Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

แสงไฟส่องตาให้หาทางเดินเจอ… แต่แสงธรรมส่องใจให้เดินไปในทางที่ถูกต้อง

 

 
หลังจากที่ได้คุยกับนักเขียนมาหลากหลายคนและหลากหลายแนว วันนี้คอลัมน์คุยนอกรอบ จะพามาเปลี่ยนแนว ไปคุยกับพระภิกษุสงฆ์ ผู้หันมาจับปากกาเขียนหนังสือแนวธรรมะ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่นไกลที่ไหน เป็นพระนักเขียนที่มีผลงานเล่มแรกกับสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น ผู้ใช้นามปากกาว่า “ธรรมรตา”  หรือเจ้าของผลงาน “อย่าคว้าดวงดาวด้วยสายตา” นั่นเอง
 
– จุดเริ่มต้นของการเขียนหนังสือ
พระเดินดินบิณฑบาตธรรมดารูปหนึ่ง  เรียนมาเยอะแต่เข้าใจและจำได้นิดหน่อย  จึงต้องอ่านบ่อยและเขียนไว้ไป ๆ มา ๆ เลยนึกอยากเขียนเป็นเล่มบ้าง  เริ่มด้วยการเขียนบันทึก  ซึ่งก็ไม่เคยเต็มเล่มเลยสักปี  ชอบเขียนกลอนแต่คนอื่นมักเรียกว่า กลวง คือมันล่วงเลยผ่านความเป็นกลอนเสียสิ้น  ใจจริงนั้นอยากเขียนให้ได้หลายแนว   แต่เล่มแรกก็เกือบท้อใจเพราะใช้เวลาปีกว่าเกือบสองปีที่เขียนแก้และส่งใหม่  ส่งไปเรื่อย ๆ ปฏิเสธมาก็อ่านแก้ใหม่และก็ส่งต่อ  รวมแล้วถูกปฏิเสธ  ๗  ครั้ง  จาก  ๖  สำนักพิมพ์  ก่อนจะทิ้งความฝัน..พลันเห็นมุมขวาของเว็บประพันธ์สาส์น..ขณะนั้นอาจไม่หวังอะไรมาก  แค่ต้องการทำให้ถึงที่สุด 
สุดท้ายจึงปรากฏนาม “ธรรมรตา” ขึ้นในบรรณพิภพ 
 
 
– แรงบันดาลใจของการเขียน
 
เพราะทำงานอยู่กับครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นนักเขียนเลยซึมซับมา   เหมือนถูกกรอกหูทุกวันว่า “จงเขียนหนังสือ ๆ” ไม่รู้ว่าเป็นแรงบันดาลหรือแรงดลใจกันแน่   แต่ก็ปรารถนาในใจไว้แล้วว่าอยากจะมีผลงานของตนเองบ้าง เพราะติดตามรางวัลซีไรต์อยู่   ตั้งแต่ลูกอีสาน ของคำพูน บุญทวีเป็นต้นมา แต่ก็ได้อยู่กับครูบาอาจารย์นี่แหละเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือที่สุด
 
 
– ผลงานที่มีมา
 
"อย่าคว้าดวงดาว ด้วยสายตา” เป็นผลงานเขียนเรื่องแรก  ส่วนผลงานเขียนอื่น ๆ กำลังจะตามมา
 
 
– ความคิดเห็นที่มีต่อแวดวงหนังสือธรรมมะในปัจจุบัน
 
ก็มากมายหลากหลายดี  สามารถเลือกเล่มที่เหมาะกับความสนใจและพื้นฐานความรู้ของตนเองได้  เมื่อก่อนมีน้อยและเนื้อหาค่อนข้างยาก  ถ้าไม่เป็นประสบการณ์ทางวิญญาณหรือการปฏิบัติธรรมซึ่งออกแนวหลุดพ้น  หรือไม่ก็หลักวิชาการไปเลย  ซึ่งไม่สอดคล้องกับความต้องการของคนสมัยนี้   ที่ต้องการอะไรง่ายๆ  แต่ดูทันสมัย  เลยทำให้เกิดกระแส  ธรรมะอินเทรน  
 
 
– การมีคนเขียนหนังสือแนวธรรมะมากขึ้น มีผลให้คนอ่านหนังสือแนวนี้เพิ่มขึ้นด้วยหรือเปล่า
ของมันแน่นอนอยู่แล้ว  เพราะถ้าไม่มีคนอ่านเขาก็คงไม่เขียนกัน   มีคนเขียนแนวนี้เยอะก็แสดงให้เห็นว่าคนอ่านก็พอสมควร  เหมือนเพลงเกาหลีนั่นแหละมีคนฟังเยอะการนำเข้าให้เพียงพอก็จะตามมา  แต่เรื่องความบันเทิงนั้นเขาใช้สื่อปลุกกระแส  ส่วนธรรมะมีทุกข์เป็นตัวปลุกกระแสเพราะคนทุกวันนี้เริ่มที่จะมองหาความสุขทางใจกันเพิ่มขึ้น  อยู่ที่ว่าจริตใครจะพาไปทางไหนเท่านั้นเอง  ไปผ่อนคลายที่บาร์หรือหาหนังสือดี ๆ สักเล่มมาอ่านก็เท่านั้น
 
 
– การเขียนหนังสือแนวธรรมะควรคำนึงถึงอะไรบ้าง
 
เจตนาที่ดี…  เพราะอะไรก็แล้วแต่   ที่ออกมาจากใจที่เจตนาดี  แม้ว่าเป็นคำง่าย ๆ ธรรมดา  ๆ  ที่สื่อออกไปสะกิดใจผู้อ่านอาจเปลี่ยนชีวิตพลิกไปในทางที่ดีได้ด้วย อักษรไม่กี่ตัว   
 
 
– การเขียนหนังสือธรรมะ แบบมีสีสัน มีเรื่องราว และใช้ภาษาที่สนุกสนาน จะสามารถทำให้คนหันมาอ่านและสนใจศึกษาธรรมะได้จริง ๆ ไหม
 
จริง …  เพราะเมื่อก่อนคนคิดว่าธรรมะนั้นลึกซึ้งและยาก  อีกทั้งหนังสือก็มีแต่แบบโบราณหรือสำนวนและเรื่องประกอบไม่เข้ากับยุคสมัย  หนังสือธรรมะสมัยนี้เหมือนเป็นเครื่องเปิดทางให้ง่ายแก่การเดินเข้าสู่แดนแห่งธรรมะ  แต่จะไปได้ไกลแค่ไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับความสนใจเพิ่มเติมและความวิริยะของแต่ละคน  ซึ่งก็พบหลายคนเหมือนกันที่ผันชีวิตตนเองได้ด้วยหนังสือธรรมะ  และจุดประกายในศึกษาเรียนรู้พร้อมทั้งนำไปสู่ผู้อื่นได้ด้วย
 
 
         – ผลงานเขียนล่าสุดเรื่อง "วิชาความสุข" เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร
 
ได้แนะไว้ในคำนำเบื้องต้นว่า  “วิชาความสุข” ไม่ใช่สุดยอดวิชา   อย่างเดชคัมภีร์เทวดา แต่เป็นเพียงเคล็ดเล็ก ๆ เกร็ดเบา ๆ ที่หวังช่วยคลายเหงา   บรรเทาความเศร้าในหัวใจ   ของใครบางคนได้บ้างเท่านั้น   คำแนะนำตรงนี้คงไม่มีอะไรมากไปกว่าขอเชิญร่วมทัศนาเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยกัน  ส่วนผลงานด้านอื่นนั้นคงได้แต่บอกว่า “โปรดติดตามตอนต่อไป”  
 
– ฝากข้อคิดสะกิดใจ
 
พุทธศาสนา เป็นศาสนาแห่งการเรียนรู้   ท่านบอกว่าความรู้เกิดขึ้นได้จากการอ่านและฟัง(สุตตมยปัญญา)  จากนั้นก็นำมาคิดไตร่ตรองด้วยเหตุและผล (จินตมยปัญญา)  แต่ก็ยังไม่พอต้องนำไปปฏิบัติทดลองให้เห็นจริงว่าได้ผลหรือไม่อย่างไร (ภาวนามยปัญญา)  ด้วยการนำกระบวนการเรียนรู้เชิงพุทธนี้ไปใช้   สังคมไทยจะเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้  
แสงไฟส่องตาให้หาทางเดินเจอ  แต่แสงธรรมส่องใจให้เดินไปในทางที่ถูกต้อง   มีพุทธภาษิตบทหนึ่งกล่าวว่า “วันคืนล่วงไปท่านทำอะไรอยู่”  ต้องย้อนกลับมาถามตัวเองแล้วละว่าเราเกิดมาชาติหนึ่งนี้   มีเวลาไม่ถึงร้อยปี   หนึ่งปีมีสามร้อยกว่าวัน    และหนึ่งวันก็แค่ยี่สิบสี่ชั่วโมง เราจะผ่านช่วงเวลานาทีของชีวิตไปอย่างไร จะนั่งซมจมความเศร้าหรือจะปลุกปลอบเร้าใจให้สู้ เรียนรู้ว่าจะอยู่อย่างไรให้เป็นสุขและมีคุณค่าจนภูมิใจที่ได้เกิดมา   เวลาชีวิตมันก็หายไปเท่ากัน ฉะนั้น ขอจงเลือกเอาว่าวันคืนล่วงไปท่านจะอยู่อย่างไร?   เจริญพร  
 
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : http://www.praphansarn.com