กนกวลี พจนปกรณ์ บนสังเวียนน้ำหมึก

“สมัยเรียน ครูบาอาจารย์บอกว่า อ่านอะไรให้ดูว่ามีสี่อย่างนี้ไหม คือ งามภาษา งามเนื้อหา งามความคิด งามจิตสำนึก
เมื่อเรามาเป็นนักเขียนก็ยึดสี่อย่างนี้เป็นหลักในการทำงาน ภาษาใช้ให้ถูกต้องตามหลักภาษา เพราะการเขียนนิยายมีการเขียนอยู่สามลักษณะ คือ พรรณนาโวหาร อธิบายความ และบทสนทนา หลักการใช้ภาษาจะต้องถูกต้อง บทสนทนาต้องใช้ภาษาพูด ไม่เอาภาษาเขียนมาใช้ ส่วนพรรณนาโวหารจะเป็นการเขียนฉากให้เห็นสิ่งแวดล้อม อธิบายความ จะอธิบายความคิด บุคลิก การกระทำของตัวละคร หรืออธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เวลาเขียนเนื้อหาต้องไม่ล่อแหลมต่อศีลธรรม ต้องอยู่ในกรอบจารีตอันดีงาม ไม่สร้างความรุนแรงแตกแยก งามความคิดสำคัญมาก ความคิดที่เราให้ไปต้องเป็นความคิดที่ดีงาม ไม่ผิดศีลธรรมจรรยา งามจิตสำนึก ต้องเขียนให้คนอ่านแล้วเกิดจิตสำนึกที่ดี เพราะวรรณกรรมมีพลังมาก คนอินไปกับงานของเราอย่างไม่รู้ตัว”
นี่คือหลักการทำงานของนักเขียนนวนิยายรุ่นเก๋า “กนกวลี พจนปกรณ์” ที่ยึดถือปฏิบัติมากว่า 20 ปี นับตั้งแต่เริ่มเขียนเรื่องสั้นแนวสะท้อนสังคมชีวิตในสยามรัฐสุดสัปดาห์ ในช่วงปี 2523 ในยุคสมัยนั้นงานเขียนของกนกวลีมักเป็นปากเป็นเสียงให้ผู้หญิงไทยในหลายแง่หลายมุม และนอกจากเรื่องสั้นยังมีงานเขียนสำหรับเด็กด้วย ประวัติการทำงานของเธอนั้นยาวนาน นับถึงวันนี้ก็กินเวลาไปกว่าสองทศวรรษแล้ว ยังไม่นับอนาคตที่ปัจจุบันเธอยังเพียรสร้างงานเขียนประเภทนวนิยายลงตีพิมพ์ในนิตยสารไทยชื่อดังที่คอนิยายตัวจริงต้องอ่านนั่นคือ สกุลไทย และหญิงไทย
กนกวลี เล่าให้เห็นถึงวิถีการทำงานเขียนของเธอว่า กว่าจะมีชื่อเสียง มีแฟนๆ รอตามอ่านงานอย่างขณะนี้นั้น เมื่อก่อนจะต้องแสดงตัวตน และหาพื้นที่ยืนของตัวเองให้ได้ ไม่เพียงเริ่มต้นที่มีใจรักงานเขียนแค่นั้น แต่การมั่นคงและมุ่งมั่นในจุดมุ่งหมายที่ต้องการเป็นนักเขียนนั้น เส้นทางนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเลย
“การเขียนนิยายมาเป็นยี่สิบปี ในเรื่องของการทำงานนั้นเรามีความสุข สนุก ทุกเรื่องที่จบลงไปจะมีความสุขมาก ระหว่างการทำงานก็มีความสุข เหมือนเราได้เล่าอะไรที่เรามีอยู่ข้างในให้คนอื่นฟัง แต่การเขียนหนังสือไม่ได้เกี่ยวข้องกับเราคนเดียวเท่านั้น ยังมีปัจจัยหลายอย่าง อย่างช่วงแรกๆ ยากมากกว่าที่จะยืนได้อย่างปัจจุบัน เพราะเราไม่ได้เขียนหนังสือตามกระแส และเราไม่ได้คิดว่ามาทำชั่วคราว แต่เราตั้งใจเป็นนักเขียนจริงๆ เพราะฉะนั้นตรงนี้จะต้องมั่นคงในจุดยืนของเรา แล้วเวลาทำงานช่วงที่ผ่านมา คำว่านักเขียนอาชีพไม่ง่ายนะ ถ้าเราเขียนหนังสือเล่มหนึ่งแล้วบอกว่าเป็นนักเขียนอันนั้นง่ายมาก แต่เขียนหนังสือเลี้ยงตัวเราได้ไม่ง่ายเลย เมื่องานของเราเขียนเสร็จ ต้องมีที่พิมพ์ ต้องมีคนอ่าน ซึ่งสำคัญมาก ถ้าเราไม่มีแฟนๆ รออ่านงานอยู่ใครจะอยากพิมพ์งานของเรา ยิ่งเราทำงานไม่มีอาชีพอื่น ตรงนี้เรายิ่งต้องพัฒนาการเขียน”
ในยุคสมัยของกนกวลีพื้นที่ของคนเขียนนิยายที่ส่งตรงถึงคนอ่านและได้รับความนิยมมากก็คือ นิตยสาร ซึ่งปัจจุบันก็ยังครองใจอยู่เช่นเดิม ทว่าในปัจจุบันพื้นที่บนโลกอินเทอร์เน็ตได้เปิดโอกาสให้นักเขียนรุ่นใหม่ๆ ได้แสดงฝีมือ ซึ่งในฐานะนักเขียนรุ่นพี่ กนกวลีให้ความเห็นว่าเป็นบันไดขั้นแรกของการก้าวสู่การเป็นนักเขียน แต่นั่นต้องหมายความว่าคนคนนั้นจะพยายามก้าวต่อไปเรื่อยๆ ไม่หยุด ไม่ถอยลงมาเสียก่อน เพราะเส้นทางนี้ไม่ได้พิสูจน์กันสั้นๆ
“พื้นที่บนอินเทอร์เน็ตเป็นโอกาสที่ดีของคนอยากเขียน เพราะพื้นที่หนังสือมีน้อย และหนังสือแต่ละเล่มนักเขียนเก่าก็ยึดพื้นที่ไว้ ซึ่งกว่าจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้ถึงยากมาก อย่างตัวเราเองกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้เราก็ไม่อยากลง พอเราไม่อยากลงเราก็ต้องพัฒนางานของเราอยู่ตลอดเวลา ทำให้โอกาสนักเขียนใหม่มาแทนเราก็มีน้อย ถ้าจะมีนักเขียนใหม่มาเขาต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้ก่อน ดังนั้นพื้นที่บนอินเทอร์เน็ตถึงดีที่เปิดโอกาสให้ได้ฝึกเขียน หรือเขาจะสู้ต่อไปจนเป็นนักเขียนอาชีพไหม ในขณะที่นักเขียนที่อยู่บนนิตยสารอยู่กันมามากกว่าสิบปี”
กว่าจะมายืนอยู่จุดนี้ได้ กนกวลี พัฒนางานลีลาการเขียนขึ้นมาเป็นลำดับ จนทำให้งานรุ่นหลังแตกต่างกับงานยุคเริ่มต้นอย่างมากมาย
“พอเรามีประสบการณ์ชีวิต มุมมองชีวิตก็เปลี่ยนไป การใช้ภาษาเราก็เชี่ยวชาญช่ำชองขึ้น การคิดพล็อตต่างๆ ถึงวันนี้งานก็เข้มข้นกว่ายุคแรก ประสบการณ์ชีวิตสอนทุกสิ่งทุกอย่างให้เรา งานเขียนหนังสือก็เหมือนกัน เราจะต้องปรับปรุงพัฒนางานตลอดเวลา จะตั้งมั่นเอาไว้เลยว่าต้องเอางานเขียนเก่าๆ ของตัวเองมาอ่านซ้ำว่าเราพลาดตรงไหน งานยุคหลังๆ ก็เหมือนได้บทเรียนตัวเอง สอนตัวเองมาตลอด อย่างกลับมาอ่านงานที่ห่างกันสักปียังพูดกับลูกว่า แม่อยากหยิบงานเก่ามาเขียนใหม่ แต่ก็นั่นแหละงานศิลปะจบแล้วก็จบ แต่มันก็เป็นประวัติการทำงานของเรา
อย่างเมื่อก่อนเราเห็นอะไรก็ถ่ายทอดไปตามนั้น แต่ตอนนี้การมองชีวิตเราเปลี่ยนไป เรามองลึกลงไปจะทำให้เข้าใจชีวิตมากขึ้น ส่วนหนึ่งที่ได้รู้จักชีวิตมนุษย์มากขึ้นก็มาจากการเขียนนวนิยาย เวลาเราจะเขียนอะไรก็อยู่ที่มุมมองของผู้เขียนจะดึงเอามุมไหนมา มุมรักใคร่ เบื้องหลังสิ่งที่เราเห็นมีอะไร มนุษย์ทุกคนต้องมีที่มาที่ไป คนเราเป็นแบบนี้ มีพื้นฐานแบบไหน มีเหตุก่อนมาเป็นผล การที่เรารู้จักมนุษย์ไม่ได้หมายถึงเราออกไปเจอ ไปหา แต่ทุกคนที่เราเห็นล้วนแต่เป็นสิ่งที่เราต้องนิ่งพินิจพิจารณาทั้งสิ้น เราเห็นการกระทำอย่าเพิ่งสรุปตามที่คิด ต้องคิดก่อน พิจารณาก่อน มีเหตุปัจจัยอะไร ตรงนี้จะทำให้เราไม่เชื่ออะไรง่ายๆ”
นักอ่านที่ยังไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสกับงานยุคแรกๆ ของ กนกวลี พจนปกรณ์ ตอนนี้ทางสำนักพิมพ์อรุณได้นำพรมกุหลาบ กำแพงดอกไม้ สายใยรัก ฯลฯ กลับมาวางจำหน่ายอีกครั้ง
ท้ายนี้ กนกวลี บอกว่า เรื่องที่แต่งเป็นนวนิยายนั้น เรื่องจริงอาจมีมากกว่าเรื่องที่แต่งขึ้นมาเองเสียอีก แต่ในการเขียนนั้นไม่ได้หยิบยกเอาชีวิตของใครคนใดคนหนึ่งมาเขียน แม้ว่าพล็อตเรื่องจะเริ่มจากชีวิตจริงก็ตาม แต่ได้เอามาปรุงแต่งตามจินตนาการของผู้เขียนเอง และเมื่อเขียนนิยายแล้วสามารถทำให้สมจริง คนอ่านก็จะอินตาม ดังนั้นความสมจริงนี่แหละคือหัวใจของนิยาย
แท้แล้วมีเส้นแบ่งบางๆ ระหว่างเรื่องจริงกับเรื่องแต่งของชีวิตที่โลดแล่นอยู่ในหนังสือนวนิยาย
รายงานโดย :มัลลิกา นามสง่า
วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552
บันเทิง – ไลฟ์สไตล์