มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน | Reading Culture Promotion Program

ไพฑูรย์ ธัญญา….นักเขียนก็เหมือนหนามที่ไม่มีใครเสี้ยมให้แหลมได้

 

 
เป็นโอกาสดีที่เราได้มีโอกาสพาสมาชิกเว็บไซต์ประพันธ์สาส์นมาทำความรู้จักกับนักเขียนชั้นแนวหน้าของเมืองไทย อย่างไพฑูรย์ ธัญญา  นักเขียนรางวัลซีไรต์ประจำปี 2530  ด้วยผลงานรวมเรื่องสั้นก่อกองทราย        ไพฑูรย์ ธัญญา เป็นนามปากกาของ ธัญญา สังขพันธานนท์ เกิด 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2499  จ.พัทลุง ปัจจุบันเป็นอาจารย์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
 
ในวัยเด็กของไพฑูรย์ ธัญญานั้นต้องถือว่าโชคดีกว่าเด็กๆรุ่นราวคราวเดียวกันในละแวกบ้าน เนื่องด้วยความที่มีบิดาเป็นครูสอนหนังสือ ทำให้เขามีโอกาสได้สัมผัสกับหนังสือดี ๆ ของพ่อมากมายมาตั้งแต่เด็กๆ   และจุดเริ่มต้นจากการอ่านนี้เองที่ผลักดันให้เขหันมาใส่ใจในงานการประพันธ์
 
“ในวัยเด็กของผมค่อนข้างโชคดีกว่าเด็กบ้านนอกแถวนั้น เพราะพ่อผมเป็นครู และพอมีหนังสือให้อ่านบ้าง ผมเลยตะลุยอ่าน  คือเป็นเด็กชอบอ่านหนังสือ อ่านทุกอย่างที่ขวางหน้า การอ่านเลยเป็นต้นทุนให้ผม   ทำให้อ่านเรื่อยมาจากความสนใจส่วนตัว คงเพราะอ่านมาก เลยอยากเขียน อีกอย่างอาจเป็นเพราะผมชอบครุ่นคิดเรื่องรอบตัว   ประสาเด็กหนุ่มต้องมีความฝันอะไรสักอย่าง ผมเลยเลือกฝันที่จะเป็นนักเขียน  เลยหันมาเขียน โชคดีที่ประสบความสำเร็จบ้าง
          ผมเขียนจริงจังก็ปี 24  เริ่มจากเขียนกลอนก่อน จากนั้นก็มาเรื่องสั้น พอได้ลงพิมพ์ก็เริ่มคึก  ก็เขียนติดต่อมา เขียนบ่อยและสนุกกับมัน พอดีตอนนั้นรวมกลุ่มกับเพื่อนๆทางใต้ กลายมาเป็นญาติวรรณกรรม และกลายมาเป็นกลุ่มนาคร   พอเขียนมาได้สักเกือบยี่สิบเรื่องก็มีความคิดอยากรวมเล่ม  การรวมเล่มหนังสือสำหรับนักเขียนใหม่ และบ้านนอก เป็นอะไรที่ยากจริงๆ   เพราะเราไม่รู้จักใครเลย  อาศัยอาจารย์เจน สงสมพันธุ์พอจะรู้จักเพื่อนที่ทำหนังสือ ก็เลยเป็นภาระให้  เราเดินตะลอนๆ กันนานเป็นปี   ในที่สุดมันก็ได้ตีพิมพ์ (ปี 2528)  พูดถึงสมัยนั้นกับสมัยนี้ ผมว่าสมัยนี้การรวมเล่มหนังสือง่ายกว่า  (แม้ว่าจะยังยากอยู่ก็ตาม) ”  
 
ไพฑูรย์ ธัญญา เป็นหนึ่งนักเขียนในกลุ่มนาคร  กลุ่มวรรณกรรมหัวเมืองปักษ์ใต้ ที่มีผลงานดีๆออกสู่สายตาสังคมมากกลุ่มหนึ่ง   เขาบอกว่าการเกิดขึ้นของกลุ่มวรรณกรรมอย่างกลุ่มนาครนั้นเป็นปรากฏการณ์ที่แสนธรรมดาเปรียบได้เหมือนกับคนคอเดียวกันที่มาพูดคุยปฎิสัมพันธ์กัน ไม่ได้เป็นลักษณะที่เป็นทางการอะไร 
“มันไม่พิธีรีตองหรือหลักการอะไรรองรับ มาจากความสนใจส่วนตัวของแต่ละคน เหมือนคนบ้านกหัวจุก/ไก่ชนมาเจอกัน ก็เลยคุยกันสนุก นานเข้าก็ก็กลายเป็นแก็งค์เป็น    ก๊วน    ต่อมาเริ่มพัฒนาความคิดและเป้าหมาย ให้ชัดเจนขึ้น มันเป็นปรากฏการณ์มากกว่า  แต่ก็ทำให้พวกเราเขียนหนังสือมากขึ้น”
 
ไพฑูรย์  ธัญญามีผลงานหลากหลายแนว ทั้ง เรื่องสั้น บทความ นวนิยาย แต่ผลงานสร้างชื่ออย่างก่อกองทรายซึ่งเป็นผลงานรวมเรื่องสั้น ซึ่งเจ้าตัวเผยว่า เรื่องสั้นเป็นงานที่ตนเองถนัดและพึงพอใจเมื่อได้สื่อสารออกมา 
และด้วยความที่เป็นอาจารย์ที่สอนทางสายวรรณกรรมด้วยตรง คุยนอกรอบในวันนี้จึงมุ่งประเด็นวรรณกรรมในรั้วมหาวิทยาลัย  รวมไปถึง โครงการต่างๆ ที่ไพฑูรย์ ธัญญาได้มีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้อง
เราเชื่อมั่นว่าไม่ว่าในการเขียนระดับไหนย่อมสะท้อนและกำหนดทิศทางต่อภาพรวมของวงการวรรณกรรมไทย โดยเฉพาะมุมมองที่ได้รับมานี้คือมุมมองที่กลั่นกรองมาจากอาจารย์นักเขียนอย่างไพฑูรย์ ธัญญา
 
–  บรรยากาศในมหาวิทยาลัย นักศึกษากับความสนใจวรรณกรรม
          ถ้าที่ผมอยู่ก็ถือว่าพอมีบ้าง มีทุกรุ่นนั่นแหละ แต่เป็นคนกลุ่มน้อย กระนั้นเขาก็ยังทำหนังสือขายในตลาดเปิดท้ายได้นะ  ทำกันมา รวมกลุ่มบ้าง ผมรู้หมดแหละ เพราะส่วนใหญ่ก็เป็นกลุ่มที่เรียนกับผม คลุกคลีตีโมงกันอยู่   แต่ก็ยังไม่แสดงตัวตนที่ชัดเจนมากนัก  ผมว่ามันได้ในแง่ที่เป็นกิจกรรมทางเลือก เป็นฐานบ่มเพาะพวกเขาให้สนใจงานเขียนกันต่อไป   แต่ที่อื่น ๆ ผมไม่รู้
 
–  การเป็นอาจารย์ในสาขาวิชาที่สอนมีผลช่วยในงานเขียนไหม
          อันที่จริงความเป็นนักเขียนทำให้ผมสอนในวิชาที่เกี่ยวข้องได้ดีมากกว่า ส่วนมันจะทำให้ผมเขียนดีหรือไม่ ผมไม่มั่นใจ แต่เอาเป็นว่า ผมมีข้อมูลเกี่ยวกับนิสิตนักศึกษา มหาวิทยาลัย  วันหนึ่งผมอาจเอามาใช้ได้
 
–   มีวิธีสอนนักศึกษาที่อยากเป็นนักเขียนอย่างไร
          ผมบอกให้เขาไปอ่านมากๆ อ่านในสิ่งที่ตัวเองอยากเขียน แล้วก็ลงมือเขียน ให้สนใจความเคลื่อนไหวของคนวรรณกรรม  และจับกลุ่มพูดคุยกัน  ถ้ามีเวลาผมจะอ่านให้และแนะนำ   ผมกระตุ้นให้เขาเขียนและส่งไปสนามใหญ่  แต่ทุกวันนี้ เขายังพอใจกับการทำในหนังสือทำมือ ขายกันในกลุ่มเล็กๆ  หรือไม่ก็เขียนในบล็อกของตัวเอง  ยังไม่ค่อยมีใครกล้าหาญส่งมาสนามใหญ่  หรืออาจเป็นเพราะยุคของเรามันต่างกัน เป้าหมายต่างกัน
 
–  เด็กที่เพิ่งเริ่มหัดเขียนมักจะมีจุดอ่อนตรงไหนและจะแก้ไขหรือพัฒนาไปได้อย่างไร
          จุดอ่อนมากๆ ที่เห็นเสมอคืออ่านน้อย    ภาษาไม่ดี  เด็กไทยทุกวันนี้อ่อนภาษาไทยมาก  ไม่ว่าจะเรียนเอกอะไร   และคิดไม่เป็น ขาดความคิดเชิงวิเคราะห์ วิพากษ์ ยังมองอะไรอยู่ในกรอบ นี่คือปัญหาสำคัญของการเขียน  ความคิดสำคัญที่สุด ที่สำคัญอีกอย่างคือเขาวอกแวก   ไมค่อยเอาอะไรจริงจัง   ยังมีลูกบ้าไม่มากพอ
คนที่จะเป็นนักเขียนมันต้องมีธาตุอะไรบางอย่างอยู่ในตัว มันไม่ได้เป็นกระแส  มันมาเอง เหมือนหนามมันต้องแหลมเอง ไม่มีใครไปเสี้ยมให้มันแหลม   ผมยังคิดแบบนี้อยู่  เพราะเห็นมาเยอะ  สิบคนอาจพบคนเดียว  จุดอ่อนที่สำคัญคือเด็กไทยไม่อ่านวรรณกรรม   เรามีวัฒนธรรมการอ่านที่อ่อนแอ (ครูเองก็ไม่อ่าน)  แต่มีวัฒนธรรมจ้องมองที่เข้มแข็ง เราเลยประสบความสำเร็จในการทำคลิปวิดีโอมากว่าเขียนหนังสือ
 
–  การเขียนกวี เรื่องสัน ต้องอาศัย อารมณ์ หรือปัจจัยที่ต่างกันอย่างไร
          อารมณ์มันต้องใช้หมด  ไม่มีอารมณ์ก็เขียนไม่ได้  แต่ที่ต่างคือกวีคิดบนพื้นฐานของอัตตา  เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง   เป็นพระเจ้า  ส่วนนักเขียนเรื่องสั้นคิดแทนคนอื่น  กวีต้องอยู่กับอารมณ์ตัวเอง นักเขียนต้องกระทบไหล่ผู้คนให้มากๆ   แต่ทั้งสองต้องมองโลกด้วยสายตาที่ต่างจากคนอ่าน   และในวงเล็บ ควรทำตัวให้ฉลาดกว่าคนอ่าน
 
–  เคยมีงานเกี่ยวกับหลวงพ่อคูณอยากทราบว่ามีทัศนะคติต่อ กระแสจตุคาม อย่างไร
          หลวงพ่อคูนเป็นมนุษย์   ผมเขียนถึงท่านในแง่ของมนุษย์ปุถุชน  เรียนรู้ประสบการณ์ความคิดของท่าน   แม้ว่าคนส่วนมากที่ศรัทธาพยายามมองท่านเป็นเทพ ก็ตาม   หลวงพ่อคูนที่แท้คือ นักสังคมสงเคราะห์ คนบริจาคท่าน ท่านก็เอาไปบริจาคให้สังคม  ท่านแปลงศรัทธาให้เป็นทุนเพื่อช่วยสังคม   แต่กระแสจตุคามเป็นธุรกิจ  เป็นวัฒนธรรมป็อบ  คนทำจตุคามคิดเพื่อธุรกิจอย่างเดียว  จตุคามเป็นวัฒนธรรมโพส์ต์โมเดิรน์ในประเทศที่ยังอยู่ในยุคล้าหลัง   มันเลยมั่วและผสมผสาน  หาคำนิยามไม่ได้  แต่ตอบได้ว่า ทั้งหมดแปลงศรัทธาเป็นทุน   มันขายนามธรรม และขายทุกอย่าง
 
– ไปเป็นวิทยากรเกี่ยวกับค่ายนักเขียนต่าง ๆ มองเห็นอะไรที่น่าจุดประกายในเด็กบ้าง
          มองในเชิงบวกผมว่าดี เป็นการให้ความรู้ การศึกษาทางการเขียน  เป็นการให้โอกาสเด็กๆ  แต่มองในเชิงวิพากษ์บางทีก็เป็นแฟชั่น มีจุดประสงค์แอบแฝง   ทำๆกันไปงั้นๆ   นักเขียนก็มัวแต่ไปพูดจนไม่ได้เขียน  บางค่ายก็เน้นแต่งเพลงมากไป  เพราะเจ้าของค่ายเป็นคนดัง มีนักร้องเยอะ เด็กๆก็เลยอยากเป็นนักร้องกันหมด   จุดประสงค์มันเลยแกว่งไป  อย่างไรก็ตาม หากมองว่าเป็นการให้ประสบการณ์และสร้างแรงบันดาลใจผมว่าได้  ที่เป็นปัญหาคือไม่เลือกเฟ้นเด็กที่สนใจจริงๆ บางค่ายเจอทหารเกณฑ์ เลยมานั่งตาแววเหมือนลูกงูสิง   ไม่รู้อะไรเลย  นักเขียนที่เป็นวิทยากรก็เลยไปไม่เป็น
         
–  ตอนนี้เขียนอะไรอยู่บ้าง
          เขียนนิยายค้างไว้เรื่องหนึ่ง  กำลังอยากเขียนเรื่องสั้น  แต่ที่เขียนจริงๆ เป็นพวกตำรา งานวิชาการมากกว่า มันเป็นภาคบังคับ ไม่ทำก็ไม่ได้ เพราะหลวมตัวมาสอนหนังสือแล้ว    เลยรู้สึกว่าไม่ค่อยได้เป็น "นักเขียน" เทาไหร่ในตอนนี้
 
– มีนักเขียนในดวงใจไหม ทั้งเรื่องสั้น และกวี
          มีหลายคน  ก็ธรรมดา ชอบตรงนั้นนิด ตรงนี้หน่อย  แต่ไม่ผูกขาดใครคนใดคนหนึ่ง  เราต้องเรียนรู้จากทุกคน   ผมเลยไม่มีการจัดอันดับแล้วตอนนี้   ถ้าเอ่ยชื่อไม่ครบก็เป็นปัญหาอีก เอาเป็นว่า ผมชอบทั้งนักเขียนไทยร่วมสมัย และนักเขียนต่างประเทศบางคน
 
  –  ถ้ามีคนถามว่า เรื่องสั้นที่สุดยอดอยากแนะนำให้เด็กที่เพิ่งหัดเขียนได้อ่านคือเล่มไหนอะไร
          ผมขอแนะนำให้ไปอ่าน ลาว คำหอม (ฟ้าบ่กั้น) มนัส จรรยงค์  (จับตาย)เทพ มหาเปารยะ (จำปูน)  อัศศิริ ธรรมโชติ  (ชุดเจ้าขุนทอง)จำลอง ฝั่งชลจิตร (สีของหมา) และกนกพงศ์ สงสมพันธุ์ 
 
–  คิดว่าตลาดกวีบ้านเราเป็นยังไง
          รู้สึกว่าจะหดแคบลง  ทั้งคนอ่าน คนพิมพ์  หรือว่าที่จริงแล้วคนอ่านก็ยังเท่าเดิม เรายังไม่สามารถขยายฐานคนอ่านได้  โอกาสของการที่กวีรุ่นใหม่ๆ จะได้มีผลงานตีพิมพ์จึงลำบาก   ประเทศไทยไม่สนับสนุนกวี  ไม่เหมือนในอดีต ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านของเรา   เด็ก ๆ เขายังอ่านวรรณคดีและบทกวีกันเลย (ยกตัวอย่าง จีน เวียดนาม)  อะไรก็ตามที่มันไม่ " ขาย" มันจะลำบากใน บ้านเรา 
 
–  ถ้าเจอช่วงที่ท้อ มีอะไรที่เป็นแรงผลักดัน หรือมีกำลังใจจากไหน
          ก็ทำใจ   ผมชอบคำนี้นะ  "ทำใจ" เวลาท้อก็พยายามเบี่ยงเบนไปทางอื่น ด้วยการผ่อนคลาย  อาจจะหาหนังสือดี ๆ มาอ่าน หนังดี ๆ มาดู  ผมว่ามันช่วยได้เยอะ   ดีไม่ดีเราอาจมีแรงฮึดขึ้นมาอีก  ผมเยียวยาตัวเองด้วยการอ่าน การเขียน หากผมมีปัญหา
 
–  งานชิ้นไหนของตัวเองที่สร้างยากที่สุด
          สำหรับผม มันยากทุกชิ้น ยากเวลาคิด เขียน และทำมันให้ได้ดังใจ  งานเขียนจึงเป็นสิ่งที่ยาก  มันยากกันไปคนละแบบ   เราไม่อาจดูถูกมันได้เลย   ไม่อาจกำหนดอะไรได้มาก  บางเรื่องมันดื้อด้วยซ้ำ   แต่มันก็ท้าทายความสามารถของเรา
 
–  สอนเกี่ยวกับการวิจารณ์วรรณกรรมด้วยคิดว่าการวิจารณ์ในวงวรรณกรรมบ้านเราเป็นอย่างไร
          ผมว่ามันก็ไปได้เรื่อย ๆ  ไม่หวือหวา  ไม่ถือว่าสลักสำคัญ  แต่ยังไม่มีพลังมากพอ   ไม่ศักดิ์สิทธิ์เหมือนในต่างประเทศ  เราชอบจัดงานเปิดตัวหนังสือ มากกว่าวิจารณ์หนังสือ   ถ้าเทียบกับการเรียนการสอนที่มีอยู่แทบทุกสถาบัน   ผลลัพธ์ของมันขาดทุนแน่นอน  เพราะไม่มีใครมาทำหน้าที่วิจารณ์จริง ๆ   คนไทยชอบ "นินทา "  มากกว่า "วิพากษ์วิจารณ์"
 
–  อยากเป็นนักวิจารณ์ต้องทำอย่างไรบ้าง
          อันดับแรกต้องเป็นนักอ่าน  หาความรู้ด้านวรรณกรรมทั้งไทยและสากล  รู้ประวัติวรรณคดี รู้ศาสตร์อื่น ๆ และต้องรู้หลักทฤษฎีบ้าง   ที่สำคัญต้องมีจิตใจที่เป็นกลาง ยุติธรรม ไม่เห็นแก่อามิสประโยชน์   และต้องอดทนเป็นพิเศษ
 
–  นักเขียนรุ่นใหม่ ตอนนี้มองเห็นใครมีแวว รึน่าสนใจ
          จะให้ฟันธงลงไปเห็นทีจะยาก  เพราะเราก็ไม่ได้จับตามองอย่างรอบด้านและใกล้ชิด   แต่น่าจะมีแววกันอยู่หลายคน  เป็นคำถามที่ผมลำบากใจที่จะตอบ
 
–  บก.สำคัญกับนักเขียนมากไหม มี ใครที่เป็นบก. ที่ ไพฑูรย์ ธัญญายอมรับนับถือเป็นพิเศษไหมครับ
          สำหรับผม สำคัญมาก  ผมคิดว่าเราต้องทำหน้าที่กันคนละอย่าง บก.ก็ต้องทำหน้าที่ของบก. นักเขียนก็ทำหน้าที่นักเขียน  เรามีสายตาคนละมุม   ผมไม่เห็นด้วยและไม่สนับสนุนนักเขียนที่ทำงานคนเดียว  เขียนเอง เลือกเรื่องเองและพิมพ์เอง  ผมว่ามันขาดวงจร   ถ้าเป็นผมผมจะ "ไม่แล้วแต่ใจ"  บก.มาเขียนแทนเราไม่ได้หรอก  แต่เราก็จะเลือกเรื่องอย่างที่บก.เลือกไม่ได้   นักเขียนใหม่ ๆ ยิ่งต้องมีบก. ผมว่าแม้เราจะทำหนังสือ "ทำมือ" แต่ก็ควรมี "บก.ทำมือด้วย"   ดังนั้นโปรดให้ความสำคัญกับรรณาธิการ
 
–         ฝากถึงคนที่อยากจะเป็นนักเขียน 
ให้เชื่อมั่นและศรัทธาตัวเอง   มานะพยายาม (เป็นพิเศษ)  อย่าพูดมาก  ปล่อยให้งานมันพูดแทนเราดีกว่า   อย่าท้อ   หากรักจะเป็นนักเขียน  อ่านงานเขียนดีๆ บ้าง  อ่านให้หลายแนว  อย่าปิดกั้นตัวเองในโลกแคบๆ   และคิดให้มากก่อนเขียน
 
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก http://www.praphansarn.com