แผนปฏิรูปความทุกข์ ฉบับ ‘ประเวศ วะสี’ โดย : เพ็ญลักษณ์ ภักดีเจริญ กรุงเทพธุรกิจ
แผนปฏิรูปความทุกข์ ฉบับ 'ประเวศ วะสี'
โดย : เพ็ญลักษณ์ ภักดีเจริญ กรุงเทพธุรกิจ 4/01/54
แม้การคิดบวกหรือการทำเพื่อเพื่อนมนุษย์จะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ราษฎรอาวุโสคนนี้ก็ทำมาทั้งชีวิต แล้วทำไมมนุษย์ชอบคิดแง่ลบ ค้นหาคำตอบจากเรื่องนี
บทบาทสำคัญของราษฎรอาวุโสคนนี้ ศ.นพ.ประเวศ วะสีคงไม่ต้องกล่าวให้มากความ คุณหมอสร้างประโยชน์ให้สังคมในหลายด้าน ทั้งงานส่วนชุมชน วงการสาธารณสุข และพุทธศาสนา คนทั้งประเทศรู้จักคุณหมอเป็นอย่างดี และตอนนี้เข้ามาทำงานเข้มข้นเป็นประธานคณะสมัชชาปฏิรูปประเทศ คณะทำงานที่เป็นความหวังหนึ่งของสังคม แม้จะมีเสียงชื่นชมยินดีกับแนวคิดการปฏิรูปประเทศไทย แต่ก็มีเสียงคัดค้านมากมายว่า แนวคิดนี้นำไปใช้ไม่ได้จริงในสังคมไทย
ทั้งดอกไม้และก้อนอิฐที่โยนใส่คุณหมอในเรื่องการปฏิรูปประเทศและหลายๆ เรื่อง ซึ่งมีทั้งคนเห็นด้วยและคัดค้าน บางคนก็ว่า คุณหมอคิดดีเกินไป เรื่องนี้มีคำอธิบายในเรื่องสมองและจิตที่คุณหมอศึกษามาอย่างต่อเนื่อง เพราะเชื่อว่ามนุษย์ต้องการความสุขมากกว่าความทุกข์
หลายเรื่องที่คุณหมอแสดงความคิดเห็น คนส่วนใหญ่มองว่า คุณหมอประเวศ วะสีคิดบวกเกินไป?
ความคิดทางบวกต้องการมากในสังคมไทย สังคมคิดทางลบมากเกิน และนานเกิน เวลาคิดทางลบก็เกิดอารมณ์ลบ รบกวนจิตใจเกิดความโกรธ เกลียด หงุดหงิด รำคาญ ก็จะไปบดบังปัญญา ทำให้ปัญญาถดถอย นำไปสู่การต่อสู้เชิงทำลาย ซึ่งเป็นการใช้สมองส่วนหลัง สมองส่วนสัตว์เลื้อยคลาน ถ้าเราใช้สมองส่วนหลังนานเกิน สมองส่วนหน้าจะฝ่อ สมองส่วนหน้าเกี่ยวกับปัญญา ศีลธรรม ซึ่งเรียกว่าสมองมนุษย์ เพราะการคิดต่อสู้จะไม่ใช้ความจริง เมืองไทยมีปัญหาเยอะ จึงต้องเปลี่ยนเกียร์ เพราะตอนนี้เข้าเกียร์หลัง ต้องเปลี่ยนมาใช้สมองส่วนหน้าคิดทางบวก
เรื่องนี้มีคำแนะนำเพิ่มเติมอย่างไร
เพราะธรรมชาติมนุษย์มีศักยภาพสูงในการใช้ปัญญาและความดี สมองมนุษย์มีความไวมาก ผมศึกษาเรื่องสมองกับจิตตลอดหลายสิบปี ธรรมชาติของมนุษย์ ถ้าเราได้เห็นแววตา ได้ยินคนอื่นพูดจะรับรู้ความรู้สึกเกิดความเห็นใจ อยากทำประโยชน์เพื่อเพื่อนมนุษย์ ผมพูดอยู่เรื่อยๆ ว่ามนุษย์มีเมล็ดพันธุ์แห่งความดีในหัวใจทุกคน ถ้าเราใช้มัน แต่เราไปคิดทางลบมากไป ทำให้ปัญญาเกิดขึ้นน้อย และการรับรู้ความรู้สึกคนอื่นก็จะน้อย ผมจึงอยากย้ำว่า ต้องเปลี่ยนเกียร์มาที่สมองส่วนหน้า
แม้คุณหมอจะพูดเรื่องการคิดบวกอยู่เรื่อยๆ แต่ไม่ค่อยมีคนสนใจ ?
คนจะไม่สนใจในระยะแรก แต่ต่อไปจะสนใจ เพราะคนที่คิดทางลบก็มีความทุกข์ เมื่อทุกข์นานๆ ก็อยากออกจากทุกข์ จึงต้องคิดทางบวก และเมื่อคิดทางบวกได้ก็จะมีความสุขฉับพลัน คิดเมตตาคนอื่น มองเห็นเรื่องดีๆ ซึ่งผมจะขออธิบายเรื่องสมองเพิ่มอีกนิด ธรรมชาติสมองมนุษย์จะจำเรื่องร้ายมากกว่าเรื่องดี จะบันทึกไว้ในสมองส่วนกลางเกี่ยวกับ อารมณ์ เรียกอะมิกดาลา (Amygdala) จะคิดวนเวียนอยู่อย่างนั้น (เขียนภาพอธิบาย) ต่างจากสมองที่เรียกว่า ฮิปโปแคมปัส ซึ่งเป็นความจำระยะยาว ยกตัวอย่างเรื่องดีๆ เกิดขึ้นในชีวิต 99 ครั้งจำไม่ได้ เพราะเรื่องดีจะผ่านไปเร็ว แต่เรื่องร้ายจะติดค้างและจำไว้ในสมองส่วนอะมิกดาลา ก็จะเกิดอารมณ์หงุดหงิด เกลียด รำคาญ เรื่องนี้จึงต้องมีการฝึกฝน
ทั้งๆ ที่ชีวิตคนเรามีเรื่องดีมากกว่าเรื่องร้าย แต่สมองไม่จำเรื่องดี ลองเอาสมุดมาบันทึกเรื่องดีๆ ที่คนอื่นทำให้เรา หรือตัวเราทำ จะได้เห็นการเปลี่ยนแปลง เพราะเราวนเวียนอยู่กับมายาคติในเรื่องอำนาจ เงิน รูปแบบ ความฉ้อฉล เท่าที่ผมเห็นในชุมชนมีเรื่องดีๆ เยอะ เพราะมีวิธีคิดเชิงอยู่ร่วมกัน เขาอยู่อย่างนั้นกว่า 1,000 ปี ขณะที่รัฐคิดเชิงอำนาจ ธุรกิจคิดทางกำไร นักวิชาการคิดเชิงความรู้ ทั้งหมดไม่ได้คิดเชิงอยู่ร่วมกัน
ในประสบการณ์ของผม ถ้าไม่เอาการอยู่ร่วมกันเป็นตัวตั้งจะพลาดเสมอ เช่น การพัฒนาเอาเงินเป็นตัวตั้ง ทำให้ยุ่งไปทั้งโลก การอยู่ร่วมกันสำคัญและนี่คือศีลธรรม ในโครงสร้างอำนาจ คนที่อยู่ด้านบน มักไม่คิดเรื่องศีลธรรม พอเราเห็นว่าเรื่องนี้ขาด ก็จะไปสอนวิชาศีลธรรม ซึ่งไม่ได้ผล เพราะศีลธรรมไม่ใช่วิชาแต่เป็นการอยู่ร่วมกัน ถ้าใครอยากให้เกิดพลังและมีความสุขให้ไปดูในชุมชน สื่อมวลชนควรนำเสนอเรื่องชุมชนมากขึ้น เรื่องการคิดบวกจำเป็นสำหรับสังคมไทย
ผมขอยกตัวอย่างงานวิจัย มีบริษัทแห่งหนึ่งทดลองว่า ในองค์กรของเขาทำเรื่องดีๆ อะไรบ้าง โดยให้คนมาแลกเปลี่ยนกัน คนถามและคนตอบก็มีความสุข คนมาร่วมเยอะก็เกิดพลังทางบวก บริษัทที่ทดลองทำปรากฎว่า มีผลกำไรสูงขึ้น 400 เปอร์เซ็นต์ ผมเจออีกเรื่องในการประชุมที่ขอนแก่น แทนที่จะทำวิจัยเชิงเหตุผลให้แลก เปลี่ยนกันว่า ทำไมขอนแก่นไม่เกิดประชาคม โดยการถกเถียงข้อไม่ดี ก็เปลี่ยนมาคุยว่า เมืองขอนแก่นมีอะไรดีบ้าง ก็จะมีการรวมพลังมากขึ้น
เพราะธรรมชาติของมนุษย์ชอบคิดแง่ลบ ?
สัตว์ก็เป็น ถ้าสมองจะจดจำเรื่องทางลบ เราต้องฝืนลองบันทึกเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต
แล้วคุณหมอบันทึกไหม
ผมไม่ต้องบันทึกแล้ว (หัวเราะ) ผมไปเห็นคุณงามความดีของผู้คน ต้นไม้ ใบหญ้า ผมมีความสุขแล้ว
กระบวนการคิดทางบวกในมุมมองของคุณหมอต้องทำอย่างไร
ปี 2554 เป็นปีแห่งการสร้างสุข ก็พูดเรื่องความสุข เพราะคนไม่รู้จะสร้างความสุขอย่างไร คนส่วนใหญ่ใจร้อน ทั้งๆ ที่เราสามารถมีความสุขฉับพลัน เรื่องนี้ทำได้โดยการเปลี่ยนวิธีมอง โลก เพราะเราถูกมายาคติครอบ เหมือนติดคุกที่มองไม่เห็น ทั้งเรื่องกฎหมาย กฎระเบียบ อำนาจ เงิน รูปแบบ ความคิด และทฤษฎี ทิฐิพวกนี้ไม่ใช่ความจริง วิธีที่จะมีความสุขฉับพลันก็คือ ออกจากคุก เรื่องเหล่านี้ไม่ได้ออกได้จากการใช้พละกำลัง แต่ออกได้จากการเห็น เพราะโลกของความจริงก็คือเพื่อนมนุษย์ ธรรมชาติ ต้นไม้ใบหญ้า ก้อนเมฆ ท้องฟ้า นี่คือความจริงของชีวิต
คุณหมอเคยคิดแง่ลบบ้างไหม
ไม่เคย ต้องมีความหวัง ถ้าสังคมไม่มีความหวังจะยิ่งรุนแรง เหมือนคนหมดหวังทำอะไรก็ได้ ต้องมีจินตนาการใหม่ที่ดีสำหรับประเทศไทย ถ้าเอาปัญหาเป็นตัวตั้ง ไม่มีทางออก ต้องเอาอนาคตเป็นตัวตั้ง สร้างประเทศไทยให้น่าอยู่
ถ้าคนส่วนใหญ่ยอมที่จะติดคุกโลกมายา คุณหมอจะแนะนำอย่างไร
อย่างเจ้าชายสิทธัตถะอยู่ในวัง เรียนวิชาทุกอย่างของมนุษย์ ศิลปะวิทยาการ แต่เมื่อออกจากวังไปเห็นความจริงของชีวิต เห็นคนเกิด แก่ เจ็บและตาย ทำให้พระองค์เกิดพลังจิตสำนึกอยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ศักยภาพสูงสุดของมนุษย์ไม่ใช่เรื่องความรู้ ถ้าเปลี่ยนพลังจิตสำนึกใหม่จากความทุกข์เป็นความสุข เป็นการเห็นด้วยปัญญา จะเห็นคุณค่าตัวเองและเพื่อนมนุษย์ แต่เราถูกมายาคติครอบ เด็กเรียนหนังสือไม่เก่ง จำไม่ได้ก็ถูกดูถูก เราต้องสำนึกในศักดิ์ศรีคุณค่าความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน ถ้าทำอย่างนั้นได้จะเกิดความสุขที่มีอิสรภาพ แต่ที่ไม่มีอิสรภาพ ไม่มีความสุข เพราะถูกขังในคุกความคิด
การคิดในแง่บวกต้องเกิดขึ้นในสังคม ?
เพราะมนุษย์อยากมีความสุข แต่มนุษย์ไม่รู้ ก็เลยแสวงหาเงินทอง อำนาจ นั่นเป็นความสุขราคาถูก ผมอยากพูดเรื่องความสุขสามขั้น ก็คือ 1.เรื่องจิตสำนึก ลองทำอะไรดีๆ 2. รวมตัวกันร่วมคิดร่วมทำเพื่อสังคม และ 3. สร้างเครือข่ายเชื่อมโยงกัน อาจเริ่มจาก 4-5 คน ทำเรื่องสังคมหรือสิ่งแวดล้อมก็ได้ เรื่องอะไรก็ได้ที่ชอบ ถ้าทำแบบนั้นจะมีความสุขประดุจบรรลุนิพพาน เพราะคำว่าชุมชน ไม่ได้แปลว่าหมู่บ้าน
อีกอย่างผมคิดว่า เราต้องหาความรู้จากประสบการณ์คนทั่วโลกทั้งเรื่องเก่าและใหม่ เรื่องเก่าคือ สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ส่วนเรื่องใหม่ที่ผมอยากยกตัวอย่างหนังสือคุณหมออเมริกันคนหนึ่งชื่อ Scott Peck เรื่อง A World Waiting To Be Born (โลกที่กำลังจะเกิดขึ้น) หมอ Scott คนนี้รักษาคนอเมริกันที่ไม่มีความสุขจำนวนมาก จนรักษาไม่ไหว ในที่สุดเขาคิดว่า ต้องสร้างความเป็นชุมชนร่วมคิดร่วม ทำ ในเมืองไทยมีตัวอย่างแบบนี้เยอะ มีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ที่อ.เสนา จ.พระนครอยุธยา เดิมมีอาการไม่สบายหกอย่าง แต่พอได้ร่วมคิดร่วมทำ อาการโรคหายหมด เพราะมีความสุข ถ้าถามว่าทำไมมีความสุข เพราะคนมีศักดิ์ศรีเสมอกัน เวลามารวมตัวร่วมคิดร่วมทำ ความเห็นแก่ตัวจะน้อยลง และบางคนอยู่หลายกลุ่ม เหมือนเซลล์สมอง ถ้าเพิ่มจำนวนเยอะๆ ก็เชื่อมโยงเป็นเครือข่าย
ส่วนนักเขียนอีกคนที่ผมอยากยกตัว Dee Hock คนนี้เมื่อก่อนยากจนมาก ไม่มีเงินเรียนมหาวิทยาลัย เขาชอบธรรมชาติและชอบอ่านหนังสือ จบแค่ระดับไฮสคูล ก็ไปรับจ้างทำงาน ย้ายไปเรื่อย ถูกไล่ออกเกือบทุกแห่ง เพราะความเห็นของเขาไม่เหมือนผู้บริหาร เขาบอกว่า การทำงานในบริษัทไม่เห็นเหมือนธรรมชาติที่เขาสังเกต พฤติกรรมมนุษย์ชอบทำร้ายกันลับหลัง กระทั่งต่อมาเขากลายเป็นซีอีโอคนแรกของธุรกิจที่ใหญ่ที่สุด คือ วีซ่าการ์ด เขาเป็นคนสมถะช่างคิด เขาบอกว่า ความสัมพันธ์ของวีซ่าการ์ดไม่ได้เป็นเหมือนปัจจุบัน บริษัทหรือธนาคารเป็นหมื่นๆ แห่งมาสัมพันธ์กันเป็นเครือข่าย ต้องเชื่อมโยงกันด้วยความสมัครใจ อย่าง Chaordic Organization ที่ Dee Hock คิด เพราะองค์กรส่วนใหญ่เป็นความสัมพันธ์เชิงดิ่งจากบนลงล่าง คนถูกบีบคั้น แต่การทำงานเครือข่ายไม่มีใครบังคับใคร คนก็มีความสุขกับโครงสร้างแบบนี้
ตอนที่ Dee Hock ประสบความสำเร็จอย่างสูง เขาลาออกไปทำไร่ ถ้าคิดเชิงเหตุผลเขาไม่ควรออก แต่เสียงจากด้านในบอกเขาให้ทำอย่างนั้น และตอนนั้นมีคนไปหาเขาอยากจารึกชื่อ เขาไว้ในฮอลล์ แต่เขาไม่อยากไป และมีคนชวนเขียนหนังสือ จนมีหนังสือ Birth of the Chaordic Age เป็นหนังสือที่ดีมาก เล่าเรื่องได้สนุก
ทำไมเรื่องแบบนี้ไม่เกิดในสังคมคนรวยหรือผู้มีอำนาจในบ้านเรา
สร้างพระเจดีย์ ต้องสร้างจากฐาน โครงสร้างข้างบนทำได้ยาก เพราะอยู่ในอำนาจ ถ้าทำจากข้างบนลงล่างคงไม่สำเร็จ เพราะพวกนี้มีปัญหาในตัวเอง แต่คนในชุมชนอยู่กับความจริงของชีวิตจะแก้ไขได้ง่ายกว่า โครงสร้างเดิมของสังคมเวลาจะปรับเปลี่ยนเรื่องใดจะเริ่มจากด้านบน ไม่ว่าเรื่องเศรษฐกิจ การศึกษา ประชาธิปไตย พยายามปรับเปลี่ยนมานานกว่า 80 ปี ไม่สำเร็จและจะฆ่ากันตายเพราะไม่มีฐาน ผมคิดว่าฐานก็คือชุมชนท้องถิ่น เราชวนคนที่อยู่โครงการด้านบนมาเชื่อมโยงตรงนี้ ถ้าให้พูดแบบไม่ไพเราะ ก็คือ กระชับพื้นที่จากข้างล่างขึ้นบน
ถ้าใช้แนวคิดแบบนี้เปลี่ยนแปลงสังคม จะต้องใช้เวลานานแค่ไหน
ตอนนี้มีเครือข่ายเยอะ ผู้นำชุมชนท้องถิ่นบางคนเก่งกว่ารัฐมนตรี แม้โครงสร้างใหญ่จะไม่สนใจ คนพวกนี้ แต่ในอนาคตพวกเขาจะเห็น ผมเขียน "ร่างข้อเสนอปฏิรูปประเทศไทย" ออกมาแจกเมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 ธ.ค. เพื่อใช้ปรึกษาหารือกัน ผมเขียนเองทั้งหมด ถ้ารอคณะ คงยังตกลงไม่ได้ มีอยู่ข้อความหนึ่งผมเขียนไม่ค่อยสุภาพว่า "มีผู้กล่าวว่า การเมืองแม่งมันจะเป็นอย่างไรก็ตาม ถ้าสังคมเข้มแข็งประเทศชาติก็จะไปรอด"
ถ้าจะปฏิรูปประเทศ อย่างต่ำต้องใช้เวลา 20 ปี ในช่วง 3 ปีแรกเป็นแค่การสร้างความเข้าใจกระบวนการ เรื่องปฏิรูปชุมชนท้องถิ่นตื่นตัวเยอะ เพราะเราทำงานท้องถิ่นทั่วประเทศ ชุมชนกว่า 80,000 หมู่บ้าน ที่ขอนแก่นผมเจอคนเสื้อแดงคนหนึ่ง บอกว่า พอได้ทำงานพื้นที่ เสื้อสีอะไรก็ไม่มีแล้ว เพราะต้องทำงานร่วมกัน ผมไม่สนใจว่าใครจะเสื้อสีใด เราเป็นเพื่อนคนไทยเหมือนกัน หลังจากนี้เราก็จะจัดเวทีไทยสามัคคีปฏิรูปประเทศไทย เอาทุกฝ่ายมาร่วมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม
ปัญหาใดที่คุณหมอหนักใจมากที่สุด
ผมไม่หนักใจ เราเข้าใจปัญหา เพราะผมเป็นนักวิทยาศาสตร์ ถ้าเราจับความรู้ได้และวิธีการ ถูกต้อง ก็จะเติบโตไปเรื่อยๆ ประชาชนเป็นผู้ปฏิรูป ไม่ใช่นายอานันท์ ปันยารชุน หรือนายประเวศ วะสี และในที่สุดประชาชนจะชนะเสมอ นี่คือหลักสากล แต่ชนะในที่นี้ไม่ได้หมายความว่ามีผู้แพ้ ประชาชนต้องร่วมคิดร่วมทำ แล้วติดอาวุธทางปัญญา ข้อสำคัญต้องใช้สันติวิธี และต้องมีการสื่อสารถึงกัน เพื่อให้มีพลังขับเคลื่อนสังคม
ถ้าไม่ทำตรงนี้ ความบีบคั้นจะมีมากขึ้น ประชาชนจะติดอาวุธด้วยอาวุธและเกิดมิคสัญญี แต่วิธีการปฏิรูปแบบนี้ทำให้เกิดพลัง อำนาจที่สาม เพราะพลังอำนาจรัฐและอำนาจเงิน ทั้งสองพลังมีอยู่ทุกสังคม และใช้ได้กับปัญหาง่ายๆ ตรงไปตรงมา แต่ปัญหายากและซับซ้อน พลังอำนาจทั้งสองแก้ไม่ได้ ต้องใช้พลังที่สามคือ พลังสังคม ผมพูดเรื่องนี้มาสิบปีแล้ว ไม่ติดตลาด แต่คราวนี้วิกฤติเร่ง ต้องรีบปฏิรูป แต่ผมไม่ได้หมายความว่า ต้องทำลายอำนาจรัฐหรืออำนาจเงิน ต้องสมดุลกัน ถ้าใช้ยุทธศาสตร์พลังทางสังคม เรื่องนี้เกิดแน่ ถ้าสังคมยังไม่เข้มแข็งแม้จะปรับเปลี่ยนรัฐธรรมนูญให้ดีอย่างไรก็เอาไม่อยู่ จะถูกทำลาย ผมถึงไม่สนใจเรื่องรัฐธรรมนูญ แต่มาทำเรื่องสังคมเข้มแข็ง
เท่าที่ผ่านมา สันติวิธีใช้ไม่ค่อยได้ผลในสังคมไทย ?
ถ้าบอกว่า สันติวิธีใช้ไม่ได้ นั่นเป็นการมองด้านลบ ประเทศอื่นมีปัญหารุนแรงกว่าไทย ยังแก้ปัญหาได้ ต้องมองระดับโลก ไม่อย่างนั้นเราจะคิดเอง ไม่ได้คิดตามความเป็นจริง และพวกนักเขียน นักพูด นักคิด มักจะอยู่ตรงนี้ ลอยตัวจากความเป็นจริง
นั่นเป็นจุดที่คุณหมอต้องฝึกฝนตัวเองตั้งแต่หนุ่ม เพื่อไม่ให้หลงไปกับพลังด้านลบ ?
ผมเรียนด้านวิทยาศาสตร์มามากมาย แล้วกลับมาทำงาน เจอคนไข้ทั้งจนและลำบาก ผมอยากช่วยพวกเขา อาศัยว่า ผมฝึกกรรมฐานวิปัสสนาตามแนวทางพุทธตั้งแต่หนุ่ม ทั้งสายท่านอาจารย์พุทธทาสและสายวัดป่า ตอนหนุ่มๆ ยังมีความโกรธเยอะ สิ่งเหล่านี้เป็นตัวรบกวนความสุข เมื่อผมฝึกภาวนา อารมณ์ด้านลบก็หายไปจากชีวิตผม ดีจริงๆ เป็นบุญนะ
เคยรู้สึกเบื่อหน่ายผู้คนและหงุดหงิดกับปัญหาสังคมไทยบ้างไหม
ไม่เกิดแบบนั้นแล้ว มันเป็นเช่นนั้นเอง มันมีเหตุปัจจัยให้เป็นอย่างนั้น แต่ผู้คนอยากให้มันเป็นอย่างอื่น แล้วไปโกรธ เกลียด เราต้องตั้งคำถามว่า จากสถานการณ์ปัจจุบัน วิธีการที่ดีเพื่อเดินต่อไปข้างหน้าจะทำอย่างไร ผมคิดว่าคนทั้งโลกจะเจอปัญหาแบบนี้ และแรงจูงใจใหญ่ที่สุดที่มนุษย์ต้องการคือ ความสุข ต่อไปคนจะค้นพบว่า เมื่อเจริญสติเพื่อหยุดคิด รู้ในปัจจุบัน จะเจอความสุขที่ไม่เคยเจอมาก่อน
ในที่สุดจะเจริญสติกันทั้งโลก ผมเชื่ออย่างนั้น ตอนนี้กระแสใหญ่ที่มาแรงคือ จิตสำนึกใหม่ ในอเมริกา ถ้าที่ไหนไม่มีศูนย์กรรมฐานหรือสมาธิจะเชยมาก ที่มหาวิทยาลัยแมสซาชูเซตส์ มีดอกเตอร์คนหนึ่งสอนการเจริญสติแบบพุทธ มีคนมาลงทะเบียน 87,000 คน เพราะพวกเขาพบว่า เจริญสติแล้วทุกอย่างดีขึ้น ตอนนี้หนังสือที่ขายดีที่สุดโลกคือ หนังสือกลุ่มจิตสำนึกใหม่ และการเจริญสติ ทำให้หู ตา จมูก ลิ้น กายและใจ เย็นลง ลดการเสพ และทำให้โลกเย็นลงด้วย
แม้จะปฏิบัติตามแนวพุทธ แต่คุณหมอก็ยังศึกษาหาความรู้ใหม่อยู่เรื่อยๆ ?
ผมอ่านนิตยสาร Time มา 50 ปีแล้ว หนังสือเกี่ยวกับทางวิทยาศาสตร์และ ด้านสมองผมก็อ่าน สนุกดี เพราะชีวิตผมผ่านอะไรมาเยอะ โดนคนว่า คนด่า คนใส่ร้าย ก็อย่าไปโกรธเขา ผมมีความสุขทุกวัน มองต้นไม้ใบหญ้า มด ผู้คน ก็สวยงามไปหมด ผมร่ำรวยความสุข ทุกอย่างเป็นความงาม ทำเรื่องปฏิรูปประเทศไทย มีคนด่าเยอะ แต่ผมไม่โกรธ
บางคนเปลี่ยนตัวเองแบบฉับพลันทันที อย่างนักเขียนชื่อเอ็กฮาร์ท โทลเลอ (Eckhart Tolle )จะฆ่าตัวตายอยู่แล้ว เพราะมีความทุกข์มาก เขาบอกว่า "ฉันไม่สามารถอยู่กับคนนี้ (ตัวเขาเอง)ได้อีกแล้ว" แต่เขาเกิดฉุกคิดได้ว่า "ฉัน" กับ "My self" ทำให้เขาหลุดไปสู่ธรรมชาติ กลายเป็นคนมีความสุข เขาเขียนหนังสือ The Power of Now (พลังแห่งปัจจุบัน) ก็คือ สติ
การฝึกภาวนากรรมฐาน ทำให้คุณหมอมีความจำที่ดี
ไม่รู้ ผมไม่รับคำพูดอันนี้ว่าคุณหมอมีความจำดี ถ้าผมรับก็เหมือนอวดตัว
มีคนบอกว่า คุณหมอไม่มีอำนาจใดๆ ในครอบครัวเลย ?
ในบ้านผม ไม่มีใครกลัวผมเลย สุนัขยังไม่กลัวหรือเกรงใจผม มันจะเกรงใจคนมีอำนาจ ผมมีเรื่องเล่า มีอยู่วันหนึ่งผมชวนลูกไปกินก๋วยเตี๋ยว เขาบอกว่า ตกลงกับพ่อไม่ได้ เพราะพ่อไม่มีอำนาจในบ้าน แม้กระทั่งอีกายังไม่กลัวผม มันมาแกล้ง มาล้อผม มันรู้ว่า ผมไม่มีอำนาจ การไม่มีอำนาจ ทำให้ผมสบาย อย่าไปอยากได้ตำแหน่งอะไร ผมทำอย่างนี้มานาน ใครอยากให้มีตำแหน่งอะไร ผมไม่เอา แต่ตำแหน่งล่าสุดเป็นเรื่องที่ทำอยู่แล้ว เกิดประโยชน์กับประชาชน บางคนก็บอกว่า ไม่ควรไปรับ ถ้าไม่รับก็แยกข้างทันทีว่าไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล เราทำด้วยความเป็นกลาง
คุณหมอมีเวลาสำหรับการภาวนาทุกวัน
ผมปฏิบัติสมาธิทุกวัน อย่างเวลารถติด ผมก็ภาวนาฝึกตัวเอง คนเราต้องบริหารกาย บริหารจิต สองอย่างนี้สำคัญ ส่วนการออกกำลังกาย ผมวิ่งอยู่หลายสิบปี แต่ตอนนี้หัวเข่าไม่ค่อยดี เปลี่ยนเป็นเดิน ห้อยโหน ผมยกตัวขึ้นได้นะ(หัวเราะ) คนส่วนใหญ่ ถ้าไม่เคยออกำลังกายแบบนี้ ยกตัวไม่ขึ้นนะ ผมมีเชือกแขวนราวไม้ไว้ใต้ต้นมะม่วงเพื่อใช้ออกกำลังกาย
บริหารทั้งกายและจิต แล้วมีโรคประจำตัวไหม
ไม่เห็นมีโรคอะไร คืออย่างนี้ ผมไม่เชื่อเรื่องโรค คนมีโรคก็สุขภาพดีได้ ผมพยายามชักนำให้เปลี่ยนนิยามสุขภาพ ใหม่ เมื่อก่อนคนจะบอกว่า การมีโรคคือสุขภาพไม่ดี สุขภาพดีคือการไม่มีโรค คำกล่าวนี้ผมว่าแคบ สุขภาพดีคือดุลยภาพกาย ใจ สังคม ถึงมีโรค สุขภาพก็ดีได้ คนเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ถ้าดูแลให้ร่างกายสมดุลก็สบายได้ แม้ไม่มีโรคอาจมีสุขภาพไม่ดีก็เป็นได้ เพราะเสียสมดุล
ขอขอบคุณบทความจาก กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์