Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

เวลาวิ่งผมอยู่ในที่สงบ ฮารูกิ มูราคามิ นักเขียนนักวิ่ง

 

'เวลาวิ่ง ผมอยู่ในที่สงบ'
 
ฮารูกิ มูราคามิ นักเขียนชาวญี่ปุ่นผู้ออกหนังสือบันทึกเกี่ยวกับการวิ่งเล่าให้สปีเกลฟัง เกี่ยวกับความโดดเดี่ยวของการเป็นนักเขียนและนักวิ่ง 
– มิสเตอร์มูราคามิ ไม่ทราบว่าอันไหนที่ยากกว่ากัน ระหว่างการเขียนนิยายกับการวิ่งมาราธอน 
 
ฮารูกิ มูราคามิ : การเขียนนั้นสนุก – อย่างน้อยก็ส่วนใหญ่ ผมเขียนหนังสือวันละสี่ชั่วโมง หลังจากนั้นผมออกวิ่ง ตามกฎที่วางไว้ก็คือ 10 กิโลเมตร ซึ่งเป็นเรื่องที่จัดการได้ง่าย แต่การวิ่ง 42.195 กิโลเมตรรวดเดียวเลยนั้นเป็นเรื่องยาก แต่มันเป็นความยากที่ผมมองหา เป็นการทรมานที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ผมทนรับไว้โดยคิดมาอย่างดีแล้ว สำหรับผม สิ่งนี้เป็นมุมมองที่สำคัญที่สุดของการวิ่งมาราธอน 
 
– แล้วอย่างไหนที่รื่นรมย์กว่า ระหว่างการเขียนหนังสือจบหนึ่งเล่ม กับการวิ่งเข้าเส้นชัยในการแข่งวิ่งมาราธอน 
 
ฮารูกิ มูราคามิ : การใส่จุดฟูลสต็อบลงในตอนท้ายของเรื่องเป็นเหมือนกับการให้กำเนิดเด็กคนหนึ่ง เป็นช่วงเวลาที่หาใดเปรียบไม่ได้ นักเขียนที่โชคดีคนหนึ่งอาจจะเขียนนิยายได้สิบสองเล่มในชั่วชีวิตหนึ่ง ผมไม่รู้ว่ายังเหลือหนังสือดีๆ อีกกี่เล่มในตัวผม ผมหวังว่าจะมีสักสี่หรือห้าเล่ม เวลาที่ผมวิ่งผมไม่รู้สึกถึงข้อจำกัดทำนองนั้น ผมออกหนังสือเล่มหนาสี่ปีครั้ง แต่ผมวิ่งแข่งระยะทาง 10 กิโลเมตร มินิมาราธอนและมาราธอนทุกปี ตอนนี้ผมเข้าร่วมการแข่งขันมาราธอนรวมทั้งหมด 27 ครั้งแล้ว ครั้งสุดท้ายในเดือนมกราคม และครั้งที่ 28 29 และ 30 จะตามมาอย่างแน่นอน
 
– ในหนังสือ “เกร็ดความคิดบนก้าววิ่ง” คุณบรรยายถึงอาชีพของคุณในฐานะนักวิ่ง และกล่าวถึงความสำคัญของการวิ่งต่องานของคุณในฐานะนักเขียน ทำไมคุณถึงเขียนงานอัตชีวประวัติเล่มนี้ขึ้นมาครับ 
 
ฮารูกิ มูราคามิ : ตั้งแต่ผมเริ่มวิ่งเป็นครั้งแรกเมื่อ 25 ปีก่อน ในฤดูใบไม้ร่วง ปี 1982 ผมถามตัวเองว่าทำไมผมถึงตัดสินใจเลือกกีฬานี้ ทำไมผมไม่เล่นฟุตบอล ทำไมการเป็นนักเขียนที่จริงจังแบบของจริงของผมจึงเริ่มในวันที่ผมออกวิ่ง ผมเป็นคนประเภทที่จะสามารถเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ก็ต่อเมื่อผมเขียนบันทึกความคิดของผมเท่านั้น ผมได้พบว่าเวลาที่ผมเขียนถึงการวิ่ง ผมเขียนถึงตัวผมเอง
 
– ทำไมคุณถึงเริ่มวิ่ง
 
ฮารูกิ มูราคามิ : ตอนนั้นผมอยากลดน้ำหนัก ช่วงปีแรกๆ ของการเป็นนักเขียน ผมสูบบุหรี่จัด ประมาณวันละ 60 มวน เพื่อจะได้มีสมาธิดีขึ้น ฟันผมเหลือง นิ้วผมเหลือง ตอนที่ผมตัดสินใจเลิกสูบบุหรี่เมื่ออายุ 33 ผมมีห่วงยางไขมันรอบสะโพก ผมเลยวิ่ง สำหรับผม การวิ่งดูเหมือนจะเหมือนจะเป็นสิ่งที่พอจะทำได้มากที่สุด
 
– ทำไมครับ 
 
ฮารูกิ มูราคามิ : กีฬาแบบเล่นเป็นทีมไม่เหมาะกับผม ผมรู้สึกว่าผมจะเลือกอะไรสักอย่างได้ง่ายกว่าถ้าผมได้ทำในจังหวะความเร็วของผมเอง และเราไม่ต้องมีคู่เล่นเวลาวิ่ง ไม่จำเป็นต้องมีสถานที่พิเศษเฉพาะเหมือนเทนนิส แค่รองเท้าวิ่งคู่นึงก็พอ ยูโดก็ไม่เหมาะกับผมเหมือนกัน ผมไม่ได้เป็นนักสู้ การวิ่งระยะยาวไม่ได้เป็นเรื่องของการเอาชนะคนอื่นๆ คุณแข่งกับตัวคุณเอง ไม่มีคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องแต่คุณจะเข้าสู่ความขัดแย้งภายใน ฉันทำได้ดีกว่าครั้งที่แล้วหรือเปล่านะ การบีบบังคับตัวเองให้ไปถึงขีดจำกัดครั้งแล้วครั้งเล่าเป็นสิ่งสำคัญของการวิ่ง การวิ่งเป็นเรื่องเจ็บปวด แต่ความเจ็บปวดไม่เคยจากผมไปไหน ผมสามารถดูแลมันได้ เรื่องนี้พ้องต้องกันกับสิ่งที่ผมคิด
 
– ในตอนนั้นฟอร์มของคุณเป็นยังไง 
 
ฮารูกิ มูราคามิ : หลังจากวิ่งไปได้ 20 นาที ผมหอบแฮ่ก ขาสั่น ตอนแรกๆ ผมรู้สึกไม่สะดวกใจเวลาคนอื่นๆ มองผมวิ่ง แต่ผมใส่การวิ่งเข้ามาในชีวิตประจำวันของผมเหมือนๆ กับการแปรงฟัน ดังนั้น ผมก็เลยก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว ไม่ถึงปี ผมก็วิ่งมาราธอน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นการแข่งขันอย่างเป็นทางการก็ตาม
 
– คุณวิ่งจากกรุงเอเธนส์ไปเมืองมาราธอนคนเดียว มีอะไรดึงดูดใจให้ทำอย่างนั้น 
 
ฮารูกิ มูราคามิ : เอ่อ มันเป็นการวิ่งมาราธอนของแท้ เป็นเส้นทางในประวัติศาสตร์ ถึงแม้จะเป็นการวิ่งย้อนเส้นทางก็ตาม เป็นเพราะผมไม่อยากไปถึงกรุงเอเธนส์ในช่วงเวลาเร่งรีบ ก่อนหน้านั้น ผมไม่เคยวิ่งไกลเกิน 35 กิโลเมตรมาก่อน ขาและร่างกายช่วงบนของผมยังไม่แข็งแรงดี ผมไม่รู้หรอกว่าจะเจออะไร มันเหมือนวิ่งในดินแดนที่เราไม่รู้จัก
 
– แล้วคุณทำสำเร็จได้ยังไง 
 
ฮารูกิ มูราคามิ : ตอนนั้นเป็นเดือนมิถุนายน อากาศร้อนมากแม้แต่ในตอนเช้าตรู่ ก่อนหน้านั้นผมไม่เคยไปกรีซมาก่อน หลังจากวิ่งไปครึ่งชั่วโมง ผมถอดเสื้อ หลังจากนั้น ผมฝันถึงเบียร์เย็นๆ และนับซากหมาแมวที่นอนตายริมทาง ผมโมโหพระอาทิตย์ มันส่องแสงมาแผดเผาผมอย่างกราดเกรี้ยว ผิวของผมเริ่มมีจุดพองเล็กๆ ผมใช้เวลาทั้งหมด 3 ชั่วโมง 51 นาที ก็พอใช้ได้อยู่ เมื่อผมไปถึงจุดหมาย ผมเอาสายยางฉีดน้ำรดตัวที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งและดื่มเบียร์ในฝัน เมื่อเด็กปั๊มได้ยินว่าผมเพิ่งทำอะไร เขาเอาดอกไม้มาให้ผมกำนึง
 
– เวลาที่ดีที่สุดของคุณในการวิ่งมาราธอนคือเท่าไหร่ 
 
ฮารูกิ มูราคามิ : 3 ชั่วโมง 27 นาที จากนาฬิกาที่ผมจับเอง ในนิวยอร์กปี 1991 หมายถึงวิ่งได้ห้านาทีต่อหนึ่งกิโลเมตร ผมภูมิใจมากเพราะตอนช่วงสุดท้ายของการวิ่ง ตอนที่วิ่งผ่านเซ็นทรัลพาร์ค เป็นช่วงเวลาที่หนักหนามาก ผมพยายามทำเวลาให้ดีกว่านั้นสองสามครั้งแต่ผมแก่ตัวลง ในระหว่างนั้น ผมเลิกสนใจเวลาส่วนตัวของผมไปเลย สำหรับผมมันเป็นเรื่องของความพอใจในตัวเองมากกว่า
 
– คุณมีมนตราอะไรให้ท่องเวลาวิ่งหรือเปล่าครับ 
 
ฮารูกิ มูราคามิ: ไม่มีครับ ผมแค่บอกตัวเองนานๆ ครั้งว่า ฮารูกิ นายทำได้น่า แต่จริงๆ แล้วผมไม่ได้คิดถึงอะไรเลยตอนวิ่ง
 
– เป็นไปได้หรือครับที่จะไม่คิดถึงอะไรเลย 
 
ฮารูกิ มูราคามิ: เวลาวิ่ง จิตใจของล้างตัวเองจนว่างเปล่า ทุกอย่างที่ผมคิดตอนวิ่งเข้าสู่ขั้นตอนการล้างนั้นด้วย ความคิดต่างๆ ที่เข้ามาในหัวผมขณะวิ่งเหมือนกับลมที่พัดเข้ามาเบาๆ เข้ามาวูบนึงแล้วหายไป และไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรทั้งสิ้น
 
– คุณชอบฟังเพลงตอนวิ่งหรือเปล่า 
 
ฮารูกิ มูราคามิ : เฉพาะตอนที่ผมซ้อมวิ่งเท่านั้นครับ แล้วก็เป็นเพลงร็อก ตอนนี้วงโปรดของผมคือ มานิค สตรีท พรีเชอร์ส์ เวลาผมออกวิ่งในตอนเช้าซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก ผมจะโหลดครีดเดนซ์ เคลียร์ วอเตอร รีวีวอล ใส่เครื่องเล่นมินิดิสก์ เพลงของพวกเขามีจังหวะง่ายๆ และเป็นธรรมชาติ
 
– คุณสามารถชักจูงใจตัวเองทุกวันได้ยังไง 
 
ฮารูกิ มูราคามิ : บางครั้งผมรู้สึกว่าอากาศร้อนเกินไปที่จะวิ่ง บางครั้งเย็นเกินไป หรือเมฆเยอะเกินไป แต่ผมก็ยังออกไปวิ่ง ผมรู้ว่าถ้าผมไม่ออกไปวิ่ง วันต่อมาผมก็จะไม่ได้ออกไปอีก การมอบหมายภาระหน้าที่ที่ไม่จำเป็นให้กับตัวเองไม่ได้เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ดังนั้นร่างกายของคนจะเลิกภาวะเคยชินอย่างรวดเร็ว เราไม่ควรทำอย่างนั้น ก็เหมือนกับการเขียนล่ะครับ ผมเขียนทุกวัน จิตใจของผมจะได้ไม่เลิกเคยชิน ดังนี้ ผมจึงค่อยๆ วางมาตรฐานในทางวรรณกรรมให้สูงขึ้นเรื่อยๆ ได้ เช่นเดียวกับที่การวิ่งอย่างสม่ำเสมอทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ
 
– คุณโตมาแบบลูกคนเดียว การเขียนเป็นสิ่งที่ต้องทำคนเดียว และคุณมักจะวิ่งคนเดียว ไม่ทราบว่าสามสิ่งนี้มีความเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า 
 
ฮารูกิ มูราคามิ : แน่นอนครับ ผมเคยชินที่จะอยู่คนเดียว ไม่เหมือนภรรยาของผม ผมไม่ชอบมีใครอยู่ด้วย ผมแต่งงานมา 37 ปี และมันยังเป็นศึกที่ผมจะต้องต่อสู้ด้วยอยู่ ในงานที่ผมทำก่อนหน้านี้ ผมมักจะทำงานจนถึงฟ้าสาง ตอนนี้ผมเข้านอนประมาณสามหรือสี่ทุ่ม
 
– ก่อนหน้าที่จะมาเป็นนักวิ่ง คุณเป็นเจ้าของแจ๊ซคลับในโตเกียว การเปลี่ยนแปลงในชีวิตคงจะถึงรากถึงโคนยากลำบากมาก 
 
ฮารูกิ มูราคามิ : ตอนที่ผมมีคลับ ผมยืนหลังเคาน์เตอร์บาร์และการ
 
– แล้วคุณสังเกตเห็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่หมดตอนไหนครับ 
 
ในเดือนเมษายน 1978 ตอนที่ผมกำลังดูการแข่งเบสบอลที่สนามจิงกุในโตเกียว แสงแดดส่องจ้า ผมดื่มเบียร์อยู่ และตอนที่เดฟ ฮิลตัน จากทีมยาคุลต์ สวอลโลวส์ตีลูกได้อย่างเยี่ยมยอด ตอนนั้นเองผมก็รู้ว่าผมจะเขียนนิยาย เป็นความรู้สึกที่อบอุ่นดี ผมยังรู้สึกได้ในใจถึงปัจจุบัน ตอนนี้ผมชดเชยชีวิตเดิมๆ ที่เปิดตัว ด้วยชีวิตใหม่ที่ปิดตัว ผมไม่เคยออกโทรทัศน์ ไม่เคยออกอากาศรายการวิทยุ ไม่ค่อยจะไปงานกิจกรรมอ่านหนังสือของตัวเองให้ใครฟัง ผมไม่ค่อยเต็มใจอยากให้ใครถ่ายรูป ผมให้สัมภาษณ์น้อยครั้งมาก ผมเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ค่อยอยากเจอใคร
 
– คุณรู้จักนิยายเรื่อง “ความโดดเดี่ยวของนักวิ่งทางไกล” (The Loneliness of the Long Distance Runner) ของ อลัน ซิลลีโท หรือเปล่าครับ 
 
ฮารูกิ มูราคามิ : ผมไม่ค่อยประทับใจหนังสือเล่มนี้สักเท่าไหร่ เป็นหนังสือที่น่าเบื่อ บอกได้เลยว่าตัวซิลลิโทไม่ได้เเป็นนักวิ่ง แต่ผมคิดว่าความคิดของหนังสือเล่มนี้เข้าที คือ การวิ่งช่วยให้ตัวเอกสามารถเข้าถึงตัวตนของตัวเองได้ ขณะที่วิ่งเขาได้ค้นพบภาวะที่เขารู้สึกเป็นอิสระ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกเช่นกัน
 
– แล้วการวิ่งสอนอะไรคุณบ้างครับ
 
ฮารูกิ มูราคามิ : ความมั่นใจว่าผมจะวิ่งจนถึงเส้นชัย การวิ่งสอนให้ผมมีความเชื่อมั่นในทักษะความสามารถในการเป็นนักเขียนของผม ผมได้เรียนรู้ว่าผมเรียกร้องจากตัวเองมากขนาดไหน เวลาที่ผมอยากหยุดพัก และเมื่อการหยุดพักชักจะยาวนานเกินไป ผมรู้ว่าผมสามารถผลักดันตัวเองได้มากแค่ไหน
 
– คุณเป็นนักเขียนที่ดีกว่าเดิมเพราะคุณวิ่งอย่างนั้นหรือครับ 
 
ฮารูกิ มูราคามิ : ใช่แล้วครับ ยิ่งกล้ามเนื้อของผมแข็งแกร่ง จิตใจของผมก็ยิ่งปลอดโปร่ง ผมเชื่อว่าศิลปินที่ใช้ชีวิตแบบทำลายสุขภาพจะเผาผลาญชีวิตของตัวเองอย่างรวดเร็ว จีมี เฮนดริกซ์, จิม มอร์ริสัน, จานิส โจปลิน เป็นวีรบุรุษในดวงใจของผมตอนวัยรุ่น พวกเขาล้วนตายตั้งแต่ยังหนุ่ม ถึงแม้ว่าพวกเขาไม่ควรจะตายเร็วขนาดนั้น มีแต่พวกอัจฉริยะอย่างโมซาร์ทหรือพุชกินส์เท่านั้นที่สมควรจะตายเร็วก่อน การณ์ จีมี เฮนดริกซ์ เป็นคนเก่งแต่ไม่ค่อยฉลาดเพราะเขาเสพยา การทำงานศิลปะเป็นสิ่งที่เป็นภัยต่อสุขภาพ การวิ่งช่วยให้ผมหลีกเลี่ยงอันตรายนั้น
 
– ช่วยอธิบายหน่อยสิครับ
 
ฮารูกิ มูราคามิ : เวลาที่นักเขียนพัฒนาเรื่องราวขึ้นมาสักเรื่อง เขาจะเจอยาพิษที่อยู่ในตัวเอง ถ้าคุณไม่มียาพิษนั่น เรื่องราวของคุณจะน่าเบื่อและไม่ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจ มันก็เหมือนกับปลาปักเป้า เนื้อของมันอร่อยมาก แต่ไข่ ตับและหัวใจอาจจะมีพิษถึงชีวิต เรื่องที่ผมเขียนเกิดขึ้นในจิตใต้สำนึกส่วนที่มืดมนและอันตราย ผมรู้สึกถึงยาพิษนั้นในจิตใจของตัวเอง แต่ผมสามารถเลี่ยงปริมาณพิษที่สูงได้เพราะผมมีร่างกายที่แข็งแรง เวลาที่คุณยังหนุ่มสาว คุณแข็งแรง ดังนั้นปกติแล้วคุณจะเอาชนะยาพิษได้แม้ว่าจะไม่ได้ผ่านการฝึกกรำ แต่เมื่ออายุสี่สิบขึ้นไปแล้ว ความแข็งแรงจะลดน้อยถอยลง และไม่สามารถทานทนกับยาพิษนั้นเวลาที่คุณมีชีวิตที่ไมดีต่อสุขภาพ
 
– เจ. ดี. ซาลิงเจอร์เขียนนิยายเรื่องเดียวของเขาคือ “แคชเชอร์อินเดอะไรย์” (Catcher in the Rye) เขาเองก็อ่อนแอเกินกว่าจะทานรับยาพิษนั้นด้วยหรือครับ เขาเพิ่งอายุ 32 ปีเอง 
 
ฮารูกิ มูราคามิ : ผมแปลหนังสือเล่มนี้เป็นภาษาญี่ปุ่น เป็นหนังสือที่ดีทีเดียวล่ะแต่ไม่สมบูรณ์ เรื่องราวเริ่มมืดดำขึ้นเรื่อยๆ และตัวละครเอก โฮลเดน โคลฟิลด์ หาทางออกจากโลกดำมืดนั่นไม่ได้ ผมคิดว่าซาลิงเจอร์เองก็หาทางออกนั่นไม่เจอเหมือนกัน กีฬาจะช่วยเขาเรื่องนี้ได้หรือไม่ ผมก็ไม่รู้เหมือนกััน
 
– การวิ่งให้แรงบันดาลใจในเรื่องราวที่คุณเขียนหรือเปล่าครับ 
 
ฮารูกิ มูราคามิ : เปล่าครับ เพราะผมไม่ได้เป็นนักเขียนประเภทที่เข้าสู่แหล่งที่มาของเรื่องราวแบบสบายๆ ผมต้องขุดหาแหล่งที่มานั้น ผมต้องขุดลงไปลึกมากเพื่อจะได้เข้าถึงจุดดำมืดในจิตวิญญาณของผมที่มีเรื่องราวแอบซ่อนตัวอยู่ เรื่องนี้ก็เช่นกัน คุณต้องมีร่างกายที่แข็งแรง ตั้งแต่ผมเริ่มวิ่ง ผมต้องมีใจจดจ่อยาวนานขึ้น และผมต้องจดจ่อเป็นเวลาหลายชั่วโมงในช่วงที่ผมมุ่งหน้าเข้าสู่ความมืดมน ในระหว่างทาง คูณจะเจอทุกอย่าง ภาพต่างๆ ตัวละครต่างๆ การเปรียบเทียบเปรียบเปรยต่างๆ ถ้าร่างกายของคุณอ่อนแอเกินไป คุณจะพลาดสิ่งเหล่านี้ คุณจะไม่มีกำลังพอที่จะจับและนำพวกมันกลับขึ้นสู่พื้นผิวของจิตสำนึก เวลาที่คุณเขียนงาน สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่การขุดลงไปหาแหล่งที่มา แต่เป็นเส้นทางการดึงมันออกมาจากความมืด มันก็เหมือนกับการวิ่ง มีเส้นชัยให้คุณวิ่งเข้า ไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไรก็ตาม
 
– ตอนที่คุณวิ่ง คุณอยู่ในสถานทีที่มืดดำแบบเดียวกันนั้นหรือเปล่าครับ 
 
ฮารูกิ มูราคามิ : มีบางสิ่งที่ผมคุ้นเคยมากเกี่ยวกับการวิ่ง เวลาวิ่ง ผมอยู่ในที่สงบ
 
– คุณอยู่สหรัฐอเมริกามาหลายปี มีความแตกต่างระหว่างนักวิ่งอเมริกันกับนักวิ่งญี่ปุ่นหรือไม่ครับ 
 
ฮารูกิ มูราคามิ : ไม่มีครับ แต่ตอนที่ผมอยู่ที่เคมบริดจ์ (ในฐานะนักเขียนพำนัก) ผมเริ่มเห็นชัดเจนว่าพวกคนที่เป็นหัวกะทิแตกต่างจากมนุษย์เดินดินคนอื่นๆ
 
– หมายความว่าอย่างไรครับ
 
ฮารูกิ มูราคามิ : เส้นทางที่ผมวิ่งจะทอดเลียบไปข้างแม่น้ำชาร์ลส์ และผมมักจะเห็นเหล่านักศึกษาหญิง พวกเด็กปีหนึ่งของฮาร์วาร์ด พวกเธอวิ่งก้าวขายาวๆ เสียบหูฟังไอพ็อด เส้นผมที่รวบมัดเป็นพวงโบกไหวอยู่ที่หลัง ทั่วทั้งร่างสวยกระจ่างตา พวกเธอรู้ตัวว่าเป็นคนพิเศษไม่เหมือนคนอื่นๆ การรู้ตัวของพวกเธอประทับใจผมเป็นอย่างยิ่ง ผมเป็นนักวิ่งที่ดีกว่า แต่มีบางอย่างในแง่บวกอยู่ในตัวพวกเธอแบบชวนสะท้านใจ พวกเธอช่างแตกต่างจากผม ผมไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของคนชั้นนำระดับหัวกะทิ
 
– คุณสามารถแยกระหว่างนักวิ่งมือใหม่กับนักวิ่งที่วิ่งมาอย่างโชกโชนแล้วหรือ เปล่าครับ 
 
ฮารูกิ มูราคามิ : นักวิ่งมือใหม่จะวิ่งเร็วเกินไป ลมหายใจของพวกเขาจะหอบกระชั้น ส่วนพวกที่วิ่งมานักต่อนักแล้วจะวิ่งไปเรื่อยๆ นักวิ่งรุ่นเก๋าจะรู้ว่าใครวิ่งมานานแล้ว เหมือนกับที่นักเขียนจะรู้จักสไตล์และภาษาของนักเขียนอีกคน
 
– หนังสือของคุณเขียนแบบเมจิคอลเรียลิสม์ ที่ความจริงปะปนกับความมหัศจรรย์ การวิ่งมีมิติที่เหนือจริงหรืออภิปรัชญา ที่ค่อนข้างจะแยกจากการประสบความสำเร็จทางร่ายกายภายนอกล้วนๆ หรือไม่ 
 
ฮารูกิ มูราคามิ : กิจกรรมทุกอย่างจะก่อให้บางอย่างที่ทำให้เกิดจินตปัญญา ถ้าคุณทำกิจกรรมนั้นนานพอ ในปี 1995 ผมเข้าร่วมการแข่งขันที่มีระยะทาง 100 กิโลเมตร ผมใช้เวลา 11 ชั่วโมง 42 นาที และในตอนท้าย มันแทบจะเป็นประสบการณ์ทางศาสนาเลยล่ะ
 
– อย่างนั้นเชียว 
 
ฮารูกิ มูราคามิ : หลังจากวิ่งไป 55 กิโลเมตร ผมก็หมดแรง ขาของผมไม่เชื่อฟังผมอีกต่อไป ผมรู้สึกเหมือนมีม้าสองตัวกำลังดึงฉีกร่างของผมออกเป็นชิ้นๆ หลังจากวิ่งไป 75 กิโลเมตร จู่ๆ ผมก็กลับมาวิ่งตามปกติได้อีก ความเจ็บปวดสลายหายไป ผมก้าวล่วงไปยังอีกฝากหนึ่งแล้ว ความสุขวิ่งพล่านทั่วร่าง ผมวิ่งเข้าเส้นชัยอย่างเต็มเปี่ยมด้วยความสุขสม จะให้วิ่งต่ออีกก็ยังได้ แต่ถึงอย่างนั้น ผมจะไม่วิ่งอัลตรามาราธอนอีกแล้ว
 
 
– ทำไมล่ะ
 
ฮารูกิ มูราคามิ : หลังจากประสบการณ์สุดขั้วครั้งนั้น ผมเข้าสู่สภาวะที่ผมเรีกว่า “รันเนอร์ บลู” (ความรู้สึกตันของนักวิ่ง)
 
– เป็นยังไงครับ
 
ฮารูกิ มูราคามิ : เป็นความรู้สึกเซ็งๆ ผมเหนื่อยหน่ายไม่อยากวิ่ง การวิ่ง 100 กิโลเมตรนั้นน่าเบื่อเป็นที่สุด คุณอยู่กับตัวเองตามลำพังนานกว่าสิบเอ็ดชั่วโมง และความเบื่อหน่ายนี้กัดกินผม ดูดกินแรงบันดาลใจจากจิตวิญญาณของผม ทัศนคติในแง่บวกหายไป ผมเกลียดการวิ่งอยู่หลายสัปดาห์
 
– แล้วคุณฟื้นความสุขในการวิ่งกลับคืนมาอย่างไร
 
ฮารูกิ มูราคามิ : ผมพยายามฝืนวิ่ง แต่ไม่สำเร็จ มันหมดสนุกแล้ว ผมเลยตัดสินใจลองเล่นกีฬาอื่นๆ ผมอยากลองสิ่งที่เร้าใจอื่นๆ เลยเริ่มไตรกรีฑา มันช่วยได้ ไม่นานผมก็กลับมาอยากวิ่งอีก
 
– คุณอายุ 59 (ในปี 2008) คุณตั้งใจจะเข้าร่วมการแข่งขันวิ่งมาราธอนอีกนานแค่ไหน 
 
ฮารูกิ มูราคามิ : ฮารูกิ มูราคามิ : ผมจะวิ่งตราบที่ผมยังเดินได้ รู้มั้ยว่าผมอยากเขียนอะไรบนหินปักหลุมศพของผม
 
– อะไรครับ 
 
ฮารูกิ มูราคามิ : "At least he never walked." (อย่างน้อย เขาก็ไม่เคยเดิน)
 
– มิสเตอร์มูราคามิ ขอบคุณที่ให้สัมภาษณ์ในครั้งนี้ครับ