ขวัญหาย
ผมคิดว่านักมานุษยวิทยาทั้งไทยและเทศน่าจะให้ความสนใจกับเรื่องผีให้มากกว่านี้ เฉกเช่นเดียวกับภาษา ผีเป็นวัตถุทางวัฒนธรรมอันมีคุณสมบัติพิเศษ คือมีทั้งความเป็นเอกลักษณ์และความเป็นสากล ยกตัวอย่างภาษา อันที่จริงบทสนทนาในชีวิตประจำวันของคนไทย มาเลย์ ญี่ปุ่น และจีนไม่น่าจะแตกต่างกันไกล หากด้วยความผิดแผกระหว่างไวยากรณ์และคำศัพท์นำพาให้เสียงสนทนาของพวกเขาฟังแล้วไม่เหมือนกันเลย[1] ทำนองเดียวกันกับเรื่องผี ไม่ว่าชาติ ชนเผ่า หรือศาสนาใดก็มีเรื่องผีด้วยกันทั้งนั้น เพราะมนุษย์ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย และไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าตายแล้วไปไหน ความตายจึงเป็นปริศนายิ่งใหญ่ สากล อันก่อให้เกิดเรื่องผีในทุกภูมิภาค แต่ขณะเดียวกัน เรื่องผีก็ถูก “คำศัพท์” และ “ไวยกรณ์” ของแต่ละวัฒนธรรมปรุงแต่งจนมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป
ความแตกต่างตรงนี้เริ่มตั้งแต่คำถามพื้นฐานสุดเลยคือผีมาดีหรือมาร้าย เนื่องจากชาวไทยมีพื้นฐานมาจากลัทธิบูชาภูตผีในธรรมชาติ (Animism) เช่นพระแม่โพสพ พระแม่คงคา พระพิรุณ หรือพญาแถน ผีของไทยเลยมักจะมีอิทธิฤทธิ์และบันดาลโชคลาภแก่ผู้พบเห็น ผีที่ร้ายๆ ก็มักจะร้ายเพราะมีปมหรือมีอดีต เช่นแม่นากตายทั้งกลม หรือเปรตที่ชาติก่อนทำบาบทำกรรมไว้มากๆ ผีไทยที่ร้ายล้วนๆ ร้ายอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยไม่ค่อยปรากฎให้เห็น ตรงนี้แตกต่างอย่างมากจากชาติตะวันตก ศาสนาคริสต์สอนว่าพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่ทรงมีอำนาจเหนือธรรมชาติ และคนเราตายแล้วก็ได้แต่นอนรอวันพิพากษาอยู่ในหลุม ดังนั้นถ้าคนตายออกมาพบปะคนเป็นๆ ได้ ก็น่าจะเนื่องด้วยอำนาจอันชั่วร้ายของปีศาจ ฝรั่งเลยมักจะโยงภูตผีเข้ากับเจตนาร้าย
เคยอธิบายความเชื่อเรื่องผีแบบไทยๆ ให้ชาวต่างชาติ ทั้งฝรั่งและคนจีนฟัง สิ่งที่เขาประหลาดใจที่สุดคือ “การทัก” ถ้าเจอผีหรือสิ่งผิดปรกติ คนไทยจะทำเป็นไม่เห็นเสีย ผีก็จะรุกรานเราไม่ได้ (“ของไม่เข้า” นั่นเอง) ฝรั่งไม่มีแบบนี้ ส่วนคนจีนถึงกับพูดเลยว่าของเธอตรงกันข้าม ถ้าเห็นอะไรผิดปรกติ ต้องพูดถึงมันโดยละเอียดเพื่อขับไล่ความกลัว
ที่เกริ่นมายาวเหยียดแบบนี้ เพราะต้องการบอกว่า The Turn of the Screw[2] (หรือ ขวัญหาย จากสำนวนการแปลของรัชยา เรืองศรี จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์สร้างสรรบุ๊คส์) เป็นนิยายผีขนาดสั้นของเฮนรี เจมส์ ซึ่งผสมผสานความเชื่อเหนือธรรมชาติแบบตะวันตกและความเชื่อเรื่องการทักแบบไทยๆ ได้อย่างเหมาะเจาะ (แน่นอนว่าคงเป็นเหตุบังเอิญมากกว่า เจมส์ไม่น่าจะเคยได้ศึกษาวัฒนธรรมไทยหรอก) “ฉัน” หรือผู้เล่าเรื่องเป็นผู้ดูแล[3]ให้กับเด็กกำพร้า ไมล์และฟลอรา ทั้งคู่ถูกรบกวนโดยวิญญาณหญิงร้ายชายโฉดคู่หนึ่ง หน้าที่ของฉันในฐานะผู้ดูแลจึงไม่ใช่แค่ปกป้องชีวิตเด็กๆ แต่สำคัญยิ่งกว่านั้น ปกป้อง “ศีลธรรม” และ “ความบริสุทธิ์” จากอิทธิพลอันชั่วร้ายของสิ่งผิดธรรมชาตินั้นด้วย ส่วนเงื่อนไขที่ทำให้ ขวัญหาย ผิดแผกจากเรื่องผีตะวันตกคือเจมส์ใช้การทักเป็นเครื่องมือในการเล่าเรื่อง (plot device) ที่สุดของนิยายเล่มนี้จึงไม่ใช่การเผชิญหน้าระหว่างคนและผี แต่เป็นการเผชิญหน้าระหว่างคนเป็นด้วยกันต่างหาก
ค.ศ. 1898สมัยที่เจมส์เขียน ขวัญหาย เป็นช่วงเวลาที่วิชาจิตวิทยาตื่นตัวถึงขีดสุด[4] (วิลเลียม เจมส์พี่ชายของเฮนรี เจมส์ก็เป็นนักจิตวิทยาผู้โด่งดัง) สาเหตุหนึ่งที่ผู้คนในสมัยนั้นเริ่มหันมาสนใจจิตวิทยากันมากขึ้นเพราะความเชื่อโบราณว่า “เด็กก็เป็นแค่ผู้ใหญ่ตัวเล็ก”[5] เริ่มตกยุคสมัยไปเสียแล้ว สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือวาทกรรมประเภท “เด็กคือผ้าขาว” หมายความว่าผู้ใหญ่ก็มีหน้าที่ที่จะประคับประคอง ให้การศึกษา และปกป้องเยาวชนจากอิทธิพลอันชั่วร้ายของโลกภายนอกด้วย
“ฉัน” ในฐานะผู้ดูแลมีหน้าที่สำคัญดังกล่าว จุดน่าสังเกตเกี่ยวกับ “ฉัน” คือหล่อนแทบไม่หวาดกลัวภูตผีที่มาปรากฎตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่หล่อนหวาดกลัวกลับเป็นความชั่วร้าย (ซึ่งแสดงออกเป็น “รูปธรรม” ผ่านวิญญาณ) ว่าจะมาแปดเปื้อนลูกศิษย์ของหล่อน “ฉันมายังที่แห่งนี้เพื่อปกป้องเด็กๆ ผู้น่ารักและน่าสงสาร…ฉันคือกำแพง ป้องกันไม่ให้พวกมันแผ้วผ่านเข้ามา” จุดพลิกผันจึงไม่ใช่การเผชิญหน้ากับวิญญาณ แต่เป็นการที่ “ฉัน”ตระหนักว่าพวกเด็กๆ เองก็คุ้นเคยและรู้จักกับวิญญาณมาก่อน มิหนำซ้ำยังโกหกหล่อนด้วยการทำเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น (ก่อนหญิงโฉดชายชั่วคู่นี้จะตายไป ทั้งคู่สนิทสนมกับพวกเด็กๆ มิหนำซ้ำยังสั่งสอนให้ไมล์และฟลอราช่วยปิดบังความลับ ความสัมพันธ์ชู้สาวระหว่างทั้งคู่ด้วย)
ครั้งแรกที่ “ฉัน” เดินทางมาถึงคฤหาสน์แห่งนี้ หล่อนประทับใจในความงดงามของธรรมชาติและความบริสุทธิ์ผุดผ่องของไมล์และฟลอรา แต่ท่ามกลางภาพที่เหมือนหลุดออกมาจากนิยายชวนฝัน อยู่ดีๆ ก็มีจดหมายส่งมาจากครูใหญ่ บอกว่าไมล์ถูกไล่ออกจากโรงเรียนแล้ว โดยไม่ยอมเจาะจงเหตุผลมาด้วย ข้อความในจดหมายซึ่งถูกปูไว้ตั้งแต่ต้นเรื่องกลายมาเป็นเครื่องมือสำคัญในการเล่าเรื่องช่วงท้ายๆ เมื่อ “ฉัน” ต้องต่อสู้กับคำถามซึ่งรุมเร้าตัวหล่อนว่า ลูกศิษย์ทั้งคู่เป็นผ้าขาวสะอาดจริง หรือความบริสุทธิ์ที่เธอเห็นเป็นเพียง “การละเล่น…เป็นของปลอม” และความชั่วร้ายได้ถูก “[วิญญาณ] บรรจุใส่ลงใน [ตัวเด็กๆ ] แล้ว” ขณะเดียวกันหญิงสาวก็ต้องเล่นเกมทางจิตวิทยากับผู้คนในคฤหาสน์แห่งนี้ โดยมีกติกาง่ายๆ คือต่อให้วิญญาณมาปรากฎตรงหน้าก็ต้องแสร้งทำเป็นไม่เห็นเสีย มีหนหนึ่งที่ “ฉัน” ประนามตัวเองออกมา “ขนาดพวกเด็กๆ ยังรู้จักเก็บเงียบงำเลย กลับเป็นฉันเสียอีกที่เอะอะโวยวาย [เมื่อเห็นวิญญาณ]” พูดแบบไทยๆ ก็คือขณะที่ฟลอราและไมล์ทำเฉยเมยต่อวิญญาณได้ กลับเป็นตัวหล่อนที่เป็นฝ่ายทัก
ในบทวิจารณ์ชิ้นนี้ ผมค่อนข้างให้ความสำคัญกับการทักเป็นอย่างมาก เนื่องด้วยมันเป็นไวยกรณ์ของเรื่องผีที่มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำแบบใครดี ใครที่พอรู้ที่มาที่ไปของวัฒนธรรมตัวนี้เขียนมาแลกเปลี่ยนกันได้ แต่ถ้าให้ผมคาดเดาเรื่อยเปื่อย การ (ห้าม) ทักในวัฒนธรรมไทยน่าจะมาจากการแบ่งชนชั้นวรรณะ โดยคนชั้นสูงไม่ต้องการให้บ่าว ไพร่ และข้าทาสช่างคิดช่างซักถาม ก็เลยมีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่าถ้าเจออะไรผิดปกติต้องไม่ทักและทำนิ่งเฉยเสีย ในส่วนของเฮนรี เจมส์และ ขวัญหาย นั้น เป็นไปได้ว่ามาจากอิทธิพลของวิชาจิตวิทยาซึ่งกำลังรุ่งเรืองสุดในยุคนั้นได้ลดสถานภาพผู้มีอาการผิดปรกติทางจิตให้ผิดแผกและด้อยค่ากว่าคนปรกติ[6] อาการอย่างหนึ่งของผู้ป่วยทางจิตคือเห็นภาพหลอนหรือสิ่งผิดธรรมชาติ ด้วยเหตุนี้การทักจึงเท่ากับการยอมรับว่าตัวเองมองเห็นสิ่งผิดธรรมชาติ และอาจหมายถึงความผิดปกติทางจิตใจได้
ขวัญหาย ไม่ใช่นิยายจบหักมุมตามแบบเรื่องผียอดนิยมในปัจจุบัน แต่เป็นนิยายที่เล่นกับความคลุมเครือและปมทางจิตวิทยาอย่างใจเย็นตั้งแต่ต้นจนจบ ตอนจบของนิยายไม่มีการหักมุมประเภทตัวละครออกมาโวยวายว่าจริงๆ แล้ววิญญาณที่เห็นเป็นแค่ภาพหลอน และ “ฉัน” ต่างหากที่มีอาการผิดปรกติทางจิตใจ ทั้งผู้แต่งและตัวเอกของนิยายไม่ได้มองข้ามความเป็นไปได้ตรงนี้ตั้งแต่แรก กว่าหนึ่งศตวรรษผ่านไปแล้ว ทั้งนักอ่านและนักวิจารณ์ก็ยังคงขบคิดกันเรื่อยมาว่าผีในนิยายเรื่องนี้คืออะไรกันแน่ วิญญาณจากสัมปรายภพ ความชั่วร้าย หรือความผิดปกติทางจิตใจของผู้ใหญ่ที่หมกมุ่นแต่กับการปกป้อง “ผ้าขาว”
นั่นคือคำถามซึ่งเจมส์ฝากทิ้งไว้ให้คนอ่าน พวกเราทุกคน
[1] แน่นอนละว่า ภาษาที่แตกต่างกันไปก็ย่อมส่งอิทธิพลให้ความคิดแตกต่างกันไปในแต่ละวัฒนธรรมด้วย แต่อย่างไหนเล่าที่มีอิทธิพลมากกว่ากัน สุดขั้วหนึ่งของปรัชญาภาษาศาสตร์คือวิทเกนสไตน์ผู้เชื่อว่าภาษากำหนดกระบวนการความคิด ขณะที่อีกสุดขั้วหนึ่งคือชอมสกี ผู้เชื่อว่าความแตกต่างของภาษานั้นเป็นเพียงเรื่องผิวเผิน มนุษย์เราแท้ที่จริงคล้ายคลึงกันหมดไม่ว่าจะมาจากชาติไหน วัฒนธรรมใด ถูกเลี้ยงมาด้วยภาษาอะไร
[2] ชื่อนิยายมาจากสำนวนฝรั่ง ซึ่งถ้าจะแปลเป็นไทยให้ใกล้เคียงสุดคงได้ประมาณ “ฟางเส้นสุดท้าย” จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราขันนอตเพิ่มอีกสักเกลียว มันจะแน่นขึ้น หรือเกลียวจะแตกจนทุกอย่างพังครืนลงมา
[3] พูดให้ถูกคือกึ่งพี่เลี้ยงกึ่งครูสอนพิเศษ นี่คืออาชีพยอดนิยมของหญิงสาวลูกชาวนาที่พอมีการศึกษา รวมทั้งเป็นอาชีพประจำของนางเอกนิยายชวนฝันในศตวรรษที่ 19ด้วย
[4] แค่ปีเดียวก่อนฟรอยด์จะตีพิมพ์ The Interpretation of Dream
[5] สังเกตว่าไม่ค่อยมีการกล่าวถึง “เด็ก” ในวรรณกรรมคลาสสิก แม้ว่าทั้ง Jude the Obscure, Oliver Twist และ The Scarlet Letter จะมีตัวละครเด็ก แต่ “ผู้ใหญ่ตัวเล็ก” ในนิยายศตวรรษที่ 19เหล่านี้ไม่ได้มีสถานภาพทางสังคมที่ผิดแผกไปจากตัวละครอื่นๆ ตรงไหน ต้องทำงาน มีหน้าที่และความรับผิดชอบ เฉกเช่นเดียวกับผู้ใหญ่รอบข้าง
[6] สำหรับผู้สนใจ Madness and Civilization ของฟูโกต์เป็นหนังสือที่วิเคราะห์มิติทางประวัติศาสตร์ของอาการป่วยทางจิตใจ
โดย ภาณุ ตรัยเวช
http://www.onopen.com/loveyouallmass/09-12-22/5188