Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

เสียงบ่นของคนทำหนังสือคนหนึ่ง (2)

 

 
การอ่านจดหมายของเด็กรุ่นใหม่ในรอบหลายปีนี้ให้ความรู้สึกแปลกอย่างหนึ่ง ไม่เพียงแต่เจอคำศัพท์ที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน ยังมีคำสะกดที่ผิดพลาดอย่างไม่น่าเชื่อ เช่น จิงๆ , น้ำป่าว, "คุงเปงรายหรือป่าว" ฯลฯ จนบางครั้งก็แยกไม่ออกว่าเป็นความไม่รู้หรือเป็นความตั้งใจ ครั้นดูวงการวิทยุโทรทัศน์ก็มีผู้ประกาศข่าวและดีเจซึ่งพูดไม่ชัดถ้อยชัดคำ ใช้คำผิดๆ ถูกๆ จนอดคิดไม่ได้ว่ามันอาจเป็นแฟชั่นก็ได้
 
หากเป็นการตั้งใจเขียนผิดก็ไม่ต่างจากคนปกติที่ตั้งใจพูดติดอ่าง หรือคนขาดีแกล้งเดินเป๋ อาจดูแปลก แต่ไม่ใช่แฟชั่นที่น่าชื่นชมแต่ประการใด ตรงกันข้าม การพูดเขียนถูกต้องเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง การใช้ภาษาแม่ไม่ถูกต้องก็เหมือนดูถูกรากเหง้าของตัวเอง ในโลกโลกาภิวัตน์ ภาษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการนำเสนอตัวเองและผลงาน ถ้าละเลยแบบนี้ ลงท้ายก็ไม่เก่งเลยสักภาษาเดียว ภาษาไทยก็แย่ ภาษาอังกฤษก็ใช้การไม่ได้ 
 
สมัยผมเรียนหนังสือชั้นประถมนั้น หากเขียนคำศัพท์ผิดสักคำ จะถูกลงโทษให้เขียนคำนั้นซ้ำสัก 20-100 เที่ยว เพื่อให้มั่นใจว่านักเรียนจะไม่เขียนคำนั้นผิดอีกเลยในชีวิตนี้ ภาษาไทยก็แข็งแรงขึ้นทันตาเห็น
 
นอกจากนี้ การเรียนวิชาภาษาไทยในสมัยก่อนยังมีการสอนให้อ่านเอาเรื่อง คืออ่านให้เข้าใจลึก ที่เรียกว่า 'อ่านให้แตก' การอ่านให้แตกในชั่วโมงวิชาภาษาไทยเป็นประโยชน์ต่อการเรียนวิชาอื่นๆ และในการทำงานชั่วชีวิต
 
ครูหลายท่านบ่นว่านักเรียนในเมืองไทยส่วนใหญ่นอกจากอ่านไม่แตกแล้ว ก็ยังไม่อ่าน กว่าครึ่งชั้นใช้ภาษาไทยในขั้นแย่ 
 
ปัญหานี้เกิดจากอะไร? สื่อมากเกินไป? หนังสือน่าเบื่อ? หนังสือแพงเกินไป? พ่อแม่ไม่อ่านหนังสือ? ครูก็ไม่อ่านหนังสือ? หรือทั้งหมดรวมกัน?
 
คงต้องวิเคราะห์ปัญหาทีละจุด…
 
 
 
สื่อมากเกินไป? น่าจะจริงและโทษเด็กไม่ได้ เรามีตั้งแต่วิทยุ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ มิวสิก วิดีโอ โทรศัพท์มือถือ อินเทอร์เน็ต ฯลฯ เฉพาะอินเทอร์เน็ตก็ยังแยกย่อยออกเป็นอีกหลายช่องทาง มากมายจนไม่แปลกที่มันส่งผลกระทบให้คนอ่านหนังสือน้อยลง
 
พ่อแม่ไม่อ่านหนังสือ – ครูก็ไม่อ่านหนังสือ? อาจจะจริง พ่อแม่หลายคนบ่นว่าเด็กสมัยนี้ติดโทรทัศน์และอ่านแต่การ์ตูน แต่ก็อาจโทษเด็กไม่ได้ เพราะพ่อแม่จำนวนมากไม่อ่านหนังสือจริงๆ จึงไม่เกิดบรรยากาศการอ่านที่บ้าน
 
นักเขียนคนหนึ่งซึ่งเป็นครูด้วยเคยเล่าให้ผมฟังว่า ครูสอนวิชาภาษาไทยในโรงเรียนของเขาไม่มีใครอ่านวรรณกรรมเลยสักคนเดียว อ่านอย่างเดียวคือเรื่องย่อละครโทรทัศน์ในหนังสือพิมพ์
 
หากพ่อแม่กับครูบาอาจารย์ไม่เห็นความสำคัญของการอ่าน ก็คงยากจะเทศน์เด็กให้รักการอ่าน เหมือนการบอกให้เด็กกินผัก แต่ตนเองไม่ยอมกิน นโยบายการรณรงค์ให้คนอ่านหนังสือย่อมไปไม่รอดหากคนรณรงค์ไม่อ่านหนังสือเสีย เอง
 
หนังสือน่าเบื่อ? ก็อาจจะจริง โดยเฉพาะหนังสือตระกูลวรรณกรรม หนังสือแนวปรัชญา และสารคดี ซึ่งไม่อาจจี้ต่อมความสนใจของเด็ก
 
หนังสือแพงเกินไป? ก็อาจจะจริงอีกนั่นแหละ เป็นเหตุผลที่ได้ยินบ่อยที่สุดในบรรดาเหตุผลทั้งหลาย
 
 
 
ประเด็นหนังสือบ้านเราแพงต้องพิเคราะห์ให้ดี เราต้องไม่สับสนระหว่างหนังสือราคาแพงกับหนังสือราคาสูง คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันทีเดียวนัก
 
หนังสือราคาสูงอาจจะไม่ 'แพง' หนังสือแพงอาจมีราคาไม่สูง หนังสือเล่มละ 20 บาทอาจจะแพงมากก็ได้ หากมันทำให้คนอ่านโง่ลง
 
แต่คำถามที่เราควรตอบให้ได้ก็คือ ราคาหนังสือในบ้านเราแพงจริงๆ หรือไม่เมื่อเทียบกับทั่วโลก อาจเห็นภาพชัดขึ้นเมื่อลองเปรียบเทียบกับเงินเดือนของเราและของคนในชาติ อื่นๆ
 
หนังสือพ็อคเกตบุ๊คนวนิยายในบ้านเราราคาเล่มละ 150-250 บาท เฉลี่ย 200 บาท พ็อคเกตบุ๊คนวนิยายในอเมริกาปกอ่อนเล่มละประมาณ 10 ดอลลาร์ ในสิงคโปร์ประมาณ 20 ดอลลาร์สิงคโปร์ ที่น่าแปลกใจก็คือ ราคาถึงจะต่างกัน แต่หนังสือหนึ่งเล่มซื้ออาหารได้สามมื้อเท่ากัน (หากกินแบบธรรมดา) ดังนั้นราคาหนังสือในบ้านเราเทียบค่าครองชีพแล้ว ก็ยังไม่ถือว่าสูงจนน่าเกลียดนัก!
 
ตัวแปรที่ทำให้เกิดความแตกต่างของราคากลับอยู่ที่อีกสองสามปัจจัย
 
ปัจจัยแรกคือรายได้ของประชากร ยกตัวอย่างเช่น ครูบ้านเราเงินเดือน 20,000 บาท สมมุติว่าเขาซื้อหนังสือเดือนละเล่ม (200 บาท) ค่าใช้จ่ายสำหรับหนังสือก็เท่ากับ 1/100 หากทำงานเดือนละ 160 ชั่วโมง ก็เท่ากับว่าต้องทำงานมากกว่าชั่วโมงครึ่งจึงจะสามารถซื้อหนังสือได้หนึ่ง เล่ม
 
เงินเดือนครูในอเมริกาประมาณ 3,500 ดอลลาร์ สมมุติว่าเขาซื้อหนังสือเดือนละเล่ม (10 ดอลลาร์) ค่าใช้จ่ายสำหรับหนังสือก็เท่ากับ 1/350 หากทำงานเดือนละ 160 ชั่วโมงเท่ากัน เทียบกับครูไทยแล้ว ครูฝรั่งทำงานไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ซื้อหนังสือได้หนึ่งเล่ม
 
อีกปัจจัยหนึ่งก็คือยอดพิมพ์หนังสือ
 
ราคาของหนังสือยังเป็นผลมาจากจำนวนคนอ่านด้วย นั่นคือหากผู้อ่านซื้อหนังสือมากขึ้น ยอดผลิตจะสูงขึ้น ราคาทุนก็ต่ำลงโดยอัตโนมัติ
 
แต่คนอ่านย่อมซื้อหนังสือน้อยเล่มลง หากราคาหนังสือยัง 'สูง' อยู่ในสายตาของพวกเขา
 
อีกปัจจัยหนึ่งที่กระทบต่อราคาก็คือยอดพิมพ์กับกรรมวิธีการผลิต
 
หนังสือภาษาอังกฤษระดับคุณภาพสามารถขายไปในราคา 10 ดอลลาร์ได้ ทั้งที่ต้นทุนการผลิตสูงกว่าเราบ้านเรา ก็เพราะปริมาณการพิมพ์สูงกว่าหนังสือราคา 200 บาทของบ้านเรา นั่นคือ ยอดพิมพ์ยิ่งสูง ราคาต่อหน่วยยิ่งลดลง
 
ราคาสูงก็ยังเป็นผลมาจากการที่คนทำหนังสือผลิตงานที่ทำให้ต้นทุนสูงเกินจำ เป็น เช่นพิมพ์ออฟเซ็ตสี่สีในส่วนที่พิมพ์สีเดียวได้ ตัวหนังสือใหญ่เกินไป ช่องไฟกว้าง ทำให้จำนวนหน้ากระดาษเพิ่มขึ้นเกินจำเป็น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตและราคาหนังสือสูงเกินเหตุ 
 
 
 
นอกจากปัญหาเด็กไม่อ่านหนังสือดังกล่าวมาแล้ว ยังมีอีกหลายปัญหาที่อาจสำคัญกว่าเรื่องราคา เช่น ความหลากหลายของหนังสือ คุณภาพของนักเขียนและหนังสือ 
 
ดูจากตัวเลขการตลาด ตลาดหนังสือบ้านเราขยายตัวทุกปี ทุกๆ วันมีหนังสือใหม่เข้าสู่ตลาดไม่ต่ำกว่าสามสิบปก จำนวนช่องทางการจำหน่ายหนังสือขยายตัวต่อเนื่อง เป็นหลักฐานว่าบ้านเราไม่ขาดทั้งหนังสือและคนอ่าน
 
แต่เมื่อสำรวจตลาดหนังสือ กลับพบว่าเรามีหนังสือประเภท Me too!* มากมาย (* Me too! (ฉันด้วย!) เป็นศัพท์การตลาด หมายถึงการทำธุรกิจแบบตามน้ำ เห็นใครทำอะไรประสบผลสำเร็จ ก็เฮกันไปทำ) จำนวนหนังสือนิยายแปล 'เบสท์เซลเลอร์' จากต่างประเทศและนิยายรักวัยรุ่น หนังสือเกี่ยวกับโชคลาง ซึ่งทะลักเข้ามาในร้านหนังสือช่วงหลายปีนี้บอกเราว่า ความหลากหลายของหนังสือในบ้านเราต่ำจนน่าใจหาย
 
เมื่อนั่งยานเวลาย้อนกลับไปเมื่อสามสิบปีก่อน ความหลากหลายของหนังสือกลับดูมากกว่าปัจจุบัน มิพักเอ่ยถึงยอดพิมพ์วรรณกรรมซึ่งสูงกว่าปัจจุบัน ทั้งที่จำนวนประชากรไทยน้อยกว่า!
 
ครูคนหนึ่งเล่าว่าเธอพยายามแนะนำให้เด็กอ่านหนังสือวรรณกรรม แต่เด็กนักเรียนย้อนถามครูว่า อ่านวรรณกรรมไปทำไม มันช่วยทำให้ชีวิตเราดีขึ้นอย่างไร เป็นผลให้ครูอึ้งไปนานเพราะตอบไม่ได้
 
ผมเคยมีโอกาสแลกเปลี่ยนความเห็นกับเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย ท่านเล่าว่าเด็กฝรั่งเศสอ่านวรรณกรรมแต่เล็ก ไม่ใช่นิทานเรื่องอ่านเล่น แต่เป็นวรรณกรรมของผู้ใหญ่ อ่านกันเป็นเรื่องเป็นราว ท่านทูตบอกว่างงที่เด็กบ้านเราไม่อ่านวรรณกรรมกัน ผมกระซิบบอกว่าอ่านครับ อ่านแต่เล่มที่ได้รางวัลซีไรต์ปีละเล่ม
 
ความไม่หลากหลายของหนังสือเกิดมาจากหลายสาเหตุ หลักๆ น่าจะมาจากคำว่า 'การตลาด'
 
ข้อเท็จจริงคือ ไม่ใช่นายทุนทุกรายทำธุรกิจนี้เพราะใจรักหนังสือ แต่เพราะมองว่ามันเป็นธุรกิจอย่างหนึ่ง เช่นที่หลายคนเปิดโรงพยาบาลไม่ใช่เพราะอยากช่วยชีวิตมนุษย์ แต่เพื่อกำไร เมื่อโจทย์ทางธุรกิจคือ 'กำไร' ไม่ใช่ 'หนังสือดี' (หรือกำไรมาก่อนหนังสือดี) ก็ย่อมผลิตสินค้าที่ขายได้ พูดสั้นๆ คือ หนังสือดีคือหนังสือที่ทำกำไรสูง แต่หากมันบังเอิญทำทั้งกำไรและคุณค่าทางความคิด ก็ถือว่าเป็นผลพลอยได้
 
แน่ละ จะโทษนายทุนไม่ได้เพราะเท่ากับการโทษระบบทุนนิยมทั้งระบบ ไม่มีใครอยากพิมพ์งานเพื่อใช้พับถุงขายกล้วยปิ้ง
 
ตัวอย่างที่เห็นชัดก็คือหนังสือในหมวดวรรณกรรม ตอนนี้ยอดพิมพ์หนังสือวรรณกรรมประเภทเรื่องสั้นและนวนิยาย (ยังคง) อยู่ที่ 2,000-3,000 เล่ม หากเทียบสัดส่วนสามพันเล่มต่อประชากรทั่วประเทศหกสิบสามล้านคน ก็เท่ากับหนังสือวรรณกรรมหนึ่งเล่มต่อสามหมื่นคน! ต่ำจนน่าร้องไห้!
 
หากคิดว่าตัวเลขนี้ต่ำ ลองดูหนังสือบทกวีบ้าง หนังสือรวมบทกวีส่วนใหญ่มียอดพิมพ์ที่ราว 500-2,000 เล่ม แต่ยอดจำหน่ายจริงอาจต่ำกว่านี้มาก ขายกันนานหลายปี หากท่านมหากวีสุนทรภู่ได้ยิน คงเป็นลมตายแน่
 
อย่างไรก็ตาม ปีละครั้งหนังสือวรรณกรรมบางเล่มในบ้านเราจะได้รับอานิสงส์จากรางวัล วรรณกรรมอย่างเช่น ซีไรต์ ช่วยกระตุ้นยอดขายได้ราวติดจรวด บางเล่มก่อนได้รับรางวัลขายได้ไม่กี่ร้อยเล่ม หลังรับรางวัลยอดขายกระโดดพรวดขึ้นเป็นหลักแสน แต่ล็อตเตอรีวรรณกรรมนี้เกิดขึ้นเพียงปีละครั้ง ครั้งละเล่ม
 
ที่น่าขันขื่นก็คือ บ่อยครั้งหนังสือที่ 'โดน' ทำตัวเลขสูงกว่าหนังสือตราซี,,000,000,000ไรต์หลายเท่า ผู้ประกอบการคนหนึ่งบอกผมว่า หนังสือนิยายรักบางเล่มของเขาพิมพ์เป็นหลักแสนเล่ม รวยแบบเงียบๆ แล้วดังนี้จะมีสักกี่สำนักพิมพ์อยากตีพิมพ์งานประเภท 'หนึ่งเล่มต่อสามหมื่นคน' เล่า?
 
Me too! อาจไม่จัดว่าเป็นปัญหา หนังสือซ้ำซากก็อาจไม่ใช่หนังสือเลว แต่ที่อันตรายอย่างยิ่งคือ Me too! ที่ส่งเสริมให้เชื่อแบบผิดๆ หนังสือประเภทนี้ล้นทะลักทั่วตลาด
 
ถ้ามองมุมนี้ บางทีการที่เด็กไม่อ่านหนังสือก็ดีเหมือนกัน!
 
คนรุ่นก่อนได้รับการอบรมสั่งสอนให้ถือว่าหนังสือเป็นของสูง การกราบหนังสือก่อนและหลังอ่านเป็นภาพปกติในสมัยนั้น เจตนารมณ์คือการเคารพหนังสือที่ประเทืองปัญญา แต่เจตนารมณ์นี้เพี้ยนไปเป็นภาพที่ว่า หนังสือทุกเล่มในโลกเป็นหนังสือดีและนักเขียนมีความรู้มากกว่าคนธรรมดา
 
ว่าก็ว่าเถอะ เราจะโทษคนอ่านอย่างเดียวได้อย่างไร ในเมื่อเราไม่เคยพัฒนาคุณภาพของนักอ่านให้อ่านอย่างหลากหลายมาตั้งแต่เด็ก ด้วยเหตุนี้นักอ่านจึงนิยมซื้อหนังสือตามกระแส รางวัลวรรณกรรมและจำนวนครั้งที่พิมพ์ก็เป็นปัจจัยหนึ่งในการตัดสินใจซื้อ หนังสือเล่มหนึ่ง หนังสือเล่มที่พิมพ์ยี่สิบครั้งย่อมขายดีกว่าเล่มที่พิมพ์ครั้งเดียว
 
ต้นฉบับดีๆ จำนวนมากจึงไม่เคยมีโอกาสเกิด ส่งผลให้นักเขียนจำนวนหนึ่งต้องดิ้นรนตีพิมพ์งานเอง 
 
(อ่านตอนจบสัปดาห์หน้า) 
 
 
 
วินทร์ เลียววาริณ
 
www.winbookclub.com
 
17 ตุลาคม 2552 
 
 
คมคำคนคม 
 
Be careful about reading health books. You may die of a misprint. 
 
ระวังเวลาอ่านหนังสือเกี่ยวกับสุขภาพ คุณอาจตายได้เพราะคำพิมพ์ผิด 
 
Mark Twain 
(1835 – 1910)