Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

ไซ-ไฟ นิยายวิทยาศาสตร์(ไทย)ตกเทรนด์!

 

 
เรื่องราวที่เป็นไปไม่ได้ ย่อมเป็นไปได้ในโลกของนิยายวิทยาศาสตร์ หรือที่เรียกกันติดปากว่า นิยายไซ-ไฟ 
 
โลกที่อะไรๆ ก็เป็นไปได้เมื่อสุนทรียะผนึกไว้กับจินตนาการ การผจญภัยของเด็กชายในโลกอนาคต การท่องอวกาศเพื่อตามหาสุดขอบของจักรวาล และรถไฟที่ไม่มีวันวิ่งถึงสถานีสุดท้ายบนเกาะลอยฟ้าสีเขียว 
 
ในทศวรรษ 60 เมื่อนาซาส่งยานอวกาศขึ้นไปสำรวจดวงจันทร์ได้สำเร็จ นวนิยายอวกาศและการท่องไปในจักรวาลก็กลายเป็นยุคทอง เอเลี่ยนหลายล้านเผ่าพันธุ์ในจักรวาลได้ร่วมเล่นเป็นตัวละครในโลกบรรณพิภพ 
 
แล้วจู่ๆ เกิดอะไรขึ้น!! นิยายไซ-ไฟ ถึงได้หายไปจนเกือบจะตกเหว เอเลี่ยนทั้งหลายตอนนี้ตกงานกันเป็นแถว 
 
ไซ-ไฟตกเทรนด์ 
 
ไม่เฉพาะไซ-ไฟ ไทยหรอกนะ แต่เป็นไซ-ไฟทั้งโลก ที่พร้อมใจกันค่อยๆ ลดพื้นที่ไปจากเวที “วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์” บรรณาธิการ และคอลัมนิสต์แห่งอะเดย์ ระบุว่า ความเป็นไปของนิยายวิทยาศาสตร์ สะท้อนความสนใจของคนในยุคที่หมดความสนใจโลกอวกาศ แต่หันมาสนใจกับเรื่องเล็กๆ ใกล้ตัว คือ นาโน และไซเบอร์สเปซ นิยายวิทยาศาสตร์ยุคนี้จึงไม่ค่อยออกไปนอกโลก ไซ-ไฟกลายเป็นนิยายตกขอบ ส่วนเทรนด์ที่กำลังมาคือ แฟนตาซี-โรมานซ์ ผลพวงจากแวมไพร์ (รูปหล่อ) ในทไวไลต์นั่นเอง 
 
“ไซ-ไฟเขียนยาก เพราะต้องใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์โน้มน้าวจินตนาการของคนอ่าน ปัจจุบันคนเขียนน้อยลง คนอ่านก็น้อยตาม สะท้อนคนในสังคมว่า อยากอยู่ในโลกที่ง่ายๆ ไม่มีตรรกะทางวิทยาศาสตร์ซับซ้อน” วงศ์ทนง กล่าว 
 
พล็อตของไซ-ไฟ โดยเฉพาะไซ-ไฟไทยที่อ่อนลงเรื่อยๆ ยังสะท้อนได้จากจำนวนคนเรียนสายวิทยาศาสตร์ที่น้อยลงด้วย คงรู้กันแล้วว่าตัวเลขสำรวจความนิยมของคณะที่นักศึกษาอยากเรียนสูงสุด ไม่ใช่สายวิทยาศาสตร์อีกต่อไป หากเป็นสายสังคมศาสตร์ เรื่องราวความเป็นไปในสังคมดูจะสอดคล้องกันถึงความไม่ (อยาก) เรียนวิทยาศาสตร์ นั่นคือความคลั่งไคล้ในโหราศาสตร์ที่ปัจจุบันเงินหมุนเวียนในธุรกิจสูงถึง 2,400 ล้านบาทต่อปี 
 
ความไม่เป็นวิทยาศาสตร์ของสังคมไทย 
 
ดร.ชัยวัฒน์ คุประตกุล นักวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า การที่หนังสือแนววิทยาศาสตร์ รวมทั้งนิยายวิทยาศาสตร์ของไทยลดจำนวนลง ส่วนหนึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เป็นวิทยาศาสตร์ของตัวสังคมไทยเอง โดยเฉพาะกระบวนการทางความคิดของคนในสังคมที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สังคมไทยกลายเป็นสังคมแห่งความขัดแย้ง ทุกคนมุ่งแสดงความคิดเห็น หากหลายความเห็นเป็นความเห็นที่ไม่ผ่านกระบวนการคิด ไม่ผ่านการค้นคว้าหาข้อมูลถึงสาเหตุแห่งปัญหาที่แท้ 
 
ล่าสุดของความพยายามผลักดันความคิดเชิงวิทยาศาสตร์ ดร.ชัยวัฒน์ กล่าวว่า คือโครงการ 100 เล่มหนังสือดีวิทยาศาสตร์ (ปี 2537-2548) ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องกับโครงการวิจัยหนังสือดีวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้ประกาศยกย่องหนังสือดีวิทยาศาสตร์ 88 เล่ม สำหรับหนังสือวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ยุคกรุงสุโขทัยถึงปลายปี 2536 เป้าหมายคือการรวบรวมหนังสือที่แสดงภูมิปัญญาเชิงวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ยุคเริ่มต้น 
 
“เราได้หนังสือวิทยาศาสตร์ดีๆ เช่น ไตรภูมิพระร่วง ซึ่งถือเป็นหนังสือที่แสดงภูมิปัญญาเชิงวิทยาศาสตร์ของคนยุคสุโขทัย และอีกหลายเล่มจากหลายยุคสมัย” ดร.ชัยวัฒน์ ในฐานะหัวหน้าโครงการฯ กล่าว 
 
สำหรับโครงการ 100 เล่มหนังสือดีวิทยาศาสตร์ (ปี 2537-2548) เป็นโครงการสนับสนุนร่วมกันระหว่างมูลนิธิดำรง ลัทธพิพัฒน์ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และโครงการจัดพิมพ์คบไฟ เปรียบเทียบหนังสือที่ได้จาก 2 ช่วงเวลา คือจากยุคต้นกรุงสุโขทัย กับในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่าแม้มีนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่เพิ่มขึ้น แต่ยังไม่มากเท่าที่ควรจะเป็น ส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดแคลนเวที โดยเฉพาะวรรณกรรมนิยายวิทยาศาสตร์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเภทฮาร์ด ไซ-ไฟ หรือแม้แต่ซอฟต์ ไซ-ไฟ ก็ตาม 
 
“มีนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์รุ่นกลางและรุ่นใหม่เพิ่มขึ้น โดยนิยายเกิดใหม่เป็นแฟนตาซีบริสุทธิ์ (Pure Fantasy) มากกว่านิยายวิทยาศาสตร์แฟนตาซี (Science Fantasy) อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไซ-ไฟไทยยังขาด ไม่ใช่องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ หากเป็นความสามารถทางวรรณศิลป์ เราได้นักเขียนรุ่นใหม่มากขึ้นจริง แต่ยังไม่ทะลุไปในระดับสากล” ดร.ชัยวัฒน์ กล่าว 
 
หัวใจที่โบยบิน 
 
100 เล่มหนังสือดีวิทยาศาสตร์ ย่อมหมายถึง หนังสือดีวิทยาศาสตร์ 100 เล่ม และนักเขียนหนังสือดีวิทยาศาสตร์อีก 100 คน ทั้งหมดทุกคนถือเป็นพลังที่จะช่วยผลักดันความเป็นวิทยาศาสตร์ของสังคมไทย หนึ่งในนั้นคือ “ปราบดา หยุ่น” หนังสือเรื่อง “ชิทแตก” ของเขาได้รับยกย่องเป็นหนึ่งในร้อยหนังสือดีฯ ด้วย 
 
ปราบดา กล่าวว่า วรรณกรรมที่ประสบความสำเร็จระดับโลก มีคุณสมบัติเหมือนกันคือ ความเป็นวิทยาศาสตร์ที่จับต้องได้ภายใต้เงื่อนไขจินตนาการของผู้แต่ง คุณสมบัติโดดเด่นที่นิยายวิทยาศาสตร์แตกต่างไปจากการเขียนในรูปแบบอื่น คือการอนุญาตให้ผู้เขียน (และผู้อ่าน) ได้ใช้จินตนาการอย่างไม่มีขอบเขตจำกัด 
 
“ไซ-ไฟให้ความเป็นไปได้ และให้พื้นที่ของจินตนาการในหัวของเราได้โลดแล่น” ปราบดา กล่าว 
 
“เชษฐา สุวรรณสา” ผู้เขียน “แจ๊ค ณ ขอบฟ้า” อีกหนึ่งในร้อยของ 100 เล่มหนังสือดีฯ และล่าสุดหนังสือเล่มใหม่ของเขากำลังได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างประเทศ เพื่อสร้างเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวูด “อัลฟ่า โอเมก้า ไล่ล่าหาความตาย” เรื่องสมมติของชีวิตอมตะ ที่ทำเท่าไรมนุษย์ก็ไม่ตาย หากมีชีวิตอยู่เป็นหลายล้านปี จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมนุษย์เบื่อที่จะมีชีวิต ความเป็นอมตะกลายเป็นจุดรวมศูนย์ของสังคมที่ไร้จิตสำนึกจนทุกคนอยากที่จะตาย 
 
เชษฐา กล่าวว่า ไซ-ไฟไทยไม่เหมือนไซ-ไฟนอกตรงที่คนอ่านและคนดู (หนัง) อ่านและดูอย่างจับผิด อ่านและดูอย่างไม่เชื่อ เปรียบเทียบกับนักเขียนต่างประเทศอย่าง อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก ปรมาจารย์นิยายวิทยาศาสตร์คนสำคัญที่จุดประกายทางความคิดที่สำคัญหลายเรื่อง ซึ่งนาซาหรือองค์การอวกาศการบินของสหรัฐอเมริกาต่อมานำไปประยุกต์ทดลองจนบรรลุผล นี่คือการทำงานร่วมกันระหว่างจินตนาการกับองค์ความรู้ที่ประสานสำเร็จ เรื่องแบบนี้ในเมืองไทยเกิดยาก เพราะสังคมไทยเป็นสังคมที่แยกส่วนทางความคิด วิทยาศาสตร์ถูกแยกออกจากศาสตร์อื่น 
 
ก่อนสายลมจะพัดผ่าน 
 
วงศ์ทนง ทิ้งท้ายว่า นิยายวิทยาศาสตร์ที่ดีต้องสะท้อนถึงความคิด ความจริง และสัจธรรมของชีวิต นิยายของ อิสซ้าค อาร์ซิมอฟ หรืออาเธอร์ ซี. คลาร์ก ปรมาจารย์แห่งนิยายวิทยาศาสตร์ผู้ลือลั่นนั้น การที่นิยายของพวกเขามีความโดดเด่นไม่ใช่เพราะอ่านสนุกอย่างเดียว แต่เพราะสามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตได้ด้วย คนอ่านเผชิญหน้ากับองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไปพร้อมกับปรัชญาแห่งชีวิต ความเศร้าความสูญเสีย ความดี ความงาม และความจริง 
 
นิยาย (วิทยาศาสตร์) ที่ดี จึงมักมีความหวังของอนาคตที่ว่า เราจะสามารถสร้างสรรค์ปรุงแต่งสิ่งใหม่ หรือดัดแปลงสิ่งเก่าให้มนุษย์ดำรงตนอยู่ได้อย่างมีคุณค่าและมีความหมายแค่ไหน การจะทำอย่างนี้ได้ ต้องขึ้นอยู่กับความสามารถที่จะแยกแยะ ค้นหา และเลือกเฟ้นคุณค่าในสิ่งต่างๆ อย่างถูกต้อง 
 
ดร.ชัยวัฒน์ สรุปว่า นั่นหมายถึงการที่คนในสังคมจะต้องมีความเข้าใจในสิ่งต่างๆ ให้ลึกซึ้ง ยั้งคิด (อย่างเป็นวิทยาศาสตร์) พิจารณาแยกแยะระหว่างสิ่งเทียมกับสิ่งแท้ สิ่งสำคัญคือความเป็นหลักในการดำรงอยู่ เป้าหมายและวิธีการไปสู่เป้าหมายที่ถูกทำนองคลองธรรม เพื่อชีวิตที่มีความสุขและอยู่ได้ท่ามกลางความสับสนที่เกิดขึ้น 
 
มาติดปัญญาให้กับสังคมไทยกันเถอะ! 
 
รายงานโดย :วันพรรษา อภิรัฐนานนท์ 
วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2552 
โพสต์ทูเดย์