กนกวลี พจนปกรณ์ นักเขียนนิยายที่กลายมาเป็นละคร

สาวเวียงสาจังหวัดน่าน จบจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เริ่มเขียนหนังสือตั้งแต่ช่วงที่จบมหาวิทยาลัยใหม่ๆระหว่างช่วงปี 2523-2524 ผลงานเขียนชิ้นแรกของกนกวลี พจนปกรณ์ เป็นงานเขียนเรื่องสั้นแนวสะท้อนสังคม โดยผลงานเรื่องแรกได้ลงตีพิมพ์ในสยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ ชื่อเรื่อง “ทางไปสู่ดวงดาว” หลังจากนั้นเธอก็เขียนเรื่อยมา โดยเน้นหนักไปที่งานเขียนแนวนวนิยายที่ตนเองถนัด
ไม่แตกต่างจากนักเขียนทั่วไปนัก ที่เธออาศัยพื้นฐานจากการอ่านในวัยเด็กเป็นแรงขับเคลื่อนให้เดินเข้าสู่แวดวงน้ำหมึก เด็กต่างจังหวัดคนหนึ่งที่เกิดในยุคที่ไม่มีกิจกรรมบันเทิง หรือแม้แต่ทีวีก็ไม่ได้มีให้ดูทั้งวันอย่างสมัยนี้ แต่เมื่อมีบิดาผู้ชื่นชอบการอ่านด้วยแล้ว ไม่แปลกเลยว่าเมล็ดพันธุ์แห่งการอ่านจะปลุกปั้นให้เด็กหญิงกนกวลีที่จมอยู่กับกองหนังสือของบิดาในวันนั้น ได้กลายมาเป็นนักเขียนหญิงขายดีในวันนี้ กนกวลีเล่าถึงหนังสือกองโตของคุณพ่อในวัยเด็กว่า
“หนังสือของพ่อมีเยอะแถมคุณพ่อเองก็ไม่หวงหนังสือ แม้จะใส่กุญแจแต่ก็ให้ไขมาอ่านได้ ถึงไม่หวงแต่พ่อก็สอนให้เรารักหนังสือ คือจะพับหนังสือก็ไม่ได้ พ่อจะเป็นคนรักหนังสือและดูแลอย่างดีมากๆ ส่วนหนังสือที่ตัวเองเลือกอ่านนี้ก็จะเป็นพวกวรรณคดี อ่านสามก๊ก อ่านราชาธิราช อิเหนา อ่านพวกนี้ตั้งแต่เด็ก คือพออ่านหนังสือออกก็อ่านวรรณคดีพวกนี้เลย อ่านตั้งแต่ไม่จบ ป.4 เสียด้วยซ้ำ แล้วพ่อเขาจะรับชาวกรุง ชาวกรุงนี้จะเป็นหนังสือที่ดีมากในยุคนั้น มีเรื่องสั้นของนักเขียนที่โด่งดังในเมืองไทยตั้งแต่อาจารย์คึกฤทธิ์ คุณหมอเสนอ อินทรสุขศรี แล้วก็มี โก้ บางกอก มีนพพร บุญยฤทธิ์ มีใครอีกเยอะแยะ คุณปกรณ์ ปิ่นฉลียว เมื่อก่อนมี ไมยรา วาทิน จินตนา สามพี่น้องเขาจะเขียนเรื่องสั้น ไมยรานี้เป็นนามปากกาของคุณปกรณ์ คุณจินตนาเป็นน้องสาว ก็ได้อ่านตั้งแต่เด็กๆมา หนังสือชาวกรุงของพ่อจะใส่หีบไว้เป็นหีบไม้ หีบไม้อันใหญ่มากเลย มันก็จะเปิดฝาได้ เราแทบจะมุดลงไปในหีบนั้นเลยเวลาอ่านหนังสือ จะมีความสุขมากเปิดหีบอ้าไว้แล้วเราก็นั่งอ่านในนั้น หนังสือเต็มไปหมดนั่งอ่านอย่างมีความสุข วันหยุดวันอะไร ก็นั่งอ่านหนังสือ พออ่านมากๆเข้ามันก็ทำให้เรากลายเป็นคนชอบหนังสือ แล้วก็ใฝ่ฝันอยากจะเขียนหนังสือ อยากจะเป็นนักเขียน”
ในโลกของการอ่านของกนกวลีมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจากการอ่านหนังสือของพ่อและเมื่อเข้าโรงเรียนเธอก็ยังคงติดหนังสือโดยอาศัยอ่านจากห้องสมุด
“ตอนเรียนจบ ป.4 ย้ายโรงเรียนมาเรียนชั้น ป.5 รู้สึกว่าตอนนั้นที่ห้องสมุดโรงเรียนจะมีหนังสือแปล โรบินสัน ครูโซ พอได้อ่านมันก็เปิดจินตนาการของเราไปอีก คือมันไม่เหมือนกับหนังสือที่เราเคยอ่านก่อนๆ มันไม่เหมือนวรรณคดี มันไม่เหมือน ชาวกรุง ที่เราเคยได้อ่าน พออ่านแล้ว มันรู้สึกตื่นเต้นสนุกสนาน แล้วก็ได้อ่าน หนูแหวนแขนอ่อน ในชัยพฤกษ์ การ์ตูน แล้วช่วงนั้น มีมหาภารตยุทธด้วย ทำให้ได้รู้จักทุ่งครุเกษตร ได้รู้จักอรชุน คือพวกพี่น้องทั้งห้าไง เรื่องนี้สนุก มีรบกัน ยิ่งใหญ่มาก
พอเข้าเรียนในระดับมัธยม คราวนี้มาเรียนที่โรงเรียนสตรีประจำจังหวัด ก็ชอบไปอ่านหนังสือในห้องสมุดอีก ได้อ่านนวนิยายดีๆหลายต่อหลายเล่ม ตอนนั้นถือได้ว่าเป็นแชมป์ยืมหนังสือจากห้องสมุดเลยก็ว่าได้ และด้วยความห้องสมุดที่นั้นจะเปิดปิดเป็นเวลา คือเช้ารอบหนึ่ง เที่ยงรอบหนึ่ง เย็นก็เปิดถึง 5 โมงเย็น ตอนอยู่ชั้นม.ศ. ๓ ก็เลยอาสากับครูบรรณารักษ์ คือคุณครูกัลยาณี ขอเป็นคนช่วยเปิด-ปิดประตูห้องสมุดเสียเลย เพราะจะได้สามารถยืมเล่มไหนที่อยากอ่านได้สะดวกขึ้น บางทีมีแอบเล็งแล้วหยิบมาไว้ก่อนได้ ช่วงนี้จะตื่นมาโรงเรียนแต่เช้า มาเปิดห้องสมุด พอเย็นจะกลับก็ต้องรอปิดห้องก่อน ทำอยู่อย่างนั้นเป็นประจำ แต่ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่มีมีความสุขมาก”
จนเมื่อเข้าศึกษาที่วิทยาลัยครูอุตรดิตถ์ คราวนี้ห้องสมุดที่ชินตาสำหรับกนกวลีก็ได้เปลี่ยนอีกครั้ง จากห้องสมุดเล็กๆกลายเป็นห้องสมุดขนาดใหญ่ ติดแอร์ มีหนังสือวางเรียงกันเป็นทิวแถวไล่หมวดหนังสือตั้งแต่ 001-009 จนคุณกนกวลีตั้งปณิธานไว้ว่า
“ฉันจะอ่านหนังสือให้หมดห้องสมุด ตั้งแต่ 001 002 003 004 อ่านดะไปหมดเลย”
จากวิทยาลัยครูอุตรดิตถ์ สู่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่นี้ห้องสมุดกว้างใหญ่กว่าทุก ๆ ทีที่กนกวลีได้พานพบมา หนังสือมีหลากหลายแนวขึ้น โลกการอ่านของกนกวลีได้มีโอกาสต้อนรับงานที่หนักขึ้นอย่างเช่น การเริ่มอ่านงานของแมกซิมกรอกี้ อ่านคนขี่เสือ อ่านวรรณกรรมเพื่อชีวิต และช่วงนี้เองที่เป็นช่วงของการอ่านที่ถูกบ่มเพาะจนสุกงอมจนทำให้เธอมีความรู้สึกอยากจะจับปากกาเขียนหนังสือดูกับเขาบ้าง
“แล้วช่วงปีสุดท้ายของการเรียนได้มารู้จักกับพี่นิเวศน์ มันก็เหมือนมาเติมฝันเติมอะไรให้ แล้วเราก็ได้เขียนหนังสือ ดังนั้นหลังจากจบมหาวิทยาลัยแล้วก็ได้เขียนเรื่องสั้นเรื่องอะไรเรื่อยมา เรื่องสั้นช่วงแรกๆนี้ พี่จะเขียนเรื่องสั้นสะท้อนสังคม แล้วตอนหลังนี้จึงมาเขียนนวนิยาย”
หลังจากจบการศึกษากนกวลีก็เริ่มหนทางอาชีพของเธอด้วยการเป็นครูสอนที่โรงเรียนพาณิชย์แห่งหนึ่งเป็นช่วงสั้นๆ ก่อนที่จะลาออกมาทำงานเขียนหนังสืออย่างเต็มตัว
“ผลงานเขียนที่ผ่านมาไม่ได้นับนะ แต่ก็ถือว่าเยอะพอสมควร เพราะช่วงที่ออกมาทำงานเขียนเต็มตัว ช่วงนั้นเขียนเยอะมาก เขียนพร้อมๆกันประมาณ 6-7 เรื่อง แต่มันไม่ได้ดีสักเรื่อง (หัวเราะ)
มีงานลงในนิตยสารเป็นตอนๆพอสมควร ถามว่าการลงนิตยสารจำเป็นต่อนักเขียนนวนิยายไหม โดยส่วนตัวคิดว่าไม่จำเป็นนะ แต่บังเอิญตัวเองเป็นอย่างนี้มาก่อนก็เลยตัวเนื่องกันไป ”
ทุกวันนี้ผลงานของกนกวลี พจนปกรณ์ ยังคงปรากฏตามสื่อต่างๆทั้งในนิตยสารและละครทีวี
“ในปัจจุบันมีผลงานที่ลงเป็นตอนๆ ในสกุลไทย ขณะนี้จะเป็นเรื่อง ‘ยิ่งฟ้ามหานที’ ส่วนในหญิงไทยก็จะเป็นเรื่อง ‘เช้าสายบ่ายเย็น’ ในส่วนของละครเองก็มีออกมาพร้อมกันสองเรื่องคือ “อภิมหึมามหาเศรษฐี” กับกาษานาคา” ทางช่อง 7 ค่ะ”
ต้องถือว่ากนกวลี พจนปกรณ์เป็นนักเขียนที่ผูกขาดรางวัลประกวดหนังสือดีเด่นจากงานสัปดาห์หนังสือในประเภทนิยาย เพราะไล่มาตั้งแต่ปี 2547 -2549 หนังสือนวนิยายของเธอก็ผูกขาดรับรางวัล “ชมเชย” ทุกปี โดย ในปี 2547 เปิดประเดิมด้วย “ซอย 3 สยามสแควร์” ถัดมาในปี 48 “จะเก็บรักไว้มิให้หลุดลอย” และตบท้ายด้วยเรื่องกาษานาคาในปี 2549
ด้วยความที่เป็นนักเขียนอีกท่านหนึ่งที่สามารถสร้างผลงานพร้อม ๆ กันทีละหลายเรื่องในคราวเดียว จนอดสงสัยไม่ได้ว่าผลงานแต่ละเรื่องแต่ละแนวที่แตกต่างกันนั้นจะสร้างความสับสนให้เธอผู้รังสรรค์ผลงานหรือไม่
“ไม่มีตีกัน เพราะเราวางพล๊อตไว้แล้ว ปัจจุบันนี้ก็เขียนพร้อมกันสองเรื่อง พี่ก็เขียนเป็นตอน ๆ ส่ง วางพล็อตละเอียดเลย แต่ก็มีบางครั้งที่ตัวละครพาเราไป แต่เราก็ต้องคุมไม่เป๋ตาม เพราะเรากำหนดไว้แล้ว”
เห็นผลงานได้ออกมาเป็นละครหลายต่อหลายเรื่องอย่างนี้ก็ตาม แต่อย่าได้สงสัยว่าเธอจะรับเขียนนิยายตามใบสั่งจากผู้จัดรายไหน หรือใช้เป้าของการจะเป็นละคร มาเป็นเงื่อนไขในการเขียนงาน
“เขียนเพื่อสนองตัวเอง อยากนำเสนอเรื่องใดประเด็นใดก็จะทำ ถ้าเขียนแล้วโดนใจใครค่อยเป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่างกาษานาคา ตอนเขียนก็ยังคิดว่ามันเป็นแนวพุทธ ใครจะเอามาทำละคร แต่เขียนไปคนอ่านเขาชอบ นั่นเป็นเรื่องตามมา แต่ถ้าใครมาบอกพล็อตให้เขียน จะไม่เขียนตามนั้นหรอก”
ทุกวันนี้ที่เป็นนักเขียนอาชีพเต็มตัว การจัดสรรเวลาในการทำงานกนกวลีบอกว่า
“เหมือนทำงานประจำ ตื่นเช้ามาก็ทำ เพียงแต่ออฟฟิศเราอยู่ที่บ้าน ก็เขียนไปเรื่อยๆ มีบ้างเหมือนกันที่เขียนไม่ออก พอเขียนไม่ออกก็จะหาอย่างอื่นทำ ก็ลุกไปก่อนไปทำอะไรก็ได้ เล่นกับหมา ทำนั้นทำนี้ ลุกไปเลย เดี๋ยวค่อยมาทำใหม่ เขียนไม่ได้นี่ จะทำไง
ส่วนใหญ่ ถ้าเขียนไม่ออก จะไม่ออกด้วยอารมณ์ความรู้สึกมากกว่า เพราะพล็อตเรื่องนั้นมันวางไว้แล้ว แต่เป็นที่ไม่ไปตามตัวละคร ด้วยบุคลิกที่ได้วางไว้แน่นแล้ว เขาพาเราไป พอพาเราเขียนไป เราไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นอย่างนี้ ทำไมมันพูดยังงี้ล่ะ มันพาเราไปเอง ก็คิดนะว่า เพราะมันเป็นอย่างนี้สิ ก็เราวางบุคลิกตัวละครไว้อย่างนี้ไง มันพาความคิดเราไปในช่วงสั้นๆได้ เหมือนเราสร้างเขามาแล้ว เขามีชีวิตขึ้นมาอย่างนั้น”
แม้จะเป็นนักเขียนชั่วโมงบินสูงคนหนึ่ง แต่กนกวลีก็บอกว่างานชิ้นหลังๆของเธอสร้างยากกว่างานช่วงแรกเสียอีก
“ตอนนี้เขียนช้ากว่าแต่ก่อนเยอะ ต้องคิดด้วยว่าทำยังไงตัวละครนี้ต้องไม่ให้ซ้ำของเดิม เราต้องหนีตัวเรา แม้แต่พล็อต เราก็ต้องคิดไม่ให้ซ้ำ ไม่ให้คล้ายอย่างเดิม สำหรับเรื่องสั้นนั้นจะเขียนนานๆที เพราะเราชินกับการคิดพล็อตเป็นนิยาย พอเขียนเรื่องสั้นเราอดไม่ได้ กลายเป็นเรื่องสั้นขนาดยาว คือนานไปมันจะไปเป็นนิยายไปหมดละ
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เจอเรื่องยาก เป็นการคิดการเขียนที่อยากสำหรับตัวเอง คือช่วงที่เขียน “วังวนกลกาล”ตอนนั้นพยายามสร้างเรื่องที่ให้ตัวละครถูกบล็อกให้มันอยู่ในเหตุการณ์เดียว แล้วให้ตัวละครออกไปไหนไม่ได้เลย ทั้ง 6 ตัวละคร ถูกติดอยู่ในบ้านหลังนั้น จะเจอใครไม่ได้ ไปหาใครไม่ได้ ให้ใครมาหาก็ไม่ได้ เขียนไปเขียนมาเครียดมากเลยว่าจะทำไง แต่ก็คิดว่าเพราะเราวางพล็อตไว้อย่างนั้นเอง มันเลยต้องเป็นอย่างนี้ แต่สุดท้ายมันก็คลี่คลายไปเอง”
และสุดท้ายคุณกนกวลีขอฝากถึงคนที่อยากก้าวเข้าสู่บรรณพิภพของวงการหนังสือว่า
“การเขียนหนังสือ กว่าจะมาถึงตรงนี้ได้มันต้องอดทน แต่บางทีก็เกี่ยวกับโอกาสด้วย แต่หลัก ๆ ก็อยากให้เข้าใจว่าประการแรกมันขึ้นอยู่กับความสามารถ เราต้องมีความสามารถก่อน แล้วความพยายามก็มีส่วนสำคัญ ความมานะอดทนอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ งานเขียนมันไม่มีการบังคับ มันต้องมีใจชอบจริง บางครั้งส่งไปเข้ายังไม่พิมพ์ ยังไม่เอาลงสักที
คิดว่าใครจะเป็นนักเขียนได้ ต้องมีความสามารถ มีความมานะอดทนขยัน และมีโอกาส เหล่านี้มันต้องรวมกัน อย่างตอนที่ออกจากงาน คือช่วงนั้นตัวเองเขียนเรื่องสั้น คือเรื่องสั้นมันนาน ๆ ได้ลงที มันก็ท้อแท้เหมือนกัน ท้อมาก ๆ เลย แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่เป็นกำลังใจให้ จำได้ไม่เคยลืมเลย คือคำพูดของพี่เนาว์-เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ไม่รู้พี่เนาว์จะจำได้หรือเปล่า พี่เนาว์ยกกลอนวรรคเด็ดของพี่ท่านมาสอนเราในวันหนึ่ง ท่านบอกว่า การเกิดมันต้องเจ็บปวดต้องร้าวรวดและทรมาน พอฟังแล้วมันใช่เลย มันเหมือนทะลุแล้ว ตั้งแต่นั้นมากลอนพี่เนาว์วรรคนี้เป็นคาถาประจำใจทำให้อดทน”
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : http://www.praphansarn.com