Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

เอลฟรีเด เยลิเนก นักเขียนรางวัลโนเบล ๒๐๐๔

 

 
          ในที่สุดนักเขียนหญิงก็ได้กลับมาครองมงกุฎแห่งบรรณพิภพอีกครั้งเมื่อ "เอลฟรีเด เยลิเนก" (Elfriede Jelinek) นักเขียนนิยาย บทละคร และกวีหญิงแห่งออสเตรีย คว้ารางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมประจำปี ๒๕๔๗ ไปครองตามคำตัดสินของราชบัณฑิตยสภาสวีเดน ที่ประกาศตัวผู้ชนะรางวัลอันทรงเกียรตินี้ไป เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒ ของเดือนตุลาคม ตามธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมานับร้อยปี
 
          เยลิเนกเป็นผู้หญิงคนแรกในรอบ ๘ ปีที่ชนะโนเบลวรรณกรรม หลังจากกวีหญิงชาวโปแลนด์ได้รับเกียรตินี้ไปเมื่อปี ๒๕๓๙ นอกจากนี้เธอยังเป็นสตรีคนที่ ๑๐ เท่านั้นที่ได้โนเบลวรรณกรรมนับตั้งแต่มีการแจกรางวัลสาขานี้กันมา ๑๐๓ ปีที่แล้ว
 
          โดยรายนามของนักเขียนหญิงที่เคยเป็นเจ้าของรางวัลนี้ ก่อนหน้า เยลิเนก ประกอบด้วย วิสลาวา ซิมบอร์สกา ชาวโปแลนด์ (๒๕๓๙) โทนี มอร์ริสัน จากสหรัฐ (๒๕๓๖) นาดีน กอร์ดีเมอร์ จากแอฟริกาใต้ (๒๕๓๔) เนลลี แซคส์ จากสวีเดน และ ชามูเอล โยเซฟ แอคนอน จากอิสราเอล (๒๕๐๙) กราเบรียลลา มิสทรัล จากชิลี (๒๔๘๘) เพิร์ล เอส บัค จากสหรัฐ (๒๔๘๑) กราเซีย เดเลดดา จากอิตาลี (๒๔๖๙) และ เซลมา ออตติเลีย โลวิซา ลาเกอร์ลอฟ จากสวีเดน (๒๔๕๒)
 
          เยลิเนกเป็นนักเขียนซึ่งไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษนัก เนื่องจากผลงานของเธอเขียนเป็นภาษาเยอรมัน และได้รับการแปลเป็นภาษาอื่นค่อนข้างน้อย โดยนักเขียนวัย ๕๘ ปีผู้นี้มีนิยายที่ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษอยู่เพียง ๔ เล่มเท่านั้น ได้แก่ The Piano Teacher (๒๕๓๑) Wonderful, Wonderful Times (๒๕๓๓) Lust (๒๕๓๕) และ Women as Lovers (๒๕๓๗) โดยเรื่องที่โดดเด่นที่สุดคือนิยายขายดีเรื่อง Lust และ The Piano Teacher ที่ได้รับการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ระดับรางวัลหนังเมืองคานส์เมื่อ ๓ ปีที่แล้ว
 
          Lust ถ่ายทอดปัญหาการกดขี่ทางเพศ ที่หญิงผู้หนึ่งได้รับจากสามีวัยกลางคน และชู้รักหนุ่มได้อย่างเห็นภาพ จนถูกนักวิจารณ์หัวเก่าของออสเตรียบางคนวิจารณ์ว่า เป็นหนังสือลามก ส่วน The Piano Teacher ซึ่งมีชื่อภาษาเยอรมันว่า Die Klavierspielerin นั้นเป็นเรื่องของครูสอนเปียโน ซึ่งมีพ่อตายในสถานบำบัดคนไข้โรคจิตเช่นเดียวกับตัวเยลิเนก
 
          ผู้กำกับ ไมเคิล ฮาเนเก ซึ่งเป็นชาวออสเตรียเช่นเดียวกับเยลิเนก หยิบเอา The Piano Teacher มาสร้างเป็นหนังในปี ๒๕๔๔ โดยลงมือดัดแปลงบทภาพยนตร์ด้วยตัวเอง และเลือก Isabelle Huppert ดาราหญิงชาวฝรั่งเศสมารับบทครูสอนเปียโน ที่มีความสัมพันธ์ต้องห้ามกับลูกศิษย์หนุ่ม อันเป็นผลให้เธอเครียดจนเกือบจะเป็นบ้า ความดีของตัวบท ผู้กำกับ ตลอดจนดารานำ ส่งผลให้หนังเรื่องนี้คว้ารางวัลแกรนด์ จูรี ไพรซ์ ไปครองในงานเทศกาลหนังเมืองคานส์ ประจำปี ๒๕๔๔
 
 
 
 งานดีแต่ขายไม่ได้
 
          ผลงานทั้งหมดของเยลิเนกที่ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษ อยู่ภายใต้การดูแลของสำนักพิมพ์ Serpent’s Tail สำนักพิมพ์เล็กๆ ในกรุงลอนดอนที่มีความชำนาญเรื่องงานแนวทดลองและงานการเมือง ปีเตอร์ อายร์นอต ผู้บริหาร Serpent’s Tail ได้ให้สัมภาษณ์ในงานมหกรรมหนังสือแฟรงก์เฟิร์ต ที่จัดขึ้นช่วงเดียวกับที่มีการประกาศรางวัลโนเบลพอดีว่า… สาเหตุที่งานของเยลิเนกไม่ค่อยจะได้รับการตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ มีสาเหตุมาจากสำนักพิมพ์ส่วนใหญ่มองว่าไม่น่าจะขายได้
 
          "ผมพยายามให้สำนักพิมพ์สหรัฐหันมาสนใจงานของเธอแล้ว แต่พวกเขาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่างานของเยลิเนกเรียบ และจริงจังเกินไป อีกทั้งยังเป็นนักเขียนประเภทที่พวกเขาคิดแล้วว่าไม่น่าจะขายได้" อายร์นอต เล่าประสบการณ์ที่ได้ไปคุยกับสำนักพิมพ์อเมริกัน ๓-๔ แห่งให้ฟัง
 
          อายร์นอตที่จัดได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในงานของเยลิเนกคนหนึ่ง อธิบายว่า จริงๆ แล้วเยลิเนกเป็นนักเขียนที่สร้างสรรค์มากทั้งในแง่ของรูปแบบการเขียน และเนื้อหาสาระของงาน แต่นิยายของเธอไม่ใช่หนังสือที่ย่อยได้ง่าย แถมยังยอมรับด้วยว่าแม้แต่ใบเบิกทางชั้นดีอย่างรางวัลโนเบล ก็ไม่แน่ว่าจะพลิกให้งานของเธอกลายเป็นหนังสือขายดีขึ้นมาได้ในพริบตา
 
 
 
 ปูมหลังทางศิลปะ-ดนตรี
 
          เอลฟรีเด เยลิเนก เกิดเมื่อวันที่ ๒๐ ต.ค.๒๔๘๙ ในเมือง Murzzuschlag จังหวัด Styria แต่มาเติบโตในกรุงเวียนนา นครหลวงแห่งศิลปะและดนตรี แถมยังโตมาในบ้านที่อุดมไปด้วยวัตถุดิบทางวรรณกรรม บิดาของเธอเป็นนักเคมีลูกครึ่งยิว-เช็ก ที่หนีตายจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ มาได้เพียงเพื่อที่จะมาตายในสถาบันโรคจิต ส่วนแม่ของเธอเป็นชาวคาทอลิกที่มาจากครอบครัวชาวเวียนนาที่ร่ำรวย
 
          เยลิเนกเรียนด้านการละครและประวัติศาสตร์ศิลปะที่มหาวิทยาลัย นอกจากนี้ยังผ่านการสอบออร์แกนที่ เวียนนา คอนเซอร์วาทอรี สถาบันการดนตรีอันเลื่องชื่ออีกด้วย การที่เธอเข้าไปมีส่วนร่วมในขบวนการเคลื่อนไหวของนักศึกษาในช่วงปลายทศวรรษที่ ๖๐ มีอิทธิพลต่อแนวคิดทางการเมืองของเยลิเนก ซึ่งได้ตกผลึกออกมาเป็นนวนิยายเรื่องแรก Wir sind Lockvogel Baby! (We Are Decoys, Baby!) ตีพิมพ์ในปี ๒๕๑๓
 
          เยลิเนกแต่งงานแล้ว และใช้ชีวิตอยู่ในนครเวียนนา และเมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนี เธอเปิดตัวสู่โลกวรรณกรรมเมื่อปี ๒๕๑๐ ด้วยผลงานรวมบทกวีที่ชื่อว่า Lisa's Schatten (Lisa's Shadow) ขณะยังเป็นนักศึกษา ก่อนจะปล่อยนิยายเสียดสีการเมืองเรื่อง Wir sind Lockvogel Baby! ตามออกมาหลังจากนั้นไม่นาน ส่วนบทละครทางวิทยุชิ้นแรกของเธอออกอากาศในปี ๒๕๑๗
 
          ธีมหลักๆ ที่ปรากฏอยู่ในงานเขียนของเยลิเนกคือ ความรุนแรง เซ็กซ์ และการเมือง
 
          นอกจากนี้เธอยังขึ้นชื่อในเรื่องสั่นสะเทือนความรู้สึกของผู้อ่าน ด้วยการบรรยายฉากมีเพศสัมพันธ์ ความเห็นอกเห็นใจ และความขัดแย้งระหว่างหญิงชายอย่างตรงไปตรงมา นักเขียนรางวัลโนเบลคนแรกจากออสเตรียได้พูดถึงการสร้างงานของเธอเอาไว้ว่า
 
          "เวลาที่ลงมือเขียน ฉันมักจะพยายามอยู่ในฟากฝั่งของความอ่อนแอ เพราะฟากฝั่งของความแข็งแกร่งนั้นไม่ใช่ฟากฝั่งของวรรณกรรม"
 
          บทละครเรื่องล่าสุดของเยลิเนกคือ Bambiland ซึ่งเขียนขึ้นเมื่อปีที่แล้ว และเพิ่งได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษในปีนี้เอง มีเนื้อหาวิพากษ์การก่อสงครามอิรักของสหรัฐอย่างรุนแรง ส่วนผลงานภาคต่อจาก Bambiland ที่ชื่อว่า หอคอยบาเบล (Babel) มีกำหนดจะวางตลาดในเดือนพฤษภาคมปีหน้า ซึ่งจะกลายเป็นงานเขียนชิ้นแรกของเธอหลังได้รับรางวัลโนเบล ซึ่งเยลิเนกได้แย้มว่า เนื้อหาของหอคอยบาเบลพูดเรื่องอื้อฉาวที่ทหารอเมริกันทรมาน และกระทำการเหยียดหยามศักดิ์ศรีนักโทษอิรักที่เรือนจำอาบู กราอิบ ชานกรุงแบกแดด แต่ในขณะเดียวกันก็พูดถึงร่างไร้ศีรษะของทหารสหรัฐ ในเมืองฟัลลูจาห์ด้วยเช่นกัน
 
 
 
 ความสามารถที่หลากหลาย
 
          เยลิเนกเป็นนักเขียนที่สร้างสรรค์งานเอาไว้หลากประเภท จนแม้แต่ราชบัณทิตยสภาสวีเดนผู้มอบรางวัลโนเบลให้เธอยังยอมรับว่า รูปแบบงานเขียนของเยลิเนกยากที่จะให้คำจำกัดความ เนื่องจากผลงานของนักเขียนออสเตรียผู้นี้มีทั้งนิยาย บทละครทางวิทยุ บทละครเวที บทภาพยนตร์ บทกวี รวมถึงบทสวด เพลงสวด บทร้องโอเปร่า
 
          เนื้อหาของนิยาย บทละคร และบทกวีที่เยลิเนกเขียน ส่วนใหญ่จะมีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์สังคมอย่างถึงแก่น โดยเฉพาะเรื่องความไม่เท่าเทียมกันระหว่างชนชั้น การกดขี่ทางเพศ โดยจุดเด่นของเธออยู่ที่การถ่ายทอดเนื้อหาอันแสนจะหนักอึ้งเหล่านี้ ออกมาในรูปของร้อยแก้วหรือร้อยกรองที่สละสลวย และแสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในการใช้ภาษาเป็นอย่างยิ่ง
 
          นอกเหนือจากเขียนงานของตัวเองแล้ว เยลิเนกยังแปลงานของนักเขียนอื่นๆ เป็นภาษาเยอรมันด้วย อาทิ โทมัส พินชอน นักเขียนนิยายอเมริกัน และ คริสโตเฟอร์ มาร์โลว์ นักเขียนบทละครผู้ยิ่งใหญ่ชาวอังกฤษ
 
 
 
 สันโดษแต่ไม่แปลกแยก
 
          เยลิเนกให้สัมภาษณ์ว่าจะไม่เข้าร่วมพิธีแจกรางวัลที่จัดขึ้น ณ กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ในวันที่ ๑๐ ธันวาคม เพราะเธอเป็นโรคกลัวการเข้าสังคม ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยมีนักเขียนอยู่หลายคนเหมือนกันที่ไม่เข้ารับรางวัลโนเบล อาทิ เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์ นักเขียนใหญ่ชาวอเมริกันที่มาร่วมงานรับรางวัลในปี ๒๔๙๗ ไม่ได้เพราะได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก หลังจากนั้นอีก ๔ ปีต่อมา บอริส ลีโอนิโดวิช ปาสเตอร์แนก ก็ไม่มาร่วมงานเพราะถูกรัฐบาลโซเวียต บีบทั้งที่ตอนแรกเจ้าตัวตอบรับว่าจะมา นอกจากนั้นก็มี ฌอง ปอล ซาร์ต นักเขียนหัวขบถชาวฝรั่งเศสเจ้าของปรัชญาเอ็กซิสเตนเชียลลิสต์ ที่บอกปัดรางวัลนี้ในปี ๒๕๐๗
 
          อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะเป็นคนที่รักความสันโดษ แต่เยลิเนกไม่ได้ถึงขั้นแปลกแยกจากสังคม อีกทั้งยังไม่ได้ปฏิเสธรางวัลนี้แต่อย่างใด เธอเรียกรางวัลโนเบลว่าเป็นเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยได้รับ แต่ถึงแม้จะยินดีที่ได้รับรางวัล เยลิเนกกลับบอกว่าเธอไม่อาจทนรับความสนใจที่โถมเข้ามาหาเธอ ในรูปของเสียงโทรศัพท์และเสียงเคาะประตูบ้านที่ดังไม่หยุด ทันทีที่มีการประกาศผลรางวัลออกไป ซึ่งเธอได้วางแผนเอาไว้แล้วว่าจะหายตัวไปเฉยๆ สักพักหนึ่ง
 
          น่าประหลาดใจอยู่ไม่น้อยเหมือนกันที่อยู่ดีๆ เยลิเนกก็ได้รับรางวัลติดๆ กันโดยไม่คาดฝัน รางวัลโนเบลถือเป็นรางวัลด้านวรรณกรรมรางวัลที่ ๕ แล้วที่เยลิเนกได้รับในปีนี้ หนึ่งในนั้นคือรางวัล Stig Dagerman Prize ที่ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่นักเขียนนิยายชาวสวีเดน ผู้ชนะรางวัลโนเบลวรรณกรรมประจำปี ๒๕๑๗ ร่วมกับนักเขียนอีกคนหนึ่ง
 
          ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวลือว่า คณะกรรมการตัดสินรางวัลต้องการจะให้ผู้หญิงเป็นผู้ชนะในปีนี้ เพราะผู้หญิงห่างหายจากเวทีนี้ไปนานถึง ๘ ปี ซึ่งดูเหมือนว่าเยลิเนกเองก็ติดใจเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน สังเกตได้จากที่เธอให้สัมภาษณ์ว่าคณะกรรมการได้ยืนยันกับเธอว่า เธอได้รับรางวัลเพราะพวกเขาพิจารณาจากคุณค่าของผลงาน ไม่ได้เป็นเพราะเธอเป็นผู้หญิงแต่อย่างใด
 
 
 
 คนดีที่บ้านเกิดเมิน
 
          แม้จะมีชื่อเสียงในระดับนานาชาติอยู่พอสมควร แต่เยลิเนกกลับได้รับการต้อนรับที่ไม่ค่อยจะอบอุ่นนัก จากพวกหัวอนุรักษ์ในบ้านเกิด ซึ่งไม่พอใจการวิพากษณ์วิจารณ์การเมืองอันเผ็ดร้อน ตลอดจนการสนับสนุนการแสดงเสรีภาพทางการเมือง และทางสังคมอย่างออกหน้าออกตาของเธอ โดยในช่วงสองสามปีมานี้ บทละครที่เยลิเนกเขียนถูกโห่ ฮา ปา ขณะแสดงบนเวที บ้างก็ถูกผู้ให้การอุปถัมภ์ถอนตัว ไม่นับเรื่องที่ถูกบรรดาผู้นำทางการเมืองของออสเตรียเมินเฉย ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะการคัดค้านอย่างรุนแรงของเธอ ต่อการเข้าร่วมพรรครัฐบาลของพรรคฟรีดอม เมื่อปี ๒๕๔๓ โดยเยลิเนกได้คัดค้านเรื่องนี้ ด้วยการแนะนำให้สำนักพิมพ์ของเธอไม่อนุญาตให้โรงละครทั่วออสเตรีย นำบทละครที่เธอแต่งไปเล่น ตราบใดที่พรรคการเมืองขวาจัดพรรคนี้ยังอยู่ร่วมรัฐบาล
 
          ในงานเรื่อง Die Kinder der Toten (Children of the Dead) เยลิเนกได้ให้ภาพออสเตรียว่าเป็นอาณาจักรแห่งความตาย แม้ว่าตอนนี้บทละครที่เธอแต่งยังเล่นในออสเตรีย แต่เยลิเนกกล่าวว่าเธอมีความรู้สึกที่ผสมปนเปกันต่อบ้านเกิดซึ่งเธออธิบายว่า "เป็นความรักต่อกรุงเวียนนาและสถานที่อีกสองสามแห่ง แต่ฉันไม่มีความรักประเทศนี้เลย"
 
          เยลิเนก ยอมรับว่า การที่บิดาถูกพวกนาซีตามไล่ล่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นแรงขับดันอย่างหนึ่งที่ส่งอิทธิพลต่องานของเธอ โดยเยลิเนกได้ให้สัมภาษณ์สถานีวิทยุออสเตรียแห่งหนึ่งเอาไว้ว่า "ตลอดทั้งชีวิตฉันอยากจะแก้แค้นให้พ่อมาโดยตลอด" ทั้งยังยอมรับว่าพ่อมีอิทธิพลต่อตัวเธอค่อนข้างสูง… อีกทั้งเธอยังเป็นคนประเภทที่ทนไม่ได้เลยกับการใช้อำนาจเผด็จการ…
 
          และทั้งหมดนั้นคือโลก ชีวิต และผลงานของนักเขียนรางวัลโนเบลคนล่าสุด…เอลฟรีเด เยลิเนก
 
การะเวก : แปลและเรียบเรียง
เรื่องจากปก กรุงเทพธุรกิจ จุดประกาย วรรณกรรม
ปีที่ ๑๖ ฉบับที่ ๕๗๘๔ วันอาทิตย์ที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๗