่าจะจัดได้ว่าเป็นภรรยาที่แท้จริงของเขา ส่วนภรรยาที่แต่งงานกันทางประเพณีนั้น หลู่ ซวิ่น เรียกว่าเป็นภรรยาของแม่ ที่เขาต้องให้ความรักและเอาใจใส่เป็นพิเศษ 
 
ความเสียสละและความยิ่งใหญ่ของหลู่ ซวิ่น ทำให้คนรุ่นหลังเว้นพื้นที่ส่วนตัวอันเป็นเหมือนสวนหลังบ้านของเขาไว้ให้ค่อนข้างกว้าง เช่นเดียวกับผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายที่มักจะมีข้อผิดพลาดในรายละเอียดของชีวิตเสมอ แต่ก็ใช่ว่าสังคมจะต้องทำหน้าที่พิพากษาความผิดพลาดเหล่านั้นด้วยมาตรฐานของตน โดยปราศจากความเข้าใจในความหลากหลายแห่งรายละเอียดของชีวิต 
 
ถ้าสังคมจีนเรียนรู้ที่จะอยู่กับหลู่ ซวิ่น และอดีตของเขาได้อย่างนุ่มนวล เติ้ง เสี่ยว ผิง เรียนรู้ที่จะอยู่กับความทรงจำทั้งหวานและขมที่มีต่อประธานเหมาได้อย่างสุขุม สังคมไทยก็ควรเริ่มเรียนรู้ที่จะอยู่กับประวัติศาสตร์ที่เราไม่ชอบนัก ทั้งประวัติศาสตร์ของประเทศและประวัติศาสตร์ส่วนบุคคล รวมทั้งประวัติศาสตร์ของนักประวัติศาสตร์เองอย่างมีเมตตา ด้วยเราทุกคนล้วนยังเป็นมนุษย์ธรรมดาผู้ชอบมองหาความผิดของผู้อื่นและปกปิดความผิดของตนเองอย่างยิ่งยวด 
 
ท่ามกลางความวุ่นวายและเปลี่ยนแปลงอย่างสูงของสังคมไทยในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา สังคมไทยหมกหมุ่นครุ่นคิดและใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการถกเถียงเทียบเคียงความจริงกับตำราที่ต่างคนต่างเล่าเรียนมาจากหลากหลายสำนัก จนแทบจะลงมือเข่นฆ่ากันให้ตายตกเพียงเพราะผู้อื่นคิดต่าง เมื่อฝ่ายตรงข้ามพลาดพลั้งพลพรรคพลอยพยักต่างซัดอาวุธเข้าใส่อย่างไม่รั้งรอ จนแทบจะลืมประวัติศาสตร์ที่แต่ละฝ่ายเคยมีร่วมกันมา รวมทั้งลืมสิ่งล้ำค่าที่มนุษย์พึงมอบต่อกันเพื่อรักษาความเป็นมนุษย์ของเราไว้ 
 
นั่นคือความรักความเมตตาอย่างธรรมดาสามัญ ทั้งความเมตตาต่อตนเองและความเมตตาต่อผู้อื่น ผู้หยิบยื่นทั้งสิ่งที่ชอบและไม่ชอบให้แก่เรา เพราะหากไร้ซึ่งความรักและความเมตตาต่อกัน ไม่เพียงแต่สวนหลังบ้านเขาที่เราอยากรุกราน แม้แต่ห้องนอน ห้องน้ำ ตู้เสื้อผ้าของเขาเราก็ไม่อาจละเว้น 
 
เมื่อเป็นเช่นนี้ เพียงแค่ใส่เสื้อสีผิดหรืออยากใช้ชีวิตในสวนหลังบ้านก็อาจถูกทารุณกรรมจนมิอาจมีที่อยู่ที่ไปในสังคมไทยได้ 
 
ทั้งนี้ โดยที่สังคมส่วนใหญ่มองการทารุณกรรมเพื่อนร่วมชาติอย่างน่าตาเฉย อีกทั้งจำนวนไม่น้อยร่วมผสมโรงด้วยอย่างรื่นรมย์ จนเชื่อว่าเราน่าจะสร้างนักเขียนใหม่ๆ จำนวนไม่น้อยได้ในเร็วๆ นี้ แม้จะต้องสูญเสียแพทย์ดีๆ ไปจำนวนหนึ่ง 
 

โดย ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา 
วันที่ 02 ตุลาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10797