Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

การใช้หนังสือการ์ตูนส่งเสริมการอ่าน

        

          จากเว็บไซต์ http://trevorcairney.blogspot.com (Literacy, families and learning blog : June15, 2008) มีบทความที่น่าสนใจเรื่อง “หนังสือการ์ตูนยังเกี่ยวข้องกับเราอยู่หรือเปล่า?”  โดย Trevor Cairney  มีสาระที่น่าสนใจเกี่ยวกับหนังสือการ์ตูน เขาเขียนไว้ว่า
         “เมื่อยามเด็ก ผมโตมาพร้อมกับการอ่านการ์ตูนเป็นประจำ หนังสือพิมพ์มีการ์ตูนช่องเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจให้อ่านในแต่ละวัน และเด็กๆ ส่วนใหญ่ก็จะใช้การ์ตูนเป็นการอ่านเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ การ์ตูนอย่างเช่น ซูเปอร์แมน, ทาร์ซาน, ริชชี่ริช, เดอะ แฟนธอม และการ์ตูนคลาสสิกของดิสนี่ย์อย่างโดนัลด์ดั๊ก และมิกกี้เม้าส์ เป็นสิ่งที่นิยมกันทั่วไป  แต่โดยทั่วไปแล้วครูหรือบรรณารักษ์ห้องสมุดมักมองว่าการ์ตูนพวกนี้เป็น “ศิลปะชั้นรอง” และไม่ให้การยอมรับ เมื่อโทรทัศน์เข้ามามีบทบาทในช่วงทศวรรษ 1950 ในออสเตรเลียและในยุคต้นๆ ของสหรัฐอเมริกา รวมทั้งในสหราชอาณาจักร หนังสือการ์ตูนก็ถูกลดความนิยมลงไป”
        ในยุคต้นๆ เมื่อครั้งการ์ตูนได้รับความนิยม อัลบั้มการ์ตูนเล่มใหญ่เป็นที่นิยมกันทั่วไปในทวีปยุโรป โดยเฉพาะในเบลเยี่ยมและฝรั่งเศส เรื่องที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือชุด ติน ติน ที่พิมพ์ครั้งแรกในปี 1929 และยังคงอ่านกันมาจนถึงปัจจุบัน อีกรูปแบบหนึ่งคือนิยายภาพ ซึ่งมีทั้งแบบนิยายที่พิมพ์เป็นตอนๆ พร้อมกับภาพประกอบ หรือเวอร์ชั่นที่ประยุกต์วรรณกรรมให้ง่ายขึ้นพร้อมภาพในรูปแบบของการ์ตูน
         ทุกวันนี้ หนังสือการ์ตูนยังคงเป็นที่ชื่นชอบของคนรุ่นใหม่จำนวนมากที่เป็นนักสะสมการ์ตูน ทว่าในแทบทุกสังคมและวัฒนธรรม ก็ยังคงจัดว่าเป็นการอ่านการ์ตูนเป็นไปเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจในกลุ่มคนจำนวนหนึ่งเท่านั้น ยกเว้นในญี่ปุ่นซึ่งมังงะหรือหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นเป็นที่นิยมกันมากมายทั้งในกลุ่มเด็กและผู้ใหญ่ไม่แตกต่างกัน
        หนังสือการ์ตูนโดยปกติจะองค์ประกอบ 2 ส่วน คือศิลปะและวรรณกรรม จุดประสงค์หลักของสิ่งพิมพ์ที่เรียกว่าหนังสือการ์ตูนมักจะเพื่อความสนุกสนานและความบันเทิงใจ แต่การ์ตูนทุกวันนี้ก็มีแบบที่จริงจังมากขึ้น  เช่นเรื่อง ยามสายลมพัด  (When the Wind Blows : 1986) ของเรย์มอนด์ บริกกส์ ที่เล่าถึงผลกระทบจากการระเบิดของระเบิดปรมาณู ที่มีต่อคู่สามีภรรยาชราชาวอังกฤษ ผู้ซึ่งเข้าใกล้กับความหายนะที่รออยู่ ราวกับว่าจะสามารถรักษาชีวิตให้อยู่รอดจากการจู่โจมของสงครามโลกครั้งที่สองได้อย่างง่ายๆ กระนั้น
        ทุกวันนี้ดูเหมือนว่าหนังสือการ์ตูนได้กลับมาอีกครั้ง โดยเฉพาะในรูปแบบ comic book หรือ นิยายภาพ  โดยมีเนื้อหาสาระและรูปแบบที่มีขอบเขตตั้งแต่วิทยาศาสตร์ไปจนถึงประวัติบุคคล ตั้งแต่บันทึกชีวิตของคนสามัญไปจนถึงซูเปอร์ฮีโร่…ทุกๆ เรื่องพร้อมที่จะทำในรูปแบบการ์ตูนได้ทั้งสิ้น
หลายสำนักพิมพ์จัดพิมพ์นิยายภาพจากวรรณคดีของเช็คเปียร์ รวมทั้งหนังสือคลาสสิกอื่นๆ เช่น เหรียญแดงแห่งความกล้าหาญ, มหากาพย์บีโอวัลท์, เทพนิยายกรีก, การผจญภัยของโรบินฮูด หรือแม้แต่นิทานของแคนเทอเบอรี
           ผลจากการให้อ่านหนังสือที่มีคุณค่าในรูปของนิยายภาพ ในระดับประถมปลายหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา คุณครูบอกว่า “หนังสือเหล่านี้สามารถดึงเด็กๆ ให้อ่านได้อย่างติดหนึบ แม้กระทั่งเด็กที่ยังอ่านไม่ค่อยคล่องก็ตาม… พวกเขาจะอ่านอย่างไม่บันยะบันยัง”
           สำนักพิมพ์ไดมอนบุ๊ค ในสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่ายอดขายของนิยายภาพเพิ่มขึ้นจาก 43 ล้านดอลลาร์ในปี 2001 เป็น 330 ล้านดอลลาร์ในปี 2006 โดยที่ผู้ซื้อจำนวนไม่น้อยคือโรงเรียนและห้องสมุดเพื่อนำไปใช้เปิดทางสู่การส่งเสริมการอ่านให้กับเด็กๆ ในขณะที่มีสถิติบางแห่งบอกว่าการอ่านหนังสือของเยาวชนเนื่องมาจากคอมพิวเตอร์ เกม เคเบิลทีวี ฯลฯ แต่บรรยาคุณครูส่วนหนึ่ง พบว่าพวกเขาสามารถดึงความสนใจของนักเรียนให้เพิ่มขึ้นได้ด้วยหนังสือที่มีรูปภาพ
          นี่เป็นสิ่งที่ดีใช่ไหม? ใช่  นี่คือคำตอบของผู้พยายามหากลวิธีส่งเสริมการอ่านให้แก่เด็ก แต่มิได้หมายความว่า เด็กๆ จะเติบโตขึ้นด้วยการรอ่านหนังสือการ์ตูนหรือนิยายภาพเท่านั้น เราใช้หนังสือการ์ตูนเพื่อไปให้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริง นั่นคือเพื่อกระตุ้นและส่งเสริม นำให้เด็กๆ ไปสู่การอ่านที่หลากหลายทั้งด้านเนื้อหาและหลากหลายในด้านรูปแบบ เพื่อการเป็นนักอ่านที่มีคุณภาพของสังคม
 

 

 

 

ภาพจาก http://trevorcairney.blogspot.com