กรุงเทพมหานคร : เมืองหนังสือโลก 2556

เสร็จสิ้นแล้วสำหรับการตัดสิน 'เมืองหนังสือโลก' หรือ World Book Capital ปี ค.ศ. 2013 ถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของประเทศไทย ที่จะมีเมืองหลวงเป็นเมืองหนังสือโลก ในอีกสองปีข้างหน้า
น่าจะเป็นข่าวดี ข่าวใหญ่ที่สุดของวงการหนังสือบ้านเราในปีนี้ ที่กรุงเทพมหานคร ภายใต้การนำทัพของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร และภาคีเครือข่ายองค์กร 89 แห่ง ร่วมกันระดมความคิด และผลักดันกระทั่งกรุงเทพมหานครได้รับเลือกจาก UNESCO ให้เป็นเมืองหนังสือโลกในปี ค.ศ. 2013 ได้ตามที่ตั้งความหวังไว้
ยิ่งถ้าได้ทราบรายชื่อเมืองอื่นๆ ที่ร่วมชิงชัยในครั้งนี้แล้วจะยิ่งประหลาดใจ เพราะล้วนแต่เป็น 'เมือง' ที่มีคนอ่านหนังสือมากกว่า 'ประเทศไทย' เรามากมายนัก ซึ่งกรรมการตัดสินอันประกอบด้วยผู้แทนจากสมาคมผู้จัดพิมพ์นานาชาติ International Publishers Association (IPA), สหพันธ์ผู้จัดจำหน่ายหนังสือนานาชาติ International Booksellers Federation (IBF), สหพันธ์สมาคมและสถาบันห้องสมุดนานาชาติ International Federation of Library Associations and Institutions (IFLA) และองค์การสหประชาชาติ UNESCO ได้จัดการประชุมเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2554 ที่ผ่านมา เพื่อพิจารณาเอกสารการสมัครของเมืองต่างๆ ทั้งหมด 7 เมือง ได้แก่ กรุงเทพฯ ประเทศไทย ,ไคโร สาธารณรัฐอาหรับแห่งอียิปต์ , อินเชิน สาธารณรัฐเกาหลี , เควซอน ประเทศฟิลิปปินส์ , ควิโต ประเทศเอกวาดอร์ , ชาร์เรีย ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเสิ่นเจิ้น สาธารณรัฐประชาชนจีน ก็ได้พิจารณาให้แผนการดำเนินงานของกรุงเทพฯมีชัยเหนือเมืองคู่แข่ง
รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ทยา ทีปสุวรรณ เปิดเผยความรู้สึกว่า "เราก็มีความหวังนะ ตอนที่ประชุมก็ถามทีมงานว่าเมื่อสี่ปีที่แล้วเราไม่ได้เพราะอะไร แล้วเราก็มาเติมให้เต็ม เมื่อทำแผนมาก็มั่นใจระดับหนึ่ง แต่วันที่ยื่น เห็นรายชื่อประเทศอื่นๆ ก็รู้สึกว่าคู่แข่งมีศักยภาพกันทุกเมือง ถ้าได้ ก็ถือว่าเรามีศักยภาพที่สุด แต่ถ้าไม่ได้ก็ยังเดินหน้าต่อไปอยู่ดี เราคุยกับภาคีไว้แล้วว่า งบทุกบาทที่เราตั้งไว้จะผลักดันต่อ สิ่งที่เราหวังที่สุด คือคนรักการอ่านมากขึ้น ไม่ใช่รางวัล"
ด้านวรพันธ์ โลกิตสถาพร นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย ในฐานะภาคีหลักในการขับเคลื่อนแผนงานนี้เล่าด้วยว่าจริงๆ ก็คาดหวังว่ากรุงเทพฯ จะได้รับเลือก เพราะเมื่อสี่ปีก่อนเคยยื่นเสนอตัวแล้วแต่พลาดไป ซึ่งนั่นก็เป็นประสบการณ์สำคัญ ทำให้ได้รู้จุดแข็งจุดอ่อน เมื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่อง และเมื่อได้กรุงเทพมหานครและเครือข่ายมาระดมสมอง เมื่อมีความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะก็นำไปปรับใช้
"ผมคิดว่างานนี้กรุงเทพฯจะสร้างเกียรติยศให้กับประเทศไทย เขาบอกคนไทยอ่านน้อย กรุงเทพฯ 10 กว่าล้านคน ประเทศไทย 70 กว่าล้านคนก็ 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ไปแล้ว มีผลต่อตัวเลขการอ่านแน่นอน และจะสร้างตัวอย่างดีๆ เอาไว้ให้เมืองอื่นๆ ถึงแม้จะไม่ยื่นก็ตามแต่ก็ดึงบางอย่างไปใช้ได้ วิธีที่เป็น best practice ส่งเสริมการอ่านในโรงเรียนเอาไปใช้ได้เลย วิธี best practice ส่งเสริมการอ่านสำหรับคนสูงวัยเอาไปใช้ได้เลย" วรพันธ์กล่าว
0เราได้อะไรเมื่ออาศัยในเมืองหนังสือโลก
คงมีคำถามเกิดขึ้นในใจหลายคนว่า เราจะได้อะไรจากการเป็นเมืองหนังสือโลก และเราจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรในฐานะชาวเมืองหนังสือโลก อาจดูตลกที่อยู่ๆ คนกรุงเทพฯ ก็ต้องเป็นชาวเมืองระดับโลกโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
แท้จริงแล้วแทบไม่มีอะไรแตกต่างไปจากปกติวิสัยที่คนไทยเคยทำ เพียงจุดประสงค์ที่ผู้หลักผู้ใหญ่อ้างไว้คือ อยากให้คนไทยได้อ่านหนังสือมากขึ้นก็เท่านั้น ซึ่งตามหลักภูมิศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ หรือศาสตร์ใดๆ ก็ตาม กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ศูนย์กลางทางการเมือง ศูนย์กลางการคมนาคม และศูนย์กลางทางการศึกษาอยู่แล้ว สิ่งที่กรุงเทพมหานครและภาคีเครือข่ายมุ่งหวังจากการติดป้ายชื่อว่า 'เมืองหนังสือโลก' คือยกระดับการเรียนรู้นอกระบบ การพัฒนาความคิดอ่านของคนกรุงเทพฯ โดยเฉพาะเด็ก เยาวชน ซึ่งจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต
นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ อธิบายด้วยว่า "การยกระดับการศึกษาด้วยการอ่านต้องใช้เวลา มันไม่ได้ดีขึ้นภายในพรุ่งนี้ แต่มันต้องสะสมความรู้ ถ้ากรุงเทพฯขยายพื้นที่การอ่านเยอะๆ พื้นที่เสี่ยงจะลดลง เราใส่พื้นที่บวกเข้าไป พื้นที่เสี่ยงก็จะลดลง ปัญหาก็จะน้อยลงเพราะฉะนั้นจะยกระดับสิ่งแวดล้อมโดยรวมของกรุงเทพฯเพราะคนรู้จักคิด ใช้เวลาอย่างมีประโยชน์
ถ้าถามว่าประเทศได้อะไร ปกติกรุงเทพฯคือตัวอย่างของเมืองใหญ่ๆ ผมเชื่อว่าการได้รับคัดเลือกครั้งนี้เมืองอื่นเขามองนะ เอาง่ายๆ อุบลราชธานีที่เราจัดงานอยู่ จะรู้สึกว่าฉันก็ทำได้นี่ เพราะว่าการยื่นเป็นเมืองหนังสือโลกไม่จำเป็นต้องเป็นเมืองหลวง เพราะฉะนั้นเชียงใหม่ก็ยื่นได้ ภูเก็ตก็ยื่นได้" วรพันธ์กล่าว
เพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรมมากกว่าคำพูด กรุงเทพมหานครและภาคีได้เสนอกิจกรรมมากมายที่คาดว่าจะสร้างวัฒนธรรมการอ่านแก่คนไทยได้ ด้วยงบประมาณ 1,018,000,000 บาท ซึ่งประเทศอื่นที่ได้รับเลือก เช่น ในปี 2012 เมืองเยเรวาน ประเทศอาร์เมเนีย ใช้งบประมาณ 77 ล้านบาท !
ในแผนงานหลักๆ ที่กรุงเทพมหานครเสนอไว้ มีตั้งแต่เรื่องการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน การผลักดันให้คนกรุงเทพฯสนใจอ่านหนังสือมากขึ้น และเพิ่มพื้นที่การอ่าน เดิมทีกรุงเทพฯมีร้านหนังสือ 3,000 แห่ง ห้องสมุด 37 แห่ง มีบ้านหนังสือ 120 กว่าแห่ง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร จึงให้นโยบายว่าต้องการเพิ่มห้องสมุดให้ได้ครบทั้ง 50 เขต และบ้านหนังสือที่สร้างจากตู้คอนเทนเนอร์มาต่อกันก็ต้องเข้าไปตั้งในชุมชนให้มากขึ้นด้วย
รองผู้ว่าฯ ทยา อธิบายว่า "เรื่องการเพิ่มพื้นที่ เราไม่ได้ทำคนเดียว เราทำร่วมกับหน่วยงานอื่น เช่น สถานการศึกษา จากเดิมโรงเรียนเปิดวันธรรมดา เราก็คัดมา 50 กว่าโรงเรียน ให้เปิดห้องสมุดวันเสาร์-อาทิตย์ด้วย เพื่อให้บริการประชาชนได้ อย่างพื้นที่อื่นๆ เช่นสำนักงานเขต ก็ให้นโยบายไปว่าเวลาคนมาใช้บริการ น่าจะมีมุมหนังสือให้คนที่รอรับบริการได้อ่านหนังสือ ฯลฯ อ่านได้ทุกที่ทุกเวลา นี่เราเพิ่งดำเนินโครงการ Read on the move ไป เพื่อเพิ่มพื้นที่การอ่านในการเดินทางด้วย คาดว่าไม่เกินเดือนกันยายนจะพยายามให้ได้แท็กซี่ 500 คัน ตอนนี้เปิดตัวไป 50 คัน ทุกคนมีความสุข ก็เป็นการตอบรับที่ดี"
อีกพื้นที่หนึ่งที่กรุงเทพฯวางแผนไว้อย่างใหญ่โตมโหฬาร คือ ห้องสมุดเมือง City Library พิพิธภัณฑ์หนังสือและการอ่านไทย ศูนย์วิจัยการอ่าน ซึ่งแปรสภาพจากศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ที่จะย้ายไปที่ทำการใหม่ ต้องใช้งบประมาณกว่า 500 ล้านบาท !
นอกจากนี้ สิ่งที่เราจะได้รับ คือ ได้พบเห็นกิจกรรมที่เชื่อกันว่าจะส่งเสริมคนไทยให้สนใจการอ่านหนังสือ ตลอดปีนี้จนถึงปี ค.ศ. 2013 และอาจล่วงเลยไปถึง ค.ศ. 2014 โดยกิจกรรมเหล่านี้ถูกริเริ่มจากการประชุมเครือข่ายภาคี ซึ่งแต่ละองค์กรก็มีหมัดเด็ดของตนอยู่แล้ว บรรดาหัวเรือใหญ่ก็นำมาจัดกลุ่มรวมกันว่าหมัดนั้นจะถูกปล่อยออกเมื่อใด
แน่นอนว่ากิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบริจาคหนังสือย่อมปรากฏในแผนงานนี้ ทว่าปัญหาที่มักจะติดสอยห้อยตามการบริจาคคือ 'ขยะ' แต่ไม่รู้จะนำไปทิ้งที่ไหน เมื่อมีที่ทิ้งดีๆ ทั้งยังสร้างภาพลักษณ์แก่คนทิ้งได้ด้วย ขยะเหล่านั้นคงหลั่งไหลสู่ห้องสมุด ที่สำคัญสู่สมองของเด็ก เยาวชนเป็นแน่ แล้วผู้รับผิดชอบจะมีคำตอบแก่สังคมอย่างไร พวกเขาตระเตรียมการมากน้อยแค่ไหน ?
ทยา ทีปสุวรรณ ชี้แจงว่า "คงต้องมีการคัดเลือกก่อน เมื่อเรารับบริจาคมา หรือทางสำนักพิมพ์จะส่งหนังสือมาให้เรากระจายต่อ ก็มีคณะกรรมการในเครือข่ายนี้ล่ะ คงไม่ใช่รับหนังสือที่แย่ๆ มา และไม่ได้แค่คัดหนังสือดีไม่ดีอย่างเดียว แต่จะคัดให้เหมาะกับกลุ่มคนอ่านด้วย"
จำนวนและคุณภาพของบุคลากร และการเข้าถึงห้องสมุดอย่างแท้จริง นับเป็นปัญหาสำคัญอีกบางประการหากแผนงานมุ่งสู่การเพิ่มจำนวนห้องสมุด ถ้าละเลยไปอาจไม่เกิดผลลัพธ์ที่ดีได้ หนำซ้ำยังจะคล้ายเป็นการนำเงินไปเทถมในกองปูนกองทรายอีกด้วย แต่ในฐานะตัวแทนภาคีใหญ่ วรพันธ์ ยังย้ำชัดด้วยว่าไม่ได้มีการมองข้ามปัญหาเหล่านี้
"ห้องสมุดที่เพิ่มขึ้นต้องมีบรรณารักษ์ดี เพราะบรรณารักษ์คือกลไกในการบริหารห้องสมุด ฉะนั้นห้องสมุดจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการให้เข้ากับชีวิต ชาวบ้านเขาทำงานกลับจากไร่นามา 5 โมง คุณต้องเปิด คุณมาเปิด 8 โมงครึ่ง เลิก 3 โมงก็จบ เด็กนักเรียนหยุดเสาร์-อาทิตย์ หรือเลิกเรียนบ่ายสาม คุณก็ต้องเปิดเวลาที่เขาเลิกเรียนให้เขาใช้เวลาว่าง ไม่ใช่เปิดตอนเขาเรียน เวลาเขาว่างคุณปิด เขาก็ไปทำอย่างอื่น ห้องสมุดต้องเปลี่ยนวิธีคิด"
และถือเป็นสีสันหนึ่งของโครงการนี้ เมื่อมีการเชิญคนดังจากหลายอาชีพ หลายช่วงวัย มาเป็น 'ทูตรักการอ่าน' สร้างแรงบันดาลใจให้คนไทยอยากอ่านตาม ได้แก่ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี พระนักการศึกษา ผู้สร้างการเรียนรู้สู่สังคม นักคิด นักเขียนที่มีอิทธิพลทางความคิดต่อคนในสังคมไทย, ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร, อินทิรา เจริญปุระ นักร้อง นักแสดง และคอลัมนิสต์, ดร.นาวิน เยาวพลกุล นักแสดง และอาจารย์มหาวิทยาลัย, แพรกานต์ นิรันดร นักเขียนนิยาย, พัทธดนย์ เกลี้ยงจันทร์ หรือน้องเดียว ผู้ชนะเลิศเกมทศกัณฐ์เด็ก และเป็นพิธีกร และฑูตรักการอ่านคนล่าสุดที่กรุงเทพมหานครได้รับการตอบรับหมาดๆ คือ วูดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา พิธีกรชื่อดัง
จากวันนี้วันที่คนไทยได้ข่าวดีว่าเราชนะการประกวดแผนงานแล้วและมีอะไรระดับโลกที่ไม่ใช่ 'ใหญ่สุด !' หรือ 'ยาวสุด !' จวบจนถึงวันสุดท้ายที่เราถือครองตำแหน่งเมืองหนังสือโลกในปี ค.ศ. 2013 อาจมีหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วัฒนธรรมรักการอ่านที่จะงอกงาม ภาพคนไทยเดินถือหนังสือจนชินตา นั่งอ่านหนังสือทุกหัวระแหง พูดจากันเรื่องหนังสือเป็นกิจวัตร จะเป็นจริงได้หรือฝันสลาย เราคงต้องรอดูกันต่ออีกยาวนาน เพราะนี่คือ 'โครงเรื่อง' เท่านั้น หาใช่ 'บทสรุป' ไม่
วรพันธ์ โลกิตสถาพร ทิ้งท้ายด้วยหวังว่า "…ผมเชื่อว่าเราจะเห็นจุดให้บริการหนังสืออ่านฟรีเยอะในเชิงรูปธรรม สอง เราจะเห็นคนถือหนังสือนั่งอ่านบนรถมากขึ้น หรือในเวลาว่างมากขึ้น สาม เราคาดหวังว่าเราจะเห็นครอบครัวมีห้องสมุดอยู่ในบ้าน สี่ สิ่งที่เราเห็นแน่ๆ คือห้องสมุดเมือง…"
อีกสองปีเราจะได้รู้กันแล้วว่ากรุงเทพมหานครจะเป็น 'เมืองหนังสือโลก' โดยสมบูรณ์หรือไม่ — เอาใจช่วย
สาส์นแสดงความยินดี
จาก สมาคมผู้จัดพิมพ์นานาชาติ (International Publishers Association -IPA)
“กรุงเทพฯ ประเทศไทย ได้รับเลือกให้เป็นเมืองหนังสือโลก ปี 2013”
29 มิถุนายน 2011
กรุงเทพฯ ประเทศไทย ได้รับคัดเลือกให้เป็น World Book Capital 2013 ในการประชุมสรุปของคณะกรรมการคัดเลือกเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2011 ณ สำนักงานใหญ่ องค์การยูเนสโก ด้วยเหตุผลที่กรุงเทพฯ ได้ “แสดงความมุ่งมั่นที่จะผนึกกำลังทั้งผู้มีส่วนได้เสียในวงการหนังสือ และภาคส่วนอื่นๆ เข้ามาร่วมมือกันอย่างหลากหลาย พัฒนาโครงการที่มุ่งประโยชน์ชุมชน และมีพันธสัญญาในระดับสูงที่จะผลักดันกิจกรรมต่างๆ ที่เสนอไว้อย่างจริงจัง”
คณะกรรมการคัดเลือกประกอบด้วย ผู้แทนจากสมาคมผู้จัดพิมพ์นานาชาติ – International Publishers Association (IPA), สหพันธ์ผู้จำหน่ายหนังสือนานาชาติ – International Booksellers Federation (IBF), สหพันธ์สมาคมและสถาบันห้องสมุดนานาชาติ – International Federation of Library Associations and Institutions (IFLA) และองค์การยูเนสโก
เลขาธิการ IPA – Jens Bammel กล่าวว่า “IPA รู้สึกประทับใจในเอกสารที่กรุงเทพฯ ได้ยื่นสมัครต่อคณะกรรมการมาก สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย – Publishers and Booksellers Association of Thailand (PUBAT) ซึ่งเป็นสมาชิกของ IPA เองก็ให้การสนับสนุนการยื่นสมัครนี้ด้วยความอดทนมาหลายปี และได้ทำงานอย่างหนักเพื่อรวบรวมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในส่วนต่างๆ เข้ามาร่วมกัน โดยเมื่อ 4 ปีก่อนก็เคยยื่นมาแล้วครั้งหนึ่ง ในปีนี้ ภาคีการอ่านกรุงเทพฯ (www.bangkokreadforlife.com) ได้รวบรวมหน่วยงานต่างๆ ถึง 500 องค์กรทั้งในและนอกแวดวงหนังสือ (เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) เพื่อร่วมกันนำเสนอโครงการที่ชัดเจน,น่าตื่นตาตื่นใจ และมีความมุ่งมั่นสูง เพื่อให้กรุงเทพฯ ได้เป็น World Book Capital ในปี 2013 ซึ่ง IPA ขอแสดงความยินดีกับกรุงเทพฯ ด้วยความจริงใจ —
— เอกสารสมัครครั้งนี้ มีไอเดียและการริเริ่มใหม่ๆ ที่น่าสนใจจำนวนมาก ทั้งแสดงออกถึงความมุ่งมั่นอย่างสูงที่จะผลักดันให้สำเร็จ เช่น อาคารเก่าของศาลาว่าการกรุงเทพฯ ก็จะได้รับการปรับปรุงให้กลายเป็น “พิพิธภัณฑ์เมือง” และ “หอสมุดเมือง” และ กรุงเทพฯ ก็จะมีพิพิธภัณฑ์การ์ตูนไทย เกิดขึ้น เป็นต้น นอกจากนี้ IPA ก็ยังยินดีเป็นอย่างยิ่งที่กรุงเทพฯ เสนอตัวที่จะเป็นเจ้าภาพการประชุม IPA Publishers Conference ในปี 2014 ด้วย
IPA พร้อมที่จะร่วมงานกับเพื่อนชาวไทย โดยเฉพาะสำนักพิมพ์ของไทย และ PUBAT เพื่อนำความสำเร็จมาสู่การเป็นเมืองหนังสือโลกของกรุงเทพฯ ต่อไป"
เรื่องราวดีๆจากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ เรื่้องโดย : โดย : ปริญญา ชาวสมุน , วีรภัทร บุญมา