Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

แอนนา

 

 
ใครๆ ก็เคยได้ยินชื่อ แอนนา มีเรื่องราวเกี่ยวกับแอนนามากมาย งานเขียนชิ้นที่มีชื่อเสียงที่สุดที่เป็นประวัติชีวิตของเธอ ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดชื่อ The King and I ภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ภาพเธอเป็นแหม่มผู้ดี สะสวย หัวสูง ชอบร้องรำทำเพลง ค่อนข้างโรแมนติค และไม่ค่อยเก่ง
 
 
งานเขียนอีกชิ้นหนึ่ง เสียดสีว่าแอนนาเป็นคนขี้ปด เพราะว่าปกปิดชาติกำเนิดของตนเอง 
 
 
แต่หนังสือเล่มใหม่ล่าสุดชื่อ Bombay Anna โดย ศาสตราจารย์ซูซาน มอร์แกน ให้ความกระจ่างเกี่ยวกับประวัติชีวิต บุคลิก และผลงานของแอนนา ที่ลุ่มลึกมากกว่าหนังสือเล่มใดๆ 
 
 
โดยผู้เขียนได้ใช้เวลาค้นคว้าวิจัยจากเอกสารชั้นต้นเป็นเวลาถึง 11 ปี 
 
 
ใน Bombay Anna เราได้ภาพของแอนนาเป็นหญิงสามัญชน ที่ได้ฟันฝ่าอุปสรรคใหญ่หลวงในชีวิตได้สำเร็จ และที่ทำได้เช่นนั้น ก็เพราะว่าเธอได้เลือกที่จะสร้างตัวตนของเธอขึ้นมาใหม่ 
 
 
ในความเห็นของซูซาน มอร์แกน ผู้ค้นคว้าประวัติของเธอ แอนนา "เลือกว่าใครจะเป็นพ่อแม่ของเธอ และเธอเลือกชนชั้นของเธอด้วยตัวเอง" 
 
 
เรื่องราวของแอนนาน่าทึ่งอย่างเหลือเชื่อ พื้นเพจริงๆ ของเธอคือ ลูกครึ่งอังกฤษ-แขก ที่เรียกว่าแองโกล-อินเดียน (Anglo-Indian) โดยปู่ของเธอคือหนุ่มน้อยชาวเวลส์จนๆ มีอาชีพเป็นคนงานรับจ้างตามฟาร์ม พ.ศ.2353 เขาตัดสินใจหลีกลี้ชีวิตลำเค็ญที่เวลส์ ไปรับจ้างเป็นทหารประจำที่บริษัทอีสอินเดียที่บอมเบย์ ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นอาณานิคมอังกฤษในขณะนั้น 
 
 
ปู่ของเธอจนมาก เป็นเพียงทหารปลายแถว แต่งงานกับสาวแองโกล-อินเดียน และมีลูกคือแม่ของแอนนา เมื่อปู่ตายก็ยังทิ้งหนี้เอาไว้ 
 
 
ดังนั้นแม่ของเธอก็คือเด็กสาวลูกครึ่งแองโกล-อินเดียน ที่อาศัยอยู่ละแวกสลัมค่ายทหารนั่นเอง 
 
 
แม่ของเธอแต่งงานครั้งที่ 2 หลังจากสามีทหารอังกฤษคนแรกเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังไม่เท่าไร ไม่มีใครรู้ว่าแม่และยายของเธอเป็นลูกเต้าเหล่าใคร และไม่มีเอกสารใดๆ เกี่ยวโยงกับความเป็นมาของแม่และยายของเธอเลย 
 
 
ชะตาชีวิตของเด็กสาวแองโกล-อินเดียนแบบแอนนาในสมัยนั้น มักจะจบลงด้วยการออกเรือนไปกับทหารอังกฤษจนๆ เหมือนแม่และยายของเธอนั่นแหละ และจะแต่งงานเร็วเสียด้วย คือ จะแต่งเมื่ออายุ 13-15 ปีเท่านั้น และสามีเหล่านี้ก็มักตายเร็ว เพราะเงินเดือนน้อย มีโรคภัยต่างๆ และการสงคราม เมื่อสามีตายก็จะตกเป็นเมียของทหารจนคนอื่นๆ ต่อไป 
 
 
สาวๆ แองโกล-อินเดียนเองก็อายุไม่ค่อยจะยืน ด้วยเหตุผลคล้ายๆ กัน และเมื่อตายก็จะหายสาบสูญไปเลย ไม่มีชื่ออยู่ในสารบบของใคร นอกเสียจากว่าโชคดีมีสามีอังกฤษที่ตายก่อน แล้วทิ้งทรัพย์มรดกไว้ให้บ้างในพินัยกรรม 
 
 
แต่แอนนาแตกต่างจากสาวแองโกล-อินเดียนอื่นๆ ในสมัยเดียวกับเธอ เธอเป็นคนฉลาด หัวดี ความจำดี เธอพูด อ่าน เขียน ภาษาอังกฤษ เปอร์เซีย สันสกฤต และต่อมาภาษาเยอรมันได้เป็นอย่างดี 
 
 
สำหรับภาษาอังกฤษนั้น เธอได้เรียนที่โรงเรียนชั้นต้นที่ค่ายทหาร สำหรับสันสกฤตและเปอร์เซียนั้น ไม่มีหลักฐานว่าเริ่มต้นเธอได้ความรู้เหล่านี้มาอย่างไร สำหรับภาษาเยอรมัน เธอได้เรียนด้วยตัวเองในภายหลังเมื่อย้ายไปอเมริกาแล้ว ดูเหมือนว่าเธอจะมีพรสวรรค์ด้านภาษา 
 
 
นอกจากรอบรู้หลายภาษาแล้ว เธอยังมีความรอบรู้เกี่ยวกับศาสนาฮินดู ศาสนาพุทธ ค่อนข้างดี เหล่านี้เธอเรียนด้วยตัวเองทั้งสิ้น เนื่องจากไม่อาจหาหลักฐานได้ว่าเธอเข้าเรียนในสถาบันการศึกษาขั้นสูงใดๆ ก่อนที่เธอจะย้ายไปอยู่แคนาดาในบั้นปลายของชีวิต 
 
 
เมื่อเธออายุได้ 28 ปี สามีทหารชาวอังกฤษเสียชีวิต ขณะนั้นก็มีลูกเล็ก 2 คนแล้ว จึงเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่สำหรับเธอ อีกทั้งสามีเป็นคนน่ารักมาก และรักแอนนาเป็นที่สุด แอนนาก็รักสามีมาก เธอจึงไม่เคยมีโรแมนซ์กับใครอีกหลังจากนั้น 
 
 
แต่แอนนาไม่ย่อท้อต่อชีวิต พ.ศ.2402 เธออพยพไปอยู่สิงคโปร์พร้อมกับลูกทั้งสองคน เธอตัดขาดการติดต่อกับญาติๆ ที่อินเดียอย่างสิ้นเชิง สร้างชีวิตของเธอขึ้นมาใหม่ เธอหาเลี้ยงชีพด้วยการเปิดโรงเรียนสอนเด็กๆ แล้วบอกกับใครๆ ว่า เธอเป็นลูกสาวตระกูลผู้ดีที่เวลส์ ครอบครัวรับราชการเป็นใหญ่เป็นโตที่อินเดีย แต่หลังจากที่เธอพบรักกับชายหนุ่มที่ครอบครัวไม่เห็นด้วย เธอจึงถูกตัดขาดจากกองมรดก และเมื่อสามีของเธอต้องเสียชีวิตในการสงครามครั้งใหญ่ที่อังกฤษรบกับอินเดียเรียกว่า สงครามซิกส์ เธอจึงตกยากและอพยพมาอยู่ที่สิงคโปร์ 
 
 
เธอพูดภาษาอังกฤษออกสำเนียงเวลส์ และแม้ว่าผิวของเธอจะดูคล้ำเสมือนถูกแดดเล็กน้อย แต่หน้าตารูปลักษณ์ของเธอเหมือนหญิงอังกฤษมาก จึงไม่มีใครสงสัย 
 
 
เรื่องราวภูมิหลังมาจากตระกูลผู้ดีอังกฤษ ทำให้เธอได้รับการยอมรับจากแวดวงสังคมฝรั่งที่สิงคโปร์เป็นอย่างดี โดยเฉพาะคนอเมริกัน 
 
 
ถ้าแอนนาไม่ปั้นเรื่องเช่นนี้ เธอคงไม่มีโอกาสก้าวหน้าได้เป็นถึง English Governess หรือครูที่ราชสำนักสยาม แม้ว่าเธอจะมีทักษะเป็นครูที่ดี มีความรู้ต่างๆ ทั้งนี้เพราะสังคมขณะนั้นยังรังเกียจผู้มีภูมิหลังแบบเธออย่างมากๆ ทีเดียว 
 
 
หลังจากแอนนาทำหน้าที่เป็นครูที่ราชสำนักสยามได้ประมาณ 5 ปี ก็อพยพไปอยู่อเมริกา ดำเนินอาชีพครูต่อไป และต่อมาไม่นานก็พัฒนาตนเองให้มีชื่อเสียงในแวดวงสังคมอเมริกัน โดยเป็นนักเขียนนวนิยาย นักบรรยาย คอลัมนิสต์ และผู้เชี่ยวชาญภาษาสันสกฤต เธอเคยสอนสันสกฤตที่แอมเฮิสด้วย 
 
 
เธอไม่เคยเผยชีวิตจริงของเธอให้ใครได้รับรู้ แม้แต่ลูกของเธอ หรือหลานๆ ซึ่งเธอเลี้ยงมากับมือตั้งแต่เด็กๆ 
 
 
ศาสตราจารย์ซูซาน มอร์แกน เพิ่งจะค้นพบรากเหง้าของแอนนาโดยละเอียด หลังจากที่ได้ใช้เวลา 11 ปี ค้นคว้าวิจัยต้นตอและชีวิตของเธอจากเอกสารชั้นต้นที่อินเดีย อังกฤษ ออสเตรเลีย ไทย อเมริกา และแคนาดา 
 
 
เอกสารชั้นต้นเหล่านี้ ได้แก่ เอกสารเกี่ยวกับการอพยพของชาวอังกฤษไปทำงานที่อินเดีย เอกสารของบริษัทอีสต์อินเดีย พินัยกรรมของทหารอังกฤษที่ตายที่อินเดีย จดหมายโต้ตอบต่างๆ ที่หลงเหลืออยู่ ฯลฯ 
 
 
นอกจากจะสืบค้นประวัติของแอนนามาตีแผ่ให้รู้แจ้งกันอย่างจะจะแล้ว หนังสือ Bombay Anna ยังได้ใช้เอกสารชั้นต้น คือ จดหมายโต้ตอบระหว่างพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและแอนนา ที่เผยให้เห็นการถกเถียงและเสวนาในประเด็นสังคม เช่น เรื่องทาสในสยาม เรื่องสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะสิทธิของผู้หญิง และการเมืองกับอังกฤษในขณะนั้น ซึ่งชี้ให้เห็นว่าแอนนาอาจจะมีบทบาทมากกว่าเป็นเพียงครูที่ราชสำนักสยาม 
 
 
นอกจากนั้น การโต้ตอบนี้ยังแสดงให้เห็นว่าแอนนาให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิและเสรีภาพมาก ในบั้นปลายของชีวิต เธอนิยมชมชอบอุดมการณ์สังคมนิยม 
 
 
ชีวิตจริงของแอนนาน่าสนใจและน่าติดตามมากกว่าฉบับที่ฮอลลีวู้ดเอาไปสร้างเป็นภาพยนตร์เป็นไหนๆ 
 
 
หนังสือ Bombay Anna โดยศาสตราจารย์ซูซาน มอร์แกน ไม่ได้เป็นเพียงหนังสือประวัติชีวิตของแอนนา แต่ได้สะท้อนสภาพสังคม ปัญหาเรื่องเชื้อชาติและชนชั้น ที่สำคัญคือ หนังสือเล่มนี้ได้เสนอให้ขบคิดประเด็นเรื่อง เราคือใคร เราจะต้องผูกติดกับชาติกำเนิดของเรา หรือเราจะสร้างชีวิตของเราเองได้ 
 
 
นอกจากนั้นยังชี้ให้เห็นปัญหาโครงสร้างที่มักจะกดทับชีวิตของผู้คน 
 
 
เป็นหนังสือที่น่าอ่านจริงๆ 
 
 
โดย ผาสุก พงษ์ไพจิตร 
คอลัมน์พิืเศษ>คอลัมน์ ดุลยภาพ ดุลยพินิจ 
วันที่ 03 มีนาคม พ.ศ. 2553 จาก : หนังสือพิมพ์มติชนสุดสัปดาห์