Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

การอ่านเขียนอย่างเข้มข้นที่ “โรงเรียน”

   
      ลูกศิษย์ที่โรงเรียนเสาธงวิทยา จังหวัดนครศรีธรรมราช ของ “ครูไก่” ส่วนใหญ่เป็นเด็กมีปัญหาเพราะยากจนและไม่ได้อยู่กับพ่อแม่  ครูสอนภาษาไทยที่เป็นนักเขียนเช่นเขาเห็นว่าน่าจะมีสิ่งเชื่อมต่อระหว่างชีวิตกับชีวิต จึงสอนให้เด็กอ่านและเขียนหนังสืออย่างเข้มข้น  โรงเรียนสตรีศึกษา จังหวัดร้อยเอ็ดก็เช่นเดียวกัน ทุกๆ ปีจะเปิดค่ายนักเขียนน้อย ชวนลุงๆ ป้าๆ นักเขียนไปช่วยบ่มเพาะ ขัดเกลาฝีมือ
      กรณีของลูกศิษย์ครูไก่-นิวัฒน์ บุญญานุรักษ์ เป็นตัวอย่างที่สอดรับกับนักคิดบางคน ที่มองว่าในสังคมไทยส่วนใหญ่ การอ่านอาจไม่ได้เริ่มต้นที่ครอบครัวแต่เป็นโรงเรียน เพราะเด็กอยู่โรงเรียนมากกว่าอยู่บ้าน และเชื่อฟังครูมากกว่าพ่อแม่ซึ่งส่วนใหญ่ด้อยการศึกษา ยากจนและมัวแต่ทำงาน
      ครูไก่สอนวิชาภาษาไทยที่โรงเรียนเสาธงวิทยา อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช มานาน และก็เขียนเรื่องสั้น บทกวีมานานด้วย จึงรวมกลุ่มเยาวชนที่รักในงานเขียนก่อตั้งกลุ่ม “สายธารอ่านเขียนเรียนรู้ชีวิต” ขึ้นเพื่อเขียนเรื่องราว บทกวี เผยแพร่สู่สาธารณชน ขับเคลื่อนกิจกรรมการอ่านทั้งในและนอกรั้วโรงเรียน
      นิวัฒน์ บุญญนุรักษ์หรืออีกนัยหนึ่ง “รมณา โรชา” จำได้ว่าเมื่อเขาเริ่มสอนเขียนนิยาย เด็กชั้นมัธยมบอกว่า ครูเขียนให้ผมดูก่อน แต่เขาไม่เคยเขียนนิยาย จึงจำเป็นต้องเขียนให้เด็กดูเป็นตัวอย่าง  ต่อมานิยายเรื่องดังกล่าวได้รับรางวัลวรรณกรรมเยาวชนแว่นแก้วในปี 2550
       เขารู้ว่าการอ่านเป็นรากฐานสำคัญของการเป็นนักเขียน จึงพยายามทำกิจกรรมของกลุ่มที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดพฤติกรรมการอ่านขึ้น อาทิ ให้เด็กเก็บออมเงินและรวมกันซื้อหนังสือที่อยากอ่าน (ออมเงินวันละบาท ภายใน 2-3 วันจะได้หนังสือใหม่ 1 เล่ม) รวมทั้งรับบริจาคหนังสือจากบุคคลภายนอก สำนักพิมพ์ กลุ่มธุรกิจ และแหล่งต่างๆ ที่รู้ว่ามีกิจกรรมส่งเสริมการอ่านในโรงเรียน
       ครูไก่จัดสอนวิชาการอ่านเพื่อชีวิต มอบหมายให้เด็กๆ อ่านหนังสือ แล้วนำสิ่งที่แต่ละคนอ่านมาเล่าสู่กันฟัง ว่างๆ ก็พากันเดินเที่ยว ร้องเพลง ก่อนจะให้นักเรียนระดมความคิดหลังการอ่าน ซึ่งทำให้เกิดการพัฒนาความสามารถในการอ่าน สร้างทัศนคติต่อการอ่าน และเกิดนิสัยรักการอ่านหนังสือในที่สุด
       ทางภาคอีสาน คุณครูกลุ่มภาษาไทยของโรงเรียนสตรีศึกษา ร้อยเอ็ด ก็แข็งขัน มุ่งมั่นด้านการอ่านเขียนไม่แพ้กัน
 นอกจากการพัฒนาห้องสมุดของโรงเรียน  ตั้งกลุ่มจัดทำวารสารภายในของโรงเรียนเพื่อฝึกปรือฝีมือแล้ว ช่วงปิดเทอมทุก ๆ ปี กลุ่มคุณครูจะช่วยกันหาเงินทุนมาจัด “ค่ายนักเขียนน้อย” เรียนรู้ประสบการณ์ด้านการเขียนนอกสถานที่ และจะเชิญนักเขียนทุกสาขามาเป็นวิทยากรอบรมเด็กๆ  โดยรูปแบบค่ายฯ แบ่งเป็นสถานีย่อยๆ ประกอบด้วย เรื่องสั้น บทกวี และความเรียง/สารคดี  เด็กและพี่เลี้ยงที่มีความสนใจในเรื่องนั้นๆ เป็นพิเศษก็จะแบ่งกลุ่มกันหมุนเวียนไปตามสถานีต่างๆ  จากนั้น เด็ก ๆ ก็หามุมวาดลวดลายตามแนวถนัดของตัว เพื่อจะส่งให้ครูนักเขียน อ่านและวิจารณ์ในวันรุ่งขึ้น 
       กิจกรรมค่ายนักเขียนน้อยสร้างความสนุกสนาน ประทับใจ และช่วยกระตุ้นต่อมสนใจด้านการอ่าน การเขียนแก่เด็กๆ และคณาจารย์เสมอมา
 …………………
 รูปธรรมที่ชัดเจนจากการสร้างพฤติกรรมการอ่านที่โรงเรียนอย่างหนึ่งก็คือ ผลงานเขียน 
 เราลองพบกับบทกวีชิ้นหนึ่ง ลูกศิษย์ครูไก่เขียนว่า 
 ฟังสายน้ำเลาะไหลผ่านแก่งหิน
 เหมือนหัวใจโบยบินเหนือขุนเขา
 ธารสายใจล่องไหลอยู่แผ่วเบา
 ผ่านลำเนาโขดผาชโลธาร
 เหมือนสวรรค์ชั้นหนึ่งซึ่งยืนอยู่
 ให้ต่อสู้ยุคสมัยอย่างกล้าหาญ
 ปีนหน้าผาสูงชัน ฝันใฝ่ทะยาน
 ฝ่าโขดหินหยาบกร้านของหัวใจ
  
  บทกวี “เหนือขุนเขา” จากหนังสือ ดอกไม้ในแสงตะวัน
  ด.ช.อนุชา สุวรรณสะอาด  ม. 1 (ปีการศึกษา 2547) โรงเรียนเสาธงวิทยา

 

 

ภาพจาก:http://thaihealth.or.th