Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

การเป็น “นักเขียน” ไม่ยาก แต่ยังไม่ได้ลงมือ

 

 
หลายคนถามผมว่าทำอย่างไรถึงจะเขียนหนังสือได้ ผมเริ่มต้นงานเขียนอย่างจริงจังเมื่อปี 2534 ตอนนั้นเรียนรามปีหนึ่ง ผมเริ่มจากการอ่านหนังสือ ทั้งนักเขียนไทยและนักเขียนต่างประเทศ การอ่านช่วยให้มองเห็นวิธีการเขียนได้แจ่มชัดที่สุด หนังสือที่ควรค่าแก่การอ่านคือ หนังสือที่มีความซับซ้อนในเนื้อเรื่อง ตัวละคร ฉาก สถานที่ และเวลา พอสมควร คุณจะได้อะไรมากกว่าอ่านเรื่องที่เขียนขึ้นอย่างพื้นๆ การอ่านเพื่อเป็นนักเขียนนั้น อ่านแล้วจับใจความ อ่านให้เห็นถึงกลวิธีของนักเขียนท่านนั้น และนำมาประยุกษ์ใช้ 
 
การเขียนหนังสือ ต้องลงมือเขียน มากกว่านั่งคิดและจินตนาการ หากคุณเขียนไปได้หน่อย กลับรู้สึกว่าเรื่องนี้มันชักจะตัน เขียนไม่ออก แสดงว่าความคิดและโครงเรื่องยังไม่ตกตะกอนถึงที่สุด มีทางแก้คือ คุณพยายามด้นให้เรื่องนี้จนจบ ไม่ว่ามันจะไม่เข้าท่า แต่มันจำเป็นมาก คุณต้องเขียนเรื่องนั้นให้บรรลุ เพื่อที่คุณจะได้เริ่มต้นงานใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่งั้นคุณก็จะกังวนใจอยู่กับงานที่เขียนไม่ออก จนกระทั่งคุณหมดความเชื่อมั่นในตัวเอง
 
ทำอย่างไรก่อนลงมือเขียน? นี่เป็นคำถามที่ถูกถามบ่อยมากที่สุด งานเขียนเป็นเรื่องลึกลับ และมีวิธีการนับหมื่นนับแสนวิธีให้เลือก
 
1.การเริ่มเรื่อง จำเป็นยิ่งที่จะต้องมีแรงจูงใจ น่าสนใจ ต้องดึงคนอ่านให้อยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากย่อหน้าแรก ผมพอมีตัวอย่างอยู่บ้าง เช่น. "ในวันที่เขาจะถูกฆ่า ซานเตียโก นาซาร์ ตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่ง จะไปเฝ้าบิชอปที่ประทับเรือมา ตอนหลับเขาฝันไปว่าเดินผ่านป่าละเมาะ ในฝันมีฝนพรำลงมาบางเบา เขาเคลิ้มสุขไปกับฝันแต่ครั้นตื่น กลับให้พะอืดพะอมเหมือนโดนนกขี้รดทั่วตัว" (จากนิยายเรื่อง หมายเหตุฆาตกรรม ของ กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ ) การเริ่มต้นเช่นนี้ทำให้ผู้อ่านเกิดความฉงนต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น "ในวันที่เขาถูกฆ่า" เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นแล้ว แสดงว่าผู้เล่าล่วงรู้เหตุการณ์ทั้งหมด นี่แสดงให้เห็นถึงกลวิธีอีกแบบหนึ่งที่ทำให้น่าสนใจ และไปกันได้กับเรื่อง ยังมีกลวิธีอีกหลายวิธีสำหรับการเริ่มเรื่อง ซึ่งคุณจะต้องศึกษาจากนักเขียนท่านอื่นๆ 
 
2.การเชื่อมต่อระหว่าง ย่อหน้าหนึ่ง สู่อีกย่อหน้าหนึ่ง หลายคนมองข้าม เนื้อหาระหว่างย่อหน้า ว่าเรื่องมันไปด้วยกันได้ไหม อันนี้ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าคุณเขียนเยอะ คุณก็จะได้เยอะ ต้องขยันเขียน คุณจะเชื่อมย่อหน้าของคุณได้อย่างวิเศษที่สุด ผมให้ความสำคัญของย่อหน้าพอสมควร อย่างน้อยมันทำให้คุณรู้ว่าย่อหน้าต่อไปจะเขียนอะไร มันเป็นคล้ายๆโครงเรื่องย่อๆ การวางแผนในการเขียน เป็นสิ่งสำคัญ โครงเรื่องจะทำให้การเขียนไหลลื่น 
 
3.ผมว่านักเขียนใหม่จะกังวนใจเกี่ยวกับภาษาของตัวเอง วรรณศิลป์อาจจะมีส่วนสำคัญบ้าง แต่ถ้าคุณกำลังเริ่มต้น ผมว่าควรมองข้ามวรรณศิลป์ไปบ้าง เรื่องบางเรื่องภาษาอาจจะไม่สวย แต่มันมีคุณค่ายิ่งในแง่ของเนื้อเรื่อง คุณคงจะเคยได้ยินชื่อนิยายเรื่อง "ทุ่งฝัน" หรือ The Chacher In The Rye ของ เจ.ดี.ชาลิงเกอร์ อยู่บ้าง คุณจะต้องตกใจกับสำนวน คำสบถด่า คำสแลง การด่าทอชีวิต และยุค ('70) ของเขาอย่างมากมาย ผมจะยกตัวอย่างเบาะๆสำหรับภาษาของ ชาลิงเจอร์ "คนจะพูดกันแบบนั้นโดยเฉพาะพ่อผม มันมีส่วนจริงอยู่บ้างแต่ไม่ทั้งหมด คนเราชอบคิดเสมอว่าบางอย่างเป็นความจริงทั้งหมด ผมจะไม่ว่าที่พวกเขาคิดระยำหรอกยกเว้นตอนที่ผมเบื่อ เมื่อคนอื่นบอกให้ผมทำตัวสมอายุหน่อย" ความจริงเรื่องนี้มีคำสบถมากมายกว่านี้ แต่มันเข้ากับเนื้อเรื่องเป็นอย่างมาก ถ้าคุณเขียนเรื่องวัยรุ่น แต่คุณเขียนด้วยภาษากวี มันคงดูพิลึกพิลั่นไม่เบา ส่งที่ผมอยากแนะนำ ทำให้ภาษาเป็นเรื่องธรรมชาติ อย่าไปฝืนมันและไม่ต้องกลัวว่าคุณจะใช้ภาษาได้ถูกต้องตรงไวยกรณ์ จนเกร็งเขียนไม่ออกสักคำ อย่างที่ผมบอก การฝึกฝนคือหัวใจสำคัญ
 
4.จุดจบของเรื่อง ผมแทบจะไม่ต้องบอกเลยว่า เดี๋ยวนี้มีวิธีจบเรื่องมากมาย จนนึกไม่ออกเลยทีเดียว ไม่ว่าคุณจะหักมุมสามตลบ หรือว่าจะปล่อยให้เรื่องจบแบบเงียบๆ เรื่อยๆ หรือจะสรุปบทเรียนตัวละคร หรือแม้กระทั่งจบแบบดื้อๆ มันสามารถจบได้ทุกกลวิธี เพียงแต่มันจะรับกับเนื้อเรื่องและเหตุผลที่คุณเล่ามาทั้งหมดหรือเปล่า หลายคนตกม้าตายประจำในตอนจบเรื่อง เพราะต้องการหักมุมให้คนอ่านช๊อค แต่มันอาจจะทำลายเรื่องที่คุณชักนำเหตุการณ์มาทั้งหมด บางเรื่องเหมือนคุณหลอกคนอ่าน มากกว่าทำให้เขาฉงนฉงาย วิธีจบเรื่องที่ทำให้ดูดีที่สุด คือคุรต้องเลือกว่าเนื้อเรื่องที่ผ่านมาคุณบอกอะไรแก่คนอ่านบ้าง พยายามจบให้คนอ่านสามารถคิดจินตนการต่อไปได้ แต่มันก็อาจจะไม่ใช่กลวิธีที่ถูกที่สุด ในงานเขียนวัดกันไม่ได้ว่าสิ่งไหนดที่สุดี สิ่งในเลวที่สุด มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์มากกว่า และคนเขียนเท่านั้นที่จะตัดสินใจ
 
สำหรับบทความนี้ อาจจะไม่ได้ครอบคลุมถึงวิธีการโดยทั่วถึง ยังมีวิธีการอีกหลายล้านวิธี ในคราวต่อไปผมจะมาเล่าให้ฟังใหม่ ยังมีเก็ดเล็กเกร็ดน้อยมากมายมาเล่าสู่กันฟัง
 
บทความโดย นิวัต พุทธประสาท