“เศรษฐศาสตร์กับนิยายรักทุนนิยม”

ในช่วงถาม-ตอบท้ายรายการสนทนาสาธารณะกับไมเคิล มอร์ นักสร้างหนังสารคดีเปิดโปงท้าทาย ต่อต้านรัฐรวบอำนาจและทุนผูกขาดอเมริกันชื่อกระฉ่อนโลกเกี่ยวกับผลงานเรื่องล่าสุดของเขา Capitalism: A Love Story ที่กำหนดออกฉายในอเมริกาต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งจัดโดย The Commonwealth Club ณ นคร ซานฟรานซิสโก มลรัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อ 17 ก.ย. ศกนี้นั้น
ผู้ฟังคนหนึ่งได้ลุกขึ้นกล่าวกับมอร์ว่า: –
"ผมเป็นนักเศรษฐศาสตร์และในนามของวิชาเศรษฐศาสตร์ ผมใคร่จะขออภัย (คนฟังหัวร่อครืน) อย่างที่สองที่ผมอยากทำคือผมจะขอให้นักศึกษาของผมทั้งหมด-ผมสอนนักศึกษาเศรษฐศาสตร์นะครับ-ให้พวกเขาไปดูหนังของคุณ เพราะผมคิดว่าเขาจะเรียนรู้เศรษฐศาสตร์จากหนังเรื่องนี้ได้มากกว่าที่ผมจะมีปัญญาสอนเสียอีก ผมคิดว่าสาส์นที่คุณต้องการสื่อและสิ่งที่ผมเชื่อเช่นกันก็คือจะต้องเปลี่ยนการแข่งขันไปเป็นการร่วมมือกัน เปลี่ยนความเห็นแก่ตัวและความโลภไปเป็นความห่วงใยอาทรผู้อื่น….."
ผมฟัง (ทางอินเตอร์เน็ต) แล้วก็เคลิ้มๆ ว่าน่าจะได้ฟังอย่างนี้บ้างในเมืองไทยแต่…แหะๆ… Fat chance! ป่วยการเปล่า อย่าฝันลมๆ แล้งๆ ไปเลยดีกว่า
อันที่จริงโอกาสเหมาะที่สุดที่นักเศรษฐศาสตร์ไทยน่าจะได้พูดอะไรทำนองนี้เป็นเมื่อ 12 ปีก่อนตอนเกิดวิกฤตค่าเงินบาทและเศรษฐกิจตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2540
ถ้ายังจำกันได้เศรษฐกิจไทย (GDP) ติดลบกว่า 10% ในปี 2541, บริษัทห้างร้านล้มละลายหลายพันแห่ง, บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ถูกเพิกถอนการจดทะเบียนและกลุ่มธุรกิจใหญ่ล่มสลายไปประมาณ 1 ใน 4 ของทั้งหมด, ธนาคารพาณิชย์ 2 ใน 3 มีอันล่มจมปิดกิจการ ถูกควบรวมหรือเปลี่ยนมือ, คนตกงานเป็นล้าน, คนจนเพิ่มขึ้นอีก 3 ล้าน, รัฐบาลต้องกู้เงินตราต่างประเทศฉุกเฉินจากไอเอ็มเอฟภายใต้การกำกับชี้นำของรัฐบาลและกลุ่มทุนการเงินอเมริกัน พร้อมยอมรับเงื่อนไขจำกัดบีบคั้นเข้มงวดกวดขันแสนสาหัสทางด้านนโยบายการเงินการคลังและปรับเปลี่ยนเศรษฐกิจไปในทิศทางเสรีนิยมใหม่มากขึ้น เช่น เปิดเสรีอ้ากว้างเพ่อเว่อ, แปรรูปรัฐวิสาหกิจเป็นของเอกชน, ตัดทอนรายจ่ายทางสังคมของภาครัฐ, แก้ไขยกเลิกกฎเกณฑ์กำกับควบคุมเศรษฐกิจที่มีลักษณะเฉพาะของประเทศ แล้วแทนที่ด้วยกฎเกณฑ์สากลที่เกื้อกูลนักลงทุน เป็นต้น
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลเดินแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจสังคมแห่งชาติแบบทุนนิยมที่เติบโต ไม่สมดุล (unbalanced growth),
สร้างอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกแทนที่จะมุ่งตอบสนองตลาดในประเทศ (export-oriented industrialization),
ร่วมกระสวนขบวนพัฒนาแบบห่านบินที่มีญี่ปุ่นเป็นจ่าฝูงสู่ความเป็นนิกส์ (flying-geese pattern of development "NIC – Newly Industrializing Country),
และเปิดเสรีบัญชีทุนตามแนวทางโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจการเงินที่นักเศรษฐศาสตร์และเทคโนแครตไทยชี้แนะสนับสนุนต่อเนื่อง มาตามลำดับร่วม 36 ปีโดยมิไยที่ใครจะทัดทานวิพากษ์วิจารณ์
จนศาสตราจารย์เสน่ห์ จามริก นักรัฐศาสตร์อาวุโสผู้วิเคราะห์วิจารณ์แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมที่ผ่านมาโดยตลอด ถึงแก่บ่นอย่างเหลืออดว่าควรเอานักเศรษฐศาสตร์ไปโยนทิ้งทะเล! (ผมควรบอกด้วยว่าท่านพูดเช่นนี้ก่อนจะไปดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาตินะครับ)
แต่การณ์กลับโอละพ่อ วิกฤตต้มยำกุ้ง พ.ศ.2540 กลับทำให้นักเศรษฐศาสตร์ยิ่งเรืองและเริงอิทธิพลหนักเข้าไปอีก ด้วยสาเหตุที่พอนึกออกบางประการดังต่อไปนี้: –
1) เป้าที่ถูกกล่าวโทษโจมตีว่าเป็นต้นตอตัวการดำเนินนโยบายผิดพลาดจนก่อให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ได้แก่ นักการเมืองจากการเลือกตั้งและเทคโนแครตที่ถูกการเมืองเข้าครอบงำในสถาบันบริหารจัดการเศรษฐกิจมหภาคด้านการเงินการคลังเป็นหลัก
ซึ่งก็เป็นจริงเช่นนั้น ชั่วแต่ว่าต้นเหตุเฉพาะหน้าถูกขยายใหญ่เสียจนบดบังกรอบคิดทฤษฎีและวิถีเส้นทางการพัฒนาที่ผ่านมา อันเป็นเหตุมูลฐานเชิงอุดมการณ์และสถาบันที่เปิดช่องรองรับให้วิกฤตเศรษฐกิจเป็นไปได้ ในเมื่อนักเศรษฐศาสตร์เองเป็นผู้เผยแพร่ผลิตซ้ำสิ่งเหล่านี้ จึงควรมีส่วนรับผิดชอบ
2) คำแก้ต่างที่นักเศรษฐศาสตร์ใช้เบนเป้าและโอนย้ายถ่ายเทคำกล่าวโทษให้พ้นตัวก็คือ วิกฤตเกิดเพราะการเมืองเข้ามาแทรกแซงการบริหารจัดการเศรษฐกิจจนผิดเพี้ยนเบี่ยงเบนไปจากหลักวิชาและความเป็นจริงที่ถูกต้อง นั่นแปลว่าหากตัดปัจจัยแทรกแซงทางการเมืองออกไปและบริหารจัดการตามหลักวิชาและเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์แล้ว ปัญหาก็จะไม่เกิดขึ้นเลยหรือเกิดก็ไม่หนักหนาสาหัสและอยู่ในวิสัยที่พอจะรับมือได้
ด้วยวิธีคิดวิธีมองเช่นนี้ หลักวิชาเศรษฐศาสตร์จึงกลายเป็นสิ่งที่ชอบที่ควรอยู่แล้วโดยไม่ต้องตั้งคำถาม สงสัยเลย และภาพความเป็นจริงที่นักเศรษฐศาสตร์มองเห็นและตีความจึงกลายเป็นความจริงแท้เพียงอย่างเดียว ที่พึงเห็นได้ในโลกโดยไม่ตระหนักสำนึกถึงขีดจำกัดแห่งมุมมองและกรอบวิสัยทัศน์ของตน
3) ท่ามกลางความตื่นกลัวของสังคมไทยต่อวิกฤตเศรษฐกิจตอนนั้น นักเศรษฐศาสตร์เสมือนสวมบทประกาศกหรือพระผู้ช่วยให้รอด คำให้สัมภาษณ์อภิปรายสัมมนาของนักเศรษฐศาสตร์ถูกให้ความสำคัญขึ้น ครองจุดเด่นด้านพื้นที่และเวลาในสื่อสิ่งพิมพ์และอิเล็กทรอนิกส์อย่างแพร่หลายกว้างขวางชนิดไม่เคยปรากฏมาก่อน คำวิพากษ์วิจารณ์และชี้แนะที่มีนัยเชิงนโยบายของนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำบางคนแทบจะกลายเป็นโอวาทศักดิ์สิทธิ์ที่ออกมาจากปากศาสดาผู้เทศนาสัจธรรมให้เวไนยสัตว์น่าสงสารผู้ไม่รู้เศรษฐศาสตร์ทั้งหลายได้ค้อมน้อมรับไปปฏิบัติผลักดันเพื่อไถ่บาปหาทางรอดหลุดพ้นบ่วงทุกข์
อาจกล่าวได้ว่าผลเฉพาะหน้าอย่างหนึ่งทางด้านการเมืองวัฒนธรรมของวิกฤตต้มยำกุ้งคือมันเปลี่ยนเศรษฐศาสตร์ให้กลายเป็นวาทกรรมแห่งอำนาจ (discourse of power) และแปรสถานะความเป็นนักเศรษฐศาสตร์ให้กลายเป็นเอกลักษณ์แห่งอำนาจ (identity of power) ในสังคมการเมืองไทย ผลดังกล่าวนี้ยังสะท้อน สืบต่อมาถึงปัจจุบันแม้จะในระดับที่อ่อนเพลาลง
4) อำนาจทางการเมืองวัฒนธรรมที่หล่นทับกะทันหันนี้ยิ่งไปเสริมอหังการมมังการ (ตัวกูของกู self-arrogance & self-possessiveness) ของนักเศรษฐศาสตร์ให้กำเริบกล้าขึ้น จึงแทนที่วิกฤตต้มยำกุ้งจะถูกแปรเป็นโอกาสให้วงการเศรษฐศาสตร์ได้หันกลับมาเจริญสติทบทวนวิจารณ์ตนเอง มันกลับถูกนักเศรษฐศาสตร์ใช้เป็นโอกาสป่าวร้องเผยแพร่อวิชชา (ignorance) เก่าด้วยความเชื่อมั่นหลงทะนงตนใหม่ที่หนักกว่าเดิมด้วยซ้ำ
โดยเฉพาะอวิชชาหรือมายาคติที่ว่า: –
-เศรษฐศาสตร์มีความเป็นวิทยาศาสตร์ที่สุดยิ่งกว่าสังคมศาสตร์สาขาอื่นใด (Economic Science-จึงมีรางวัลโนเบลให้แต่เศรษฐศาสตร์สาขาเดียวในบรรดาสังคมศาสตร์ด้วยกันไง, เย่),
-ปัจเจกบุคคลจะทำการใดย่อมใช้เหตุใช้ผลเพื่อบรรลุประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง (Individual Rationality) และ
-ตลาดนั้นสมบูรณ์แบบอยู่แล้วในตัว ปล่อยให้เสรีเป็นดีที่สุด รัฐไม่ควรทะลึ่งเข้ามาแทรกแซง (Perfect Market)
อวิชชาเหล่านี้แหละครับที่ในที่สุดนำมาสู่วิกฤตซับไพรม์และเศรษฐกิจถดถอยใหญ่ทั่วโลกปัจจุบัน!
โดย เกษียร เตชะพีระ
วันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11542
จาก : มติชนสุดสัปดาห์