โลกุตรธรรม “เสกสรรค์ ประเสริฐกุล” เสี้ยวชีวิตผู้ชายลุ่มน้ำบางปะกง

มิต้องอรัมพบทคุณสมบัติของสุภาพบุรุษลุ่มน้ำบางปะกง นาม เสกสรรค์ ประเสริฐกุล เพราะเชื่อว่าสาธารณชนรู้จักชื่อเสียงของท่านผู้นี้ดี โดยเฉพาะคนรุ่นยุค 14 ตุลาคม 2516 แต่สำหรับในบ่ายวันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาในหมวกนักเขียน อบอุ่นด้วยแฟนานุแฟนวรรณกรรม ที่อาจารย์เสกสรรค์ในฐานะศิลปินแห่งชาติ ประจำ ปี 2552 สาขาวรรณศิลป์ ผลงานเขียนเรื่องสั้น สารคดี นวนิยาย กวีนิพนธ์ในห้วง 4 ทศวรรษ
ด้วยอรรถรสถ้อยคำของท่านในวงเสวนาเรื่อง “ชีวิตและการเขียนหนังสือ” ผ่านคำถามของสองพิธีกร เวียง-วชิระ บัวสนธิ์ และ พัชราภา ตันตราจิน จัดขึ้นที่ห้องนิทรรศการหมุนเวียน ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยกองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรม สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ส่วน “คนในวัฒนธรรม” ถ่ายทอดบางแง่มุมของนักเขียนวัย 60 ท่านนี้
ทราบว่าได้เป็นศิลปินแห่งชาติโดยไม่รู้ตัว
เผอิญว่าวันนั้นไปดูภาพยนตร์ซึ่งมือถือปิดไว้ พอออกจากโรงหนังก็เปิดมือถือมีมิสคอลเข้าเกือบยี่สิบสาย ผมก็ตกใจ นึกว่าเกิดรัฐประหาร มีการตีกันระหว่างสีต่างๆ หรือไง ปรากฏว่าไม่ใช่ จากนั้นมีคนโทรมาบอกผมได้รับการประกาศเป็นศิลปินแห่งชาติ ผมเองก็ยังบอกไปอีกว่าขอเช็คดูก่อน เป็นข่าวลือหรือเปล่า (หัวเราะ)
มีการตั้งข้อสังเกตงานเขียนวรรณกรรม
อย่าให้ผมมารำคาญอะไรเลย เป็นเรื่องความคิดเชิงลบเสียด้วยซ้ำ แต่เอาเป็นว่าผมเองก็ประหลาดใจอยู่เหมือนกัน แต่ก็ตอบข้อแรกได้ว่า รางวัลนี้ไม่ใช่เป็นการประกวดแข่งขัน คัดๆ เกณฑ์ๆ กันมาเหมือนรางวัลอื่น ข้อที่สองต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า ที่ผ่านมาผมเองกับฝ่ายรัฐบาลไม่ค่อยสนิทสนมแน่นแฟ้นเท่าไหร่ ผมเองก็ไม่ได้คาดหวังหรือเชื่อมั่นสังคมที่เป็นกระแสหลักนี่จะมายอมรับอะไรกับผม
ความจริง หลายท่าน(ผู้ฟัง) ก็คงจะทราบประวัติของผม บางวันก็ถูกยกย่องเชิดชูให้เป็นวีรบุรุษของชาติ บางวันผมก็แทบจะถูกตำรวจคุมตัวในฐานะอาชญากร บางวันผมก็ไปเป็นคณบดีคณะรัฐศาสตร์ บางวันก็ไปนอนเต็นท์อยู่ตามป่าตามเขา สรุปรวมๆ แล้วเป็นคนที่มีวิถีชีวิตที่อยู่นอกกระแสหลัก ถึงอย่างนั้นก็ทำงานให้ กับสังคมและเขียนหนังสือ และถ้าถามว่าดีใจไหมได้เป็นศิลปินฯ ก็ต้องตอบว่าดีใจ (หัวเราะ)
จุดเริ่มต้นเขียนหนังสือ เพื่อสื่อสารกับคนทั่วๆ ไป
อย่างที่บอกไป ไม่ได้เริ่มด้วยการที่อยากจะเขียน แต่เริ่มจากมีความในใจที่อยากจะพูด เพราะเห็นว่ามหาวิทยาลัยไม่ได้มีอุดมคติที่เราคิด ก็เริ่มเขียนบทความชิ้นแรกด้วยการวิจารณ์ชีวิตในมหาลัย ซึ่งตอนนั้นเรียนอยู่ปี 2 ราวปี พ.ศ. 2512 พิมพ์ต้นฉบับและรูปภาพประกอบไปติดบอร์ดทางขึ้นห้องสมุด จากนั้นเขียนมาเรื่อยจึงเริ่มเป็นที่รู้จักกัน แล้วทว่าไปไม่ได้คาดหมายจะมาเลี้ยงชีพได้ เพราะช่วงปี 4 เรียนไม่จบ
เป็นเรื่องบังเอิญ หัวหน้ากองบรรณาธิการนิตยสารแห่งหนึ่งเคยอ่านงานเขียนของเรา ก็ส่งคนมาตามให้ไปประจำกองบรรณาธิการของเขา จึงเป็นจุดที่เริ่มอาชีพเขียนหนังสือ คือกินเงินเดือนจากเขาตั้งแต่นั้น ซึ่งดีใจมากที่สามารถหาเลี้ยงชีพได้โดยไม่มีปริญญาในเวลานั้น ต่อมาได้ลาออกไปบวชอยู่ที่วัดมหาธาตุ ฝึกวิปัสสนา และในภาย หลังกลับไปเก็บ 3 วิชาที่เหลืออยู่จนจบปริญญาตรี แล้วไปเรียนต่อที่คอร์แนลล์ปริญญาโท-เอกจนจบ เข้ารับราชการ แล้วเขียนบทความและเรื่องสั้นไปด้วย
มีคนเข้าใจว่าใส่หมวกใบเล่เลียนแบบเช กูวารา
(หัวเราะ) คือ ถ้าคุณไปดูรูปผมในยุคนั้นจะต่างกับเชอยู่นิดหนึ่ง เชสวมหมวกใบเล่และมีผมยาวรอบข้าง ส่วนของผมนั้นหาเส้นผมไม่เจอ เพราะคนโบราณตอนสึกใหม่ๆ เขาก็ใส่หมวกใบเล่กัน ไอ้ผมก็จำมาจากบ้านนอกนั่นแหละจึงเอามาใส่ พอดีจังหวะนั้นไปเคลื่อนไหวทางการเมืองจึงดูขึงขังมาก ที่จริงแล้วไม่มีอะไร แคปิดหัวโล้นเท่านั้น
เป็นคนวาดภาพเช
ใช่ ตอนนั้นไม่รู้ว่าเชน่ะเป็นใคร (หัวเราะกันทั้งห้อง) คือตอนที่เรียนอยู่ปี 3 หรือปี 2 เพื่อนมีหัวการเมืองก็อยากจะทำภาพขบวนพาเหรดล้อการเมืองในช่วงฟุตบอลประเพณี แล้วก็เอารูปเชมาให้ผมเขียน รูปน่ะเล็กนิดเดียว แต่มาให้ผมขยายเท่าบานประตู ผมก็เขียนให้ ทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าอีตาคนนี้เป็นใคร แล้วก็มารู้ทีหลังนี่คือ เช กูวารา
คือผมนี่ จะถูกเอาไปโยงในเรื่องการให้ความสนใจอีกแบบหนึ่ง แต่มันไม่ตรงกับความจริง (หัวเราะ) วันหนึ่งแต่งตัวก็ว่าเลียนแบบเช ภายหลังตกปลาก็ว่าเลียนแบบแฮมมิ่งเวย์ ก็พ่อผมเป็นชาวประมง แล้วทำไมจะต้องไปเลียนแบบแฮมมิ่งเวย์ด้วย (หัวเราะทั้งห้อง)
แล้วสไตล์การเขียนหนังสือ
ต้องบอกก่อนว่าไม่เคยเอาประวัติตัวเองมาเขียน แต่จะเอาประสบการณ์เรื่องราวชีวิตมาเขียนเป็นความคิดบางประการ อาศัยเรื่องราวมาชี้แจงไอเดียความคิด ความรู้สึกบางอย่าง ดังนั้นคุณไปสังเกตดูเถอะไม่มีหนังสืออัตชีวประวัติที่เป็นล่ำเป็นสันที่ผ่านมา
นอกจากไปตกปลามาก็เอามาเขียน ไปเข้าป่ามาก็เอามาเขียน และวิธีการนำเสนอก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย เพราะเขาเขียนกันทั่วโลก เพียงแต่เมืองไทยไม่ค่อยมีใครทำ ถ้าคุณไปอ่านงานเขียนตะวันตกจะพบว่าจะมีลีลาเดียวกับงานวรรณกรรม เล่าบรรยากาศซึ่งผมก็มองว่าเป็นวิธีการนำเสนอที่ดี ทั้งจะวางโครงสร้างและตบท้ายอย่างไรตรงนี้สำคัญกว่า
มองงานเขียนออกไปทางเสียดสีสังคม
ไม่นะ นิสัยผมไม่ชอบเสียดสีใคร แต่ถ้าว่าตรงๆ น่ะว่า คือต้องเข้าใจงานเขียนของผมมีหลายประเภท เขียนลงหนังสือพิมพ์ก็ต้องมีวิธีการนำเสนอที่พูดถึงตัวปัญหา แต่ถ้าเป็นเรื่องสั้นอีกแบบหนึ่ง เช่นเรื่องฤดูกาล ดอกไผ่ คนกับเสือ หรือถ้าเป็นบันทึกเข้าป่าออกทะเลก็จะมีมุขเศร้าๆ มีการสะท้อนกลับในเชิงปรัชญาที่มีต่อโลกต่อชีวิต แต่ถ้างานร้อยแก้วก็จะออกสไตล์นิราศพอสมควร ลำพึงลำพันพลัดพรากอะไรสักอย่าง เหมือนนักรบที่พ่ายศึกมา ไม่พบความหมายของชีวิตที่เหลือ โดยรวมๆ แล้วเป็นอารมณ์ที่มีความรู้สึกจากข้างในออกมา
ทำไมงานเขียนไม่มีอารมณ์ขัน
(หัวเราะ) คือไม่รู้จะพูดอย่างไรดี แต่ทว่าเวลาอยู่กับมิตรสหายเป็นคนอารมณ์ดี ระยะหลังนะ(หัวเราะ) คือผมรู้สึกมั่นคงว่า ผู้คนที่รายล้อมผมเวลานี้ไม่มีใครมุ่งร้ายหมายขวัญกับผมแล้ว ก็จะสนุกสนานเฮฮาไป ซึ่งก็เคยมีคนแนะนำให้เขียนเรื่องตลก เพราะเห็นว่ามีมุขตลกมากมาย แต่ความรู้สึกของเรามันไม่อยากเขียน แล้วผมเองก็ยังนึกไม่ออกเขียนโจ๊กตลก แล้วคุณบรรลุธรรมได้ ถ้าทำได้อย่างนั้นผมจะเขียน (หัวเราะ)
งานเขียนจะพูดถึงบุคคลกับโครงสร้างสังคม
คือมีส่วนประกอบกัน บทบาทของบุคคลก็มีส่วนทำให้โลกเป็นอย่างไร โครงสร้างสังคมมีส่วนอย่างมากในการที่ทำให้นานาปัจจัยมาประชุมกันแล้วก่อเหตุการณ์ สถานการณ์ต่างๆ ซึ่งเราจะต้องมองโลกอย่างเคร่งครัดในลักษณะสภาวะวิสัย ไม่เอาในความหวั่นไหวทางอารมณ์ของตนเข้าไปกำหนดข้อเท็จจริงที่บังเกิดขึ้น
ความเห็นส่วนตัวของผม ปัญหาหลายอย่างมันเกิดจากการสะสมหลายอย่างทางด้านประวัติศาสตร์ ก็คือว่าทั้งในเชิงลำดับของเหตุการณ์ ทั้งในแง่ของปัจจุบันมีปัจจัยห้อมล้อมในวงกว้างจากยุคโลกาภิวัตน์ ไปจนกระ ทั่งการค้าเสรี ปัจจัยเหล่านี้แล้วในแง่ของคนที่เรียนมาทางด้านสังคมศาสตร์จะต้องนำมาหาความเชื่อมโยงให้ได้ เพื่อที่จะอธิบายให้ได้ว่าปัญหาจะแก้ได้โดยวิธีใด
ผมเองก็ไม่ได้ไปตำหนิตัวบุคคล แต่ถ้าคุณอยู่ในฐานะตัวละครทางการเมือง มันหนีไม่พ้น คุณต้องไปทะเลาะกับคน คุณต้องไปขัดแย้ง ไปไล่ใครสักคน หรือว่าคุณจะต้องไปถ่วงอำนาจใครสักคน อะไรก็แล้วแต่ มันก็พาคุณไปสู่การมองกรอบที่แคบลง ซึ่งในนิสัยของผมมาตั้งแต่ตนมีความโน้มเอียงใช้ทางปัญญาแก้ปัญหา แล้วไม่ค่อยถนัดปากหรือไม่สะดวกใจเท่าไหร่ที่จะไปโจมตีปัญหาบุคคล
สังคมไทยเวลานี้ ชอบด่าตัดตอน (หัวเราะ) หมายความว่า พูดเฉพาะในส่วนที่ตัวเองพอใจพูด ตำหนิติอีกฝ่ายเฉพาะที่ตัวเองไม่พอใจ แล้วก็ไม่เอาปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมาพิจารณา ในส่วนนี้ถ้าใช้ในแง่ของปัญญาจะต้องถือว่าสอบตก แต่ถ้าคุณมองภาพรวมให้ออกหรือมองทะลุความเป็นมาของสรรพสิ่ง คุณก็จะใจเย็น
หลายคนทะเลาะกัน น่าจะนำมาทำวรรณกรรม
คือผมก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ในแง่ของสังคมไทยก็มีสีสันอย่างที่เห็น แต่ว่ามีสีน้อยไปหน่อย มีแค่สองสี(หัวเราะ) ความจริงถ้ามีหลายๆ สีอาจจะทำให้โลกมันดูดีขึ้นก็ได้
คนที่อยู่กับผมสมัยหนุ่มๆ ก็กระจายกันอยู่สองฝ่ายเหมือนกัน ซึ่งก็มีเรื่องยินดีอยู่เรื่องเดียวกันที่มาพบกัน เลี้ยงฉลองกัน คือผมได้รับประกาศเป็นศิลปินแห่งชาติ (หัวเราะ) วันนั้นผมก็ขอร้องห้ามทะเลาะกัน ทุกฝ่ายมานั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกันได้ แล้วก็เตือนด้วยความหวังดี ไม่ลืมควรจะหนึ่งความเป็น “มิตร” ที่เคยมีมา สองไม่ลืมความเป็น “คน” ซึ่งมันมากกว่าเรื่องของการเมืองและอำนาจ
เห็นว่าเรื่องนี้พูดอยู่บ่อย
คุณคิดว่าผมเป็นใคร แค่ปาฐกถาครั้งหนึ่งสามารถเปลี่ยนประเทศไทยได้ ป่านนี้ก็เปลี่ยนไปนมนานกาเลแล้ว อย่าว่าแต่ผมเลย คำสอนของพระพุทธเจ้าสอนมา 2500 กว่าปียังเปลี่ยนมนุษย์ได้เพียงบางส่วนเท่านั้น
หันมาสนใจธรรมะ
คือในระยะหลังๆ มานี่ได้ศึกษาพุทธธรรม ผมยิ่งเห็นชัดว่าสรรพสิ่งในโลกเกี่ยวโยงกันหมด สิ่งที่เราเรียกผิดถูกดีชั่วทั้งหลายมันโยงกัน แล้วเราก็จะเห็นกรรมของปัจจัยเชื่อมโยงต่างๆ กันอีกด้วย
แต่สำหรับเราแล้วในวัยเด็ก เป็นเด็กวัดแบบโบราณมาก่อน มีวัตรปฏิบัติไปพร้อมๆ กับพระ ตั้งแต่ตื่นนอนเช้ามืด หิ้วปิ่นโตตามพระบิณฑบาต ดูแลเรื่องการฉันมื้อเช้าของพระ เก็บล้างถ้วยชาม ไปจนกระทั่งถึงวันพระญาติโยมมาทำบุญที่วัด มันเหมือนอยู่ในเป้าหลอมทางวัฒนธรรมของคนโบราณค่อนข้างมาก และถามว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้ผมหวนกลับมาสู่โลกุตตรธรรมในช่วงอายุมากขึ้น ผมจึงคิดว่ามีส่วนจิตวิญญาณมาตั้งแต่เล็ก
ถึงอย่างนั้น ก็ต้องถามกลับไปอีกที คนที่เป็นเด็กวัดแล้วมาทำชั่วในภายหลังจะอธิบายอย่างไร ซึ่งก็มีอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน พอเป็นใหญ่เป็นโต มีอำนาจขึ้นมาไปอีกทางหนึ่ง ก็เลยไม่คิดว่าจะเป็นปัจจัยชี้ขาด หรืออาจจะเป็นองค์ประกอบก็สุดแล้วแต่เนื้อนาบุญของแต่ละคน คล้ายๆ กรรมเกิดประโยชน์มากน้อยแค่ไหน
สำหรับผมแล้วเกิดประโยชน์มาก เพราะทุกข์ครั้งที่มีทุกข์ นึกถึงคำสอนของพระ แล้วก็หวนระลึกถึงคืนวันเก่าๆ ที่เราเคยมีชีวิตค่อนข้างจะอยู่ความสงบ สันโดษ ความสุขพอสมควรตอนเป็นเด็กวัด
“วันนี้เราก็อยู่ในวัย 60 นอกจากเขียนหนังสือแล้วมีเชิญไปพูด ก็ไม่รู้ว่าคนฟังติดอกติดใจเรื่องธรรมะที่เราพูด (หัวเราะ) ผู้ที่ได้ฟังเห็นด้วย แต่พอออกจากห้องประชุมกลายเป็นชนส่วนน้อยในประเทศไทยโดยฉับพลัน เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน ผมเองไม่ได้มีจินตนาการบทบาทอะไรอีก แต่ทำในสิ่งที่ดีที่สุดในแต่ละครั้ง”
นี่เป็นเพียงบางเสี้ยวของชีวิตลูกผู้ชายลุ่มน้ำบางปะกงในวัย 60 เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
คนในวัฒนธรรม
ชมวง พฤกษาถิ่น
ข่าววันที่ 5 มีนาคม 2553 แหล่งข่าวจาก สยามรัฐ

