Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

เรียนลัดชีวิต จากบทสัมภาษณ์(นิตยสาร)

 

 
ท่ามกลางแผงหนังสือทุกวันนี้เกิดปรากฏการณ์ที่มีนิตยสารระดมกำลังเต็มอัตราศึกจนล้นแผง   จนหลายคนคงออกอาการตาลายที่จะเลือกอ่านหนังสือนิตยสารสักเล่ม   โดยเฉพาะถ้าไม่ใช่เป็นแฟนประจำเล่มใดเล่มหนึ่งแล้วคงยากที่จะตัดสินใจได้   เพราะทุกๆเดือนขณะนี้มีข่าวนิตยสารเปิดตัวกันเป็นว่าเล่น     ถ้าดูในส่วนประกอบใหญ่ๆของนิตยสารเล่มหนึ่งๆแล้ว มักพบว่าประกอบไปด้วยหลายส่วนด้วยกัน เช่น มีบทสัมภาษณ์ มีภาพแฟชั่น มีนวนิยายหรือเรื่องสั้นจากนักเขียนดัง และมีคอลัมน์ประจำ  เป็นต้น
 
ในที่นี้ขอกล่าวถึงส่วนที่กินเนื้อที่หลายสิบหน้าของนิตยสารส่วนใหญ่ ซึ่งก็คือ  บทสัมภาษณ์ บุคคลที่น่าสนใจในแนวทางของนิตยสารแต่ละเล่ม   ว่ากันแล้วส่วนนี้สามารถดึงความสนใจจากผู้อ่านได้มากทีเดียว   ถ้าเกิดผู้ให้สัมภาษณ์มีที่มาที่ไปที่น่าสนใจอะไรมากสักหน่อย  หรือเป็นเรื่องราวที่กำลังอินเทรนด์ยิ่งดีใหญ่ จะช่วยดึงความสนใจของผู้ซื้อได้ส่วนหนึ่ง   ฉะนั้น บทสัมภาษณ์ จึงมีความสำคัญมากจนกระทั้งสามารถคุมพื้นที่บนหน้ากระดาษในนิตยสารแทบทุกเล่มบนแผงหนังสือเลยทีเดียว
มนทิรา นักเขียนสาวมากความสามาตรได้ให้นิยามเกี่ยวกับการสัมภาษณ์ไว้ในพอกเก็ตบุ๊ค ชื่อ นักสัมภาษณ์มืออาชีพ ของเธอว่า   การสัมภาษณ์ หมายถึง การพูดคุยแต่เป็นการพูดคุยที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูล  สิ่งที่ต้องการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เป็นหลักเป็นเกณฑ์และมีรูปธรรมที่ชัดเจน    พร้อมทั้งได้แบ่งรูปแบบการสัมภาษณ์ออกเป็น 4 แบบใหญ่ๆ ดังนี้
1. การสัมภาษณ์แบบร้อยเรียง  จะไม่ปรากฏคำถามของคนสัมภาษณ์(หรือมีน้อยที่สุด) โดยนำคำตอบจากปากผู้ให้สัมภาษณ์มาเชื่อมต่อกับรายละเอียดที่เหมาะสม   แล้วร้อยเรียงออกมาให้สละสลวย
2. การสัมภาษณ์แบบถาม-ตอบ  เป็นการลงคำถามและคำตอบในบทสัมภาษณ์อย่างละเอียดทีละคำถาม  ทำให้ได้ถึงอารมณ์อย่างต่อเนื่องของการถามตอบนั้นๆ
 
3. การสัมภาษณ์แบบผสมผสาน  ใช้วิธีการนำรูปแบบที่ 1และ 2 มารวมกัน เพื่อต้องการบรรยายให้เห็นภาพและประเด็นที่ชัดเจน   มักใช้กับการสัมภาษณ์ที่มีหลายช่วงเหตุการณ์ที่ไม่ปะติดปะต่อกัน
4. การสัมภาษณ์แบบเขียนเรื่องยาว (เพื่อเป็นนักเขียน Ghost writer)  จะใช้การสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือในการเขียนเป็นเรื่องยาว เจาะลึกข้อมูล รายละเอียดมากขึ้น  เช่นงานเขียนพวกประวัติชีวิตบุคคลต่างๆ
นี้เป็นส่วนหนึ่งเกี่ยวกับรูปแบบการสัมภาษณ์ที่อิงทฤษฎีให้เห็นภาพกว้างๆ ของรูปแบบบทสัมภาษณ์โดยทั่วไปของ มนทิรา นักสัมภาษณ์หญิงผู้มากประสบการณ์      ในช่วงเวลาเดียวกันนี้มีพอกเก็ตบุ๊คอีกเล่มหนึ่งที่เขียนเกี่ยวกับบทสัมภาษณ์เช่นเดียวกัน  ผู้เขียนเป็นฝ่ายชายที่ถือว่าเป็นผู้สัมภาษณ์มือวางอันดับต้นๆของวงการนิตยสารไทย นาม วรพจน์   พันธุ์พงศ์     ได้ออกพอกเก็ตบุ๊คชื่อว่า เสียงในความทรงจำ  ที่รวบรวมบทสัมภาษณ์จากนิตยสารต่างๆที่ว่าด้วยเรื่อง การแสวงหาความงามของชีวิต  นับว่าเป็นงานรวมบทสัมภาษณ์ที่น่าสนใจทั้งด้านนำเสนอการทำงานและชีวิตของบุคคลที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัว
 
 ตัวอย่างเช่น ตามรอยช้างป่ากับ ม.ล. ปริญญากร   วรวรรณ, ปรัชญาชีวิตและความรัก-ศักดิ์ศิริ   มีสมสืบ, ระหว่างความงามและความตาย-พ.ญ.พรทิพย์   โรจน์สุนันท์, เดชา   ศิริภัทร คืนชีวิตสู่ความเรียบง่าย   เป็นต้น
เนื้อหาบทสัมภาษณ์ของ วรพจน์ เล่มนี้เน้นไปที่แง่งามของการใช้ชีวิตและแนวคิดแต่ละบุคคลแต่ละกรณีไป อย่างเช่น บทสัมภาษณ์ที่นำเสนอแบบถาม-ตอบของ ศักดิ์สิริ   มีสมสืบ ผู้มีดีกรีเป็นกวีซีไรต์ด้านกวีนิพนธ์ ซึ่งมีกิจวัตรประจำวันเป็น การกวาดลานบ้าน รดน้ำต้นไม้ ทำกับข้าว เขียนหนังสือ แต่งเพลง เล่นกับหมา ก็ได้ให้ข้อคิดเกี่ยวกับความอยากของชีวิตคนว่า
 “ทำไมเราอยากจะดังเหมือนดาราคนนั้น   บางทีเราไม่มีของใช้ดีๆ จึงอยากเป็นอย่างนั้นบ้าง จะได้มีเงิน รถ บ้าน กระเป๋าแพงๆ มีแหวนเพชร   อาจเป็นแค่แรงขับแบบนั้นก็ได้     วันนี้ศิลปินเดินเกลื่อนเมือง  คนประสบความสำเร็จในชีวิตในสายตาคนทั่วไปมีเกลื่อนเมือง  แต่คนที่มีค่าควรแก่การยกย่องว่ามีอุดมคติมีอยู่กี่คน…”
 
 
หรือบทสัมภาษณ์ที่ใช้วิธีการเสนอสไตล์แบบร้อยเรียงของ เดชา   ศิริภัทร   ที่มาจากครอบครัวผู้มีอันจะกินระดับเศรษฐีประจำจังหวัดที่สละมรดกต่างๆมาทำงานด้านเกษตรเพื่อพัฒนาพันธุ์ข้าวที่จังหวัดสุพรรณบุรี และใช้ชีวิตอย่างพอยู่พอกิน  ให้ทัศนคติเกี่ยวกับเป้าหมายชีวิตไว้ว่า
“ ผมถามชาวนาว่า เป้าหมายคืออะไร  เขาอึกอักๆ  อยากรวยใช่ไหม  ผมบอกว่า เพราะอยากรวยนี่แหละถึงได้โดนหลอก  แล้วไม่รู้จะรวยไปทำไม     ถามว่ารวยมันดีตรงไหน  เขาบอกว่า โอ๊ย  ดีสิ   รวยแล้วได้ทุกอย่าง  ผมถามว่าเคยรวยหรือยัง   ไม่เคยรวยจะรู้ได้ยังไงว่าดี  ผมนี่เคยรวยมาแล้ว    ถามผม…” 
ผลงานของ มนทิรา และวรพจน์  ทั้งสองเล่มนี้มุ่งเน้นให้เห็นผลงานของนักสัมภาษณ์ ในตัวอย่างงานที่มีวิธีการเตรียมความพร้อมอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้ได้ซึ่งข้อมูลความรู้ความคิดที่ดี  โดยมนธิรา อ้างถึงประโยชน์อย่างใหญ่หลวงที่เธอได้รับจาก ผู้ให้สัมภาษณ์ทั้งหลายว่าทุกคนเป็นครูที่ดีในเรื่องราวของชีวิตที่ให้สัมภาษณ์เล่าเรื่องราวนั้นๆออกมา  เพราะสิ่งที่บรรดาผู้ถูกสัมภาษณ์ให้ข้อมูลบอกกล่าวล้วนเป็นสิ่งที่ผ่านพ้นจากประสบการณ์ชีวิตจริง  เหตุการณ์จริง  ความรู้สึกนึกคิดที่เกิดในเรื่องราวที่ได้พบเจอ  
 
ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ล้วนเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ยิ่งสำหรับผู้อ่านทั้งหลาย   เพราะนอกจากข้อมูลที่ได้รับแล้วข้อคิดและความคิดเห็นต่างๆ อาจจะถือได้ว่าเป็น การเรียนลัดเรื่องราวของชีวิตที่ช่วยทุ่นเวลาได้อย่างมหาศาล
เนื่องจากในชีวิตเฉลี่ยของมนุษย์เราใน 60 ปีนั้น ล้วนแล้วแต่มีข้อจำกัดอยู่อย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะ ยากดี-มี-จน อย่างไรก็มีสิ่งหนึ่งที่เท่ากันอยู่  สิ่งนั้นคือ เวลาในชีวิต      ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะเอาเวลาเหล่านั้นไปใช้ทำอะไรกัน   
ถ้าแบ่งเฉลี่ยต่อไปว่าในเวลาหนึ่งวัน 24 ชั่วโมง  แบ่งเป็นส่วนๆ ได้เป็น กิจกรรมหลัก 3 อย่างใหญ่ๆ ได้แก่ การทำงาน 8 ชม. การนอน 8 ชม. และทำกิจกรรมอื่นๆ 8 ชม. (เช่น เดินทาง กินข้าว อาบน้ำ ออกกำลังกาย ช็อบปิ้ง …)    ตัวอย่างเช่น ในกิจกรรมการนอน  ที่รวมตั้งแต่เข้านอน กว่าจะหลับ  แม้ปกติจะนอนกันเพียง 6 ชม.   (แต่บวกลบเฉลี่ยน่าจะใช้เวลาประมาณ 8 ชม. หรือบางคนจะมากกว่านี้) ซึ่งกินเวลาในชีวิตเข้าไปถึง หนึ่งในสามส่วนของวันแล้ว  
ถ้าขยายความต่อว่า ในเวลา 21900 วัน (หรือ 60 ปี)   แสดงว่าคนเราจะนอนหลับอย่างเดียวถึง 20 ปี สำหรับคนที่มีอายุขัย 60 ปี   แสดงว่ายังไม่ได้ทำอะไรเลย  ก็กินเวลารวมเสีย   20 ปีแล้ว
 
ส่วน 40 ปีที่เหลือก็เช่นเดียวกัน  เวลาทำงาน 20 ปี และทำกิจกรรมอื่นๆเป็นเวลา 20 ปี    ด้วยเวลาที่จำกัดเท่าๆกันของทุกคนอย่างนี้      ส่วนใหญ่คนเราสูญเสียเวลาไปกับการเรียนรู้เรื่องเฉพาะสิ่งที่จะนำไปเกี่ยวข้องกับการทำมาหากินเสียมากกว่า      แต่เรื่องราวของชีวิตด้านอื่นที่ให้มุมมองได้คิดให้แง่คิด นั้นยากที่จะบอกกล่าวกันได้   นอกจากจะประสบพบเจอเข้ากับตัวเอง
ดังนั้น บทสัมภาษณ์บุคคลที่น่าสนใจ มีชื่อเสียง มีเรื่องราวที่น่ารู้   หรือบุคคลผู้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเฉพาะเรื่อง เหล่านี้  น่าจะช่วยให้ผู้อ่านได้รับรู้หรือสัมผัสได้ถึงประโยชน์ที่จะได้รับกลับมาไม่มากก็น้อย      ยิ่งในยุคสมัยนี้ (ที่คนไทยต้องกินไข่ใบละ 3.20 บาท เติมน้ำมันเบนซินลิตรละ 17.59 บาท ดีเซล 14.59 บาท หรือคราวๆว่าต้นทุนราคาข้าวราดแกงแพงขึ้นจานละ 3 สตางค์ )  ที่ถือว่าเป็นยุคแห่งข้อมูลข่าวสารแล้ว   น่าจะได้เรียนรู้และเรียนลัดเรื่องราวชีวิตจากประสบการณ์ตรงของผู้อื่นให้เป็นข้อคิดสะกิดใจบ้าง 
ซึ่งไม่ต้องอาศัยเวลาไขว้คว้าหาเนิ่นนานเกินไปและนำสิ่งที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ในแนวทางที่เหมาะสมหรืออาจเป็นอุทาหรณ์เตือนใจให้ตัวเองได้บ้าง       อาจสรุปได้ว่า การที่ได้อ่านบทสัมภาษณ์ต่างๆ เหล่านี้ก็นับได้ว่าเป็นการใช้เวลา 20 ปี (ในส่วนของกิจกรรมทั่วๆไป) ได้คุ้มค่าขึ้นบ้างก็แล้วกัน
 
หรือถ้าใครชอบนอนหลับมากๆเกินวันละ 8 ชม  ละก็  ช่วยบอกเขาทีว่า ระวังคุณจะนอนเกิน 20ปีแล้วครับ (ฮาๆๆ)
 
 
* ข้อมูลบทวิจารณ์จาก หนังสือพอกเก็ตบุ๊ค  นักสัมภาษณ์มืออาชีพ ของมนทิรา  และเสียงในความทรงจำของ วรพจน์   พันธุ์พงศ์
 
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : STILLWATER