การตลาด’ ต้องนำหน้า ‘การผลิต’

มันเป็นเรื่องที่ยากยิ่งที่จะปรับความเข้าใจ เพื่อเป้าหมายเดียวกัน เพราะนักเขียนและคนทำหนังสือส่วนใหญ่ ค่อนข้างจะเป็น artist อารมณ์ศิลปินสูง!
แน่นอนครับ…มันเป็นเรื่องที่ยากยิ่งที่จะปรับความเข้าใจ เพื่อเป้าหมายเดียวกัน เพราะเท่าที่ผมเคยรับรู้มา เคยเจอมากับตัวเอง ในขณะที่การตลาดพยายามทำหน้าที่บอกฝ่ายกองบรรณาธิการว่า ตอนนี้ตลาดผู้อ่านต้องการอะไรหรือทิศทางหนังสือมันเป๋ไปหรือเปล่า แต่มักจะถูกต่อต้านจากกองบรรณาธิการ เพราะนักเขียนและคนทำหนังสือส่วนใหญ่ ค่อนข้างจะเป็น artist อารมณ์ศิลปินสูง!
แต่ฝ่ายการตลาดที่ดีก็ต้องทำตรงนี้ให้สำเร็จ เพราะคนทำนิตยสารหรือคนทำสำนักพิมพ์มานานๆ มักจะจมอยู่ตรงนั้น มันต้องมีคนช่วย overview ให้กอง บก.บ้าง
ฝ่ายการตลาดรุ่นใหม่ต้องทำการบ้านให้หนัก โดยเฉพาะ ข้อมูลด้านการขายสำคัญมาก ยอดขายหนังสือในรอบสัปดาห์,รอบเดือน,รอบสามเดือน แนวโน้มทิศทางความต้องการของผู้อ่านไปในทิศทางไหน,สำนักพิมพ์อื่นๆ ปรับปรุงพัฒนารูปเล่มอย่างไร,โปรโมชั่นส่งเสริมการขายแบบไหนที่โดนใจลูกค้า ฯลฯ ต้องนำกลับมานั่งพูดคุยกับกองบก.ผู้ผลิตหนังสือ
ผมว่า…ถ้ามองเส้นทางที่ผ่านมาของทายาทนักธุรกิจสื่อฯคนนี้ ต้องยอมรับการรับช่วงงานกิจการของครอบครัวมาสานต่อสำหรับเธอไม่ใช่เรื่องของวิบากกรรมหรือ มรดกทุกขลาภ หรอกครับ หากแต่เป็นบทพิสูจน์ของคุณค่าชีวิตการทำงานมากกว่า
เพราะในฐานะที่เธอ รับหน้าที่เป็น ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดฯ ยุคนั้น เห็นได้ชัดจากความนิยมที่ยั่งยืนในนิตยสารเดิมคือ "บ้านและสวน" "แพรว" และ "สุดสัปดาห์" ซึ่งเป็นนิตยสารรุ่นแรกของบริษัท ที่ทุกคนในสายธุรกิจนิตยสารยอมรับว่าทั้ง 3 เล่ม ขายดีอยู่แล้ว เธอทำ แค่รักษาคุณภาพ ปรับให้ทันยุค และทำให้ดียิ่งขึ้นไป
นอกจากนี้ยังมีมีนิตยสารหัวใหม่อีก 5 เล่ม ที่เกิดขึ้นมาใหม่ในยุคของเธอ ที่เธอต้องเข้าไปศึกษาตลาด วิเคราะห์ และวางแผนการตลาดตั้งแต่ต้น
"จุดยืนที่สำคัญก็คือเวลาเราทำอะไร (นิตยสารหรือหนังสือเล่ม) เราจะคิดว่าเราอยากเห็นคนอ่านได้อะไร และทำออกไปแล้วคนอ่านจะได้อะไร และมองว่าตลาดมีหรือยัง ถ้ามีและเขาทำกันดีอยู่แล้ว เราก็คงไม่ไปแข่งกับทีมที่แข็ง"
ที่สำคัญ ระริน เชื่อว่าหนังสือสร้างคนได้ และเปลี่ยนชีวิตคนก็ได้ ยิ่งถ้าเด็กอ่าน มันก็จะกล่อมเกลาเขาให้โตขึ้นเป็นแบบนั้น ถ้าสิ่งที่เราจะทำมันไม่ช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตเขา หรือเสียจุดยืนของเราก็ไม่น่าทำ ไปทำอย่างอื่น
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับแห่งความสำเร็จของค่ายอมรินทร์ฯคือ ความเอาใจใส่กับหนังสือ ค่อนข้างระวังในการเลือกผลิตหนังสือหรือนิตยสารในเครือ เพราะเธอยืนยันว่า หนังสือขายดีกับหนังสือที่ดีงาม มีคุณค่าไม่จำเป็นต้องสวนทางกัน
"ถ้าเรามี "ของดี" การตลาดก็ต้องทำให้มันยิ่งขายได้"
ถ้าจะให้ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัด คงต้องบอกว่า ชุดหนังสือธรรมะ ของ ว.วชิรเมธี น่าจะเป็นตัวอย่างของหนังสือดีที่ค่ายอมรินทร์ฯใช้การตลาดอย่างเข้มข้นเข้ามาช่วยกระตุ้นยอดขาย
เธอไขความลับข้อนี้เอาไว้ว่า ในฐานะผู้ผลิตหนังสือรุ่นใหม่อย่างเธอก็อยากทำหนังสือธรรมะให้คนรุ่นใหม่อ่าน แต่ด้านการตลาดก็มองว่า ถ้าทำปกรูปพระหรือดอกบัววัยรุ่นก็จะไม่อยากอ่าน เธอจึงทำปกสีสันน่ารักและขนาดรูปเล่มน่าหยิบ เพราะเชื่อว่า แม้ของจะดี แต่หากคนต้องไปควานหาหรือคนไม่หยิบเสียแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์
นอกจากนี้…เธอยังยึดมั่นคำสั่งสอนของคุณพ่อมาจนวันนี้ ที่สอนสั่งเธอเอาไว้ว่า…
"พ่อสอนไว้เลยว่าทำธุรกิจต้องมีความเพียรในทางที่ชอบเป็นที่ตั้ง รวมทั้งต้องซื่อสัตย์ และไม่โลภ" คำสอนนี้กลายเป็นจุดยืนของเธอและบริษัท
ครับ-แม้ว่าการเป็น "บริษัทมหาชน" ต้องคิดถึงผลกำไรมากขึ้น ทว่าคุณค่าทางสังคมก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด
ผมว่าคนทำหนังสือทั้งหลายน่าจะเก็บไปขบคิดต่อนะว่า ถ้าอยากให้คนอ่าน…อ่านหนังสือดีๆ หนังสือที่มีคุณภาพก็ต้องเอาใจใส่ พิถีพิถันกับการทำงานมากยิ่งขึ้น และถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นไปอีกก็ต้อง..ฟัง…ข้อมูลจากฝ่ายการตลาดด้วย
ธุรกิจหนังสือไม่ใช่ธุรกิจที่ทำเงินมหาศาล ผมว่านักธุรกิจสิ่งพิมพ์ทั้งหลายที่ควักเงิน-หมุนเงินมาลงทุนจัดพิมพ์หนังสือคงไม่ได้หวังผลกำไรร่ำรวยมหาศาลหรอก เพราะถ้าอยากรวยมากๆ ก็น่าไปทำอย่างอื่น อย่ามาทำหนังสือหรือนิตยสาร
ผมถามนายทุนมาหลายต่อหลายคนแล้ว ไม่ว่าจะเป็น รุ่นเก่าหรือว่ารุ่นใหม่…รุ่นเถ้าแก่หรือว่ารุ่นลูกเถ้าแก่ ทุกคนบอกตรงกันว่า….มันไม่ใช่ธุรกิจที่จะสร้างความร่ำรวยมหาศาลหรอกครับ-ทำเพราะรัก!
สำหรับคนทำหนังสือทั้งหลาย… กำลังใจจากคนอ่านเป็นเหมือนเข็มทิศชีวิตครับและเป็นเสมือนทุ่น เป็นท่อนไม้ให้พวกเราคนทำหนังสือได้ยึดเกาะพยุงตัว ในยามที่ต้องเผชิญกับมรสุมเศรษฐกิจ มรสุมชีวิตในการทำงานกลางทะเลน้ำหมึก
ขอเพียง เวลาเราไปเดินตามร้านหนังสือหรือไปที่ไหนก็ตาม แล้วมีคนรู้ว่าเราคือ คนทำหนังสือเล่มนั้นๆ เข้ามาแล้วบอกว่า
"ขอบคุณมากที่เราทำหนังสือเล่มนี้ มันทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น" หรือ "ชอบหนังสือเล่มนี้มาก อ่านแล้วมีความสุข"
ผมว่าได้ยินแค่นี้… คนทำหนังสือทุกคน…ทำงานลืมตายเลยล่ะครับ ไม่ว่าจะเป็นลูกเถ้าแก่ หรือว่าลูกจ้าง!!
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ