แก้บน – วินทร์ เลียววาริณ

คนต่างชาติเคยบอกผมว่า เมืองไทยอาจไม่มีหลายสิ่งหลายอย่าง แต่สิ่งหนึ่งที่บ้านเราไม่เคยขาดเลยก็คือสีสัน! มีเรื่องแปลกๆ ให้พบเห็นแทบทุกวัน เป็นสีสันแห่งชีวิตที่ไม่เคยหรือไม่ค่อยเห็นที่ไหนในโลก (ดีหรือไม่ดีเป็นอีกเรื่องหนึ่ง) ยกตัวอย่างเช่น
– การใช้กระดาษชำระของส้วมเป็นกระดาษเช็ดปากในร้านอาหาร
– การใส่น้ำแข็งในเบียร์
– ตำรวจจราจรเต้นรำกลางถนน
– ผู้หญิงซ้อนท้ายจักรยานยนต์แบบนั่งหันหน้าออกข้าง
– คนขี่จักรยานยนต์รับจ้างต้องสวมหมวกนิรภัย ผู้โดยสารไม่ต้องสวม
– เด็กนักเรียนยกพวกตีกัน
– คนเมายาบ้าเอามีดจี้เมีย
– แข่ง ‘ฟอร์มูลา วัน’ กันบนถนนกลางเมือง
– ป้ายห้ามปัสสาวะตามรั้วบ้าน
– หุ่นตำรวจตามถนน
– รูปตัวการ์ตูนโดเรมอนและโนบิตะในจิตรกรรมฝาผนังของวัดแห่งหนึ่งในสุพรรณบุรี
– รูปปั้นนักฟุตบอล เดวิด เบ็คแคม แบกฐานพระประธาน ที่วัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ
– ชาวบ้านกราบไหว้ตะกวด ต้นไม้ ฯลฯ เพื่อขอเลข
– สาวนุ่งน้อยห่มน้อยในงานมอเตอร์โชว์
– สาวนุ่งน้อยห่มน้อยเต้นโคโยตีในงานวัด
– พระเต้นโคโยตีในวัด
– สาวประเภทสองไปเกณฑ์ทหาร
– การแก้บน
– การแก้บน…
สองบรรทัดหลังไม่ได้พิมพ์คำซ้ำ การแก้บนอย่างแรกคือหญิงสาวเปลื้องผ้าท่อนบนทำกิจกรรมในที่สาธารณะ เช่น เด็กสาวเปลือยอกเต้นในวันสงกรานต์ ฯลฯ ส่วนแก้บนอย่างที่สองคือการรักษาสัญญาที่ทำไว้กับเทวดาทั้งหลาย รูปแบบการแก้บนของเราเป็นสีสันที่คนต่างชาติไม่เคยเห็น
การบนบานศาลกล่าวอาจจัดเป็น ‘ประเพณี’ อย่างไม่เป็นทางการของไทย หลักการของมันคืิอข้อตกลงกับเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทานสิ่งที่ตนต้องการให้ แลกกับการตอบแทนด้วยสิ่งของ เครื่องเซ่น หรือการแสดง
สิ่งที่มนุษย์ต้องการจากเทวดาก็เช่น ขอให้สอบติดเอนทรานซ์หรือสอบเข้ารับราชการ, ขอให้จับได้ใบดำในการเกณฑ์ทหาร, ขอให้ตกลงธุรกิจสำเร็จ ไปจนถึงขอให้เลิกกับเมียสำเร็จ ฯลฯ
แน่ละ ร้อยละร้อย ผู้บนบานเป็นคนกำหนดเองว่าจะให้อะไรตอบแทนแก่เทวดา การตอบแทนนี้เรียกว่า แก้บน
การแก้บนมีหลายระดับความยากง่าย ที่ง่ายหน่อยก็คือการถวายข้าวของเครื่องเซ่น เช่น ถวายไข่พันลูก, รำแก้บน, ฉายหนัง เล่นละคร โขนให้เทวดาดู บ่อยครั้งก็จ้างมืออาชีพมารำหรือเล่นละคร มีคณะละครหลายคณะรับจ้างนาฏศิลป์แบบต่างๆ ตั้งแต่รำแบบธรรมดาไปจนถึงวงปี่พาทย์บรรเลง ไทย มอญ โขน ลิเก ละครชาตรี พร้อมแสงสีเสียงครบชุด ฯลฯ ไปจนถึงบริการให้เช่าชุดละคร สำหรับคนที่สัญญากับเทวดาว่าจะรำเอง
สำหรับการแก้บนที่ยุ่งหน่อยก็เช่น วิ่งจากเชียงใหม่มายังกรุงเทพฯ, แก้ผ้ารำ, แก้ผ้าวิ่ง, เต้นโคโยตี ฯลฯ และอีกสารพัดข้อเสนอประหลาดๆ ให้เทวดา
อืม! ติดสินบนเทวดาง่ายจังเลย!
ฝรั่งเรียกปาฏิหาริย์ที่เกิดจากอำนาจศักดิ์สิทธิ์เข้ามาแทรกแซงกิจการของมนุษย์ว่า divine intervention ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นเพราะการบนบานของมนุษย์ บางครั้งอำนาจเบื้องบนก็ลงมาเล่นเอง
ชีวิตเราถูกเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์กำหนดหรือไม่ ยังไม่มีข้อพิสูจน์ทั้งในข้อที่ว่าเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเราได้จริงหรือ และเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงหรือไม่ แต่เพียงแค่สามัญสำนึกก็ทำให้เราต้องตั้งคำถามหลายข้อ เช่น
1 เทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประเภทไหนกันที่ทำเรื่องเช่นนี้?
สมถวิลกับสมถวัลย์ไปสอบแข่งขันเข้าเรียนในคณะวิชาหนึ่ง สมถวิลเรียนไม่เก่ง จึงบนบานกับเทวดาว่า ถ้าสอบเข้าได้ จะวิ่งจากคลองเตยไปดอนเมือง ส่วนสมถวัลย์ไม่บนบานอะไร ปรากฏว่าสมถวิลสอบได้ หากเทวดาช่วยมนุษย์อย่างสมถวิลจริง ก็แสดงว่าเทวดารับสินบนเข้าข้างคนขี้เกียจ อีกทั้งไม่ใช่เทวดาที่รักความยุติธรรมนัก ซึ่งไม่น่าจะเป็นคุณสมบัติของ ‘เทวดา’
ถ้าเทวดาชอบอาหารหรือความบันเทิงที่มนุษย์ส่งมาให้ ‘กิน’ หรือ ‘ชม’ ก็แสดงว่ายังเป็นเทวดาที่ยึดติดกับกิเลสและยังมีความงมงายอยู่ ก็ไม่น่าจะได้รับตำแหน่งเทวดาตั้งแต่แรกเช่นกัน!
2 เทวดากระทำเรื่องที่สวนทางกับกติกาบนโลกได้อย่างไร?
หากเด็กหนุ่มทุกคนที่ไปเกณฑ์ทหารบนบานขอให้จับได้ใบดำ ต่อให้เทวดามีฤทธิ์ทำได้จริง จะทำได้อย่างไร ในเมื่อกติกาของการเกณฑ์ทหารคือต้องมีคนได้ใบดำและคนได้ใบแดงตามสัดส่วนที่กำหนดไว้
ผลที่ตามมาคือโลกนี้ก็คงไม่ต้องมีการสอบอีกต่อไป เพราะสอบทุกครั้งก็ผ่านทุกคน แข่งขันทุกครั้ง ก็ชนะกันทุกคน โลกจะไม่มีคนล้มเหลว เพราะทุกคนขอเทวดาได้หมด
3 ทำไมเทวดาทั้งหลายนี้มีรูปลักษณ์และความคิดอ่านคล้ายมนุษย์อย่างยิ่ง เสพอาหารมนุษย์ ดูละครมนุษย์ ฯลฯ
ความคิดความเชื่อว่าเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีรูปลักษณ์อย่างมนุษย์มีมานานตั้งแต่อารยธรรมแรกของมนุษย์ เทพเจ้าและเทพธิดากรีกโบราณที่สถิต ณ เขาโอลิมปัสล้วนมีสรีระหลักอย่างคน เทวดาของไทยก็มีสรีระอย่างมนุษย์ พระเจ้าในคติตะวันตกก็มีรูปลักษณ์อย่างคน (หรือกลับกันคือ ทรงสร้างคนโดยใช้รูปลักษณ์ของพระองค์) ฯลฯ
ก็นำไปสู่คำถามสุดท้ายว่า เป็นไปได้ไหมว่าความเชื่อทั้งหมดนี้เป็นเพียงสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์?
ดูเหมือนคำอธิบายอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่สุดในตอนนี้คือ หาก divine intervention เป็นเรื่องจริง เทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์น่าจะเป็นสิ่งทรงภูมิปัญญาชั้นสูงในจักรวาลที่มีวิทยาการเหนือกว่ามนุษย์มากๆ สามารถปัดเป่าปัญหาของมนุษย์ด้วยวิทยาการขั้นสูง
ถ้าเป็นจริง ก็ยังมีคำถามตามมาอีกมากมาย เช่น พวกเขามายุ่งเกี่ยวกับมนุษย์ทำไม? ทำไมช่วยแต่มนุษย์ ไม่ช่วยสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่ถูกมนุษย์เข่นฆ่ารังแก ซึ่งน่าได้รับความช่วยเหลือมากกว่า?
ข้อเท็จจริงคือเราอยู่ในจักรวาลที่มีดวงดาวมากกว่าจำนวนเม็ดทรายทั้งหมดในโลกรวมกัน และระยะห่างระหว่าง ‘เม็ดทราย’ แต่ละเม็ดไกลมหาศาล โดยหลักความน่าจะเป็น โอกาสที่จะมีสิ่งทรงภูมิปัญญาชั้นสูงเดินทางจากโลกใดโลกหนึ่งมาดูแลเราทุกคนต่ำเหลือเกิน
สิ่งทรงภูมิปัญญาที่เดินทางไกลนานเป็นล้านๆ ปีเพื่อมาดูแลทุกข์สุขของมนุษย์แลกกับการดูรำแก้บน ไม่น่าจะเป็นสิ่งทรงภูมิปัญญาชั้นสูง เพราะดูไม่ค่อยฉลาดนัก! แค่รับจ๊อบปัดเป่าความทุกข์ให้ทุกคนในโลก ก็หมดเวลาทำเรื่องอื่นพอดี มิพักเอ่ยถึงเวลาดูรำแก้บนของทุกรายที่มาบนไว้
นักคิดนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ผู้ล่วงลับ อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก เขียนไว้นานมาแล้วว่า “…หากมีพระเจ้าองค์ใดที่ภารกิจหลักของพวกเขาคือเรื่องมนุษย์ พวกเขาก็ไม่ใช่พระเจ้าที่สำคัญอะไร”
โครงการเซติ (SETI) ตามล่าหาสิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาวมานานหลายสิบปีแล้ว ยังไม่พบสิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาวสักรายเดียว หลายคนสรุปว่า ก็เพราะไม่มี ‘มนุษย์ต่างดาว’ ไง ถ้ามีจริง พวกนั้นก็คงมาแล้ว
แต่ อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก ตอบแบบขำๆ ว่า หลักฐานที่ดีที่สุดที่ชี้ว่ามีสิ่งทรงภูมิปัญญาในจักรวาล ก็คือความจริงที่ว่าพวกนั้นไม่ยอมมาหาพวกเราไงโว้ย!
เทวดาฉลาดๆ ที่ไหนเล่าอยากมาเยือนโลกที่ชาวโลกไม่ยอมทำอะไร เป็นแต่แบมือขออย่างเดียว แลกกับการดูโชว์แก้บนซ้ำๆ ซากๆ ทุกวัน
การบนไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร มันเพียงสะท้อนจิตใจที่อ่อนแอของมนุษย์ ความไม่มั่นใจในตัวเอง ความอยากได้แรงหนุนจากคนอื่น เมื่อหาไม่ได้ ก็ต้องใช้ทางลัด ขอจากเทวดาโดยตรง
แต่หากใครก็ตามเลือกใช้ชีวิตแบบ ‘ขอเทวดา’ ก็จะต้องบนและแก้บนไปตลอดชีวิต และต้องระวังว่าเทวดาอาจจะเบื่อดูโชว์ซ้ำๆ ซากๆ ต่อให้แก้บนด้วยการ ‘แก้บน’ ก็ตามที!
สาระของการบนก็ไม่ต่างจากการชุบตัวในแม่น้ำคงคา, การประกอบพิธีแก้กรรม, การสะเดาะเคราะห์, การล้างความซวย หรือการต่ออายุ ทำเพื่อให้ตนเองรอดพ้นจากภัยร้าย เหล่านี้เป็นวิถีทางที่พระพุทธองค์ทรงปฏิเสธมาตลอด
หลักของพระพุทธองค์ง่ายมากและแน่นอนกว่า นั่นคือใช้ปัญญานำทาง เมื่อเราเข้าใจว่าผลมาจากเหตุ ก็สามารถแก้ปัญหาได้โดยตรงที่ต้นเหตุ ไม่ต้องรบกวนเทวดา
ไม่อยากสอบตก ก็ตั้งใจเรียนหน่อย อยากสอบเข้าสถาบันดีๆ ได้ ก็ศึกษาหนักหน่อย จุดใดที่ไม่รู้ก็หาครูช่วย แน่นอนกว่าพกเครื่องมือทุจริตเข้าห้องสอบ
เราอยู่โดดเดี่ยวในมุมเล็กๆ ของชานเมืองของทางช้างเผือก ไม่มีเทวดาหรือสิ่งทรงภูมิปัญญาที่ไหนสนใจช่วยเหลือเรา เราต้องพึ่งตัวเอง เช่นเดียวกับสัตว์พืชทุกชีวิตในโลก ต้องออกแรงดูแลตัวเอง
ใช้ปัญญาแก้ปัญหาอาจเหนื่อยหน่อย แต่ชัวร์กว่ารอการแก้(ไขจากเบื้อง)บนแน่ๆ และนี่ก็คือความศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง
วินทร์ เลียววาริณ
www.winbookclub.com
23 มิถุนายน 2555
คมคำคนคม
I don’t believe in astrology; I’m a Sagittarius and we’re skeptical.
ผมไม่เชื่อโหราศาสตร์ ผมเป็นชาวราศีธนู และชาวราศีนี้ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ
Arthur C. Clarke