Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

เยือนเชียงใหม่ ไต่ดอยสูง สนทนาประสานักเดินทาง กับ ‘รงค์ วงษ์สวรรค์

 

 
หากจะเอ่ยนาม ‘รงค์ วงษ์สวรรค์…
หลายคนรู้จักเขาในฐานะนักเขียน นักหนังสือพิมพ์ เจ้าของสำนวนเพรียวนมอันลือลั่น 
หลายคนรู้จักเขาในฐานะศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ พ.ศ.2539
หลายคนรู้จักเขาในฐานะฮิปปี้รุ่นเก๋า ที่ยังคงความเป็นฮิปปี้จนถึงปัจจุบัน
ขณะที่ หลายคนโดยเฉพาะวัยรุ่นที่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานกว่าหน้าหนังสือ เลิกคิ้วถามอย่างสงสัย 
 
ใคร? ‘รงค์ วงษ์สวรรค์?
 
แต่เรา…เลือกที่จะรู้จักเขา ในฐานะ “นักเดินทาง” ผู้เจนจัดในชีวิต
ผู้เคยฝากรอยเท้าไว้ทั้งในป่าคอนกรีตของแดนศิวิไลซ์ และซ่องโสเภณีซอมซ่อ
ชายวัย 75 ผู้มีมุมมองอันแหลมคม และล้ำสมัย ต่อโลก สังคม และชีวิต 
 
“ยูงทอง” ฉบับนี้ จึงมาเยือนเมืองเชียงใหม่ ไต่ดอยโป่งแยง เพื่อสนทนากับ “นักเดินทาง” ผู้เจนจัดในชีวิตผู้นี้
 
บทสนทนาของเรากับ’รงค์ วงษ์สวรรค์ เริ่มต้นจากประโยคที่เขาเป็นผู้คิดขึ้นมา “การเดินทางคือสายตาของนักเขียน” ยิ่งเมื่อเขาทราบว่า เรามาจากคณะที่ต้องเรียนเกี่ยวกับหนังสือพิมพ์ ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ ก็อธิบายความสำคัญของการเดินทางที่มีต่อนักเขียนและนักข่าวไว้อย่างน่าสนใจ
 
“เราได้เดินทางเราก็ได้เห็นโลก ถ้าคุณอยู่กับบ้านนะ คุณอยู่เชียงฮาย คุณบ่หันอ่ะหยัง ก็เห็นแม่บ้าน เดินไปมีต้นไม้กี่ต้น มีลำเหมืองกี่ลำเหมืองก็จบแล้ว ยิ่งไปก็จะยิ่งเห็นข้อเปรียบเทียบ เข้าไปในกรุงเทพครับ กรุงเทพก็ต่างจากเชียงฮายแล้ว แม่นก่อ? ใช่สิ…การเดินทางคือสายตาของนักเขียน นักเขียนมันต้องรู้อะไรมาก คือในสมัยของอา เรามีความเชื่ออย่างนี้ว่า เราต้องรู้… เดี๋ยว ต้องพูดภาษาอังกฤษ You got to know something in everything. คุณต้องรู้บางอย่างในทุกอย่าง And you got to know everything in something. และคุณต้องรู้ทุกอย่างในบางอย่าง แหม…มันไม่รู้จะพูดยังไงถูก คือ หนังสือพิมพ์น่ะ ต้องรู้มาก แต่รู้ไม่ค่อยจริง คือ know something in everything รู้บางอย่างในทุกอย่าง หรือว่ากลับกันเป็น logic นะ หรือรู้ทุกอย่างในบางอย่าง อันนี้เป็นคำ แบบคำคม เขาว่างั้นแหละ และก็เป็นความจริง ทีนี้ ถ้าอาจะไปสัมภาษณ์คนที่อยู่ในวงการน้ำมัน อาก็ไปสัมภาษณ์ได้ แต่เราไม่ค่อยรู้เรื่องน้ำมันเท่าไร แต่เราต้องไปสัมภาษณ์เขาได้ เราก็ต้องศึกษาน้ำมันคืออะไร ใช่มั้ย? มันมีบทบาทสำคัญยังไง เราก็ไปคุยกับเขาได้ แต่เราไม่รู้จริง เอาเข้าจริงเราไม่รู้เลยว่าไอ้โรงกลั่นมันทำงานกันยังไง แต่เราอาศัยปฏิภาณ เราอาศัยความฉับไวของเรา ความที่เรารับรู้อะไรไวๆ คือเราต้องเรียนรู้ไง การเดินทางคือการเรียนรู้ชนิดหนึ่ง”
 
“อาไปปักกิ่งเที่ยวแรกเลย หลังจาก ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรีไม่นาน เราไปเห็นเวลาโพล้เพล้ ชาวนาชาวสวนนอกเมืองปักกิ่ง ไปหยิบบ่ะก้วย หรือฝรั่ง(ภาษาเหนือ)ให้เราลูกหนึ่ง แล้วก็ชวนให้เรากิน แหม…เราก็รู้สึกดีใจ เขาไปเด็ดที่ต้นที่เขาปลูกไว้เอง เขาเอามาให้เรากิน เราก็ดีใจ เขาก็ดีใจ เขาก็มีน้ำใจให้เรากิน เช่นเดียวกัน อีก 10 กว่าปีต่อมา ไปโรมาเนีย ซึ่งคนละซีกโลกเลย ก็เช่นเดียวกัน พูดไม่รู้เรื่อง เป็นผู้หญิงกับผู้ชายกำลังทำสวนองุ่นอยู่ แล้วเขาก็เขียนป้ายบนกระดาษแข็ง พับสามเหลี่ยมวางไว้ริมถนนว่าองุ่นกิโลเท่าไหร่ เราก็จอดรถลงไปหาเขา ทำมือไม้อะไร โอ๊ะ…เขาก็เข้าอกเข้าใจ พาเข้าไปในสวน ปรากฏว่าคุยก็ไม่รู้เรื่อง ใบ้ๆ อย่างเนี้ย แต่ก็ถ่ายรูปร่วมกันกับเมียเรากับเรา สักเดี๋ยวพอเราจะมาขึ้นรถ หอบองุ่นมาให้ผม ถุงเท่าเนี้ย(ทำมือวงๆ) ไม่เอาตังค์ แล้วจ๊นจน จนมากๆ เลย เราก็ได้ข้อสรุปฮะ คนจนนี่เหมือนกันทั่วโลก มีจิตใจดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มนุษย์ นี่ไงคือประโยชน์ของการเดินทาง มันเป็นสายตาของเราให้เราได้เห็นว่า เอ๊ะ..คนจนนี่เหมือนกัน เช่นเดียวกับในอเมริกา ไปในสวน ไปไกลๆ จากเมืองใหญ่ๆ ในแคลิฟอร์เนีย ไปเมืองเล็กๆ เมืองที่มีการเกษตร เจอะสวนแตงโม เขาก็จะเขียนป้ายบอกไว้ กิโลเท่าไร แต่พอลงไปคุยไปคุยมานะ ซื้อชิ้นสองชิ้น ขากลับ แบกมาให้อีกลูกหนึ่งโว้ย นี่คือคนจน ถ้าคนในเมือง มันไม่มีให้ใครหรอก คนในเมืองมันมีความต่อสู้ดิ้นรนสูงไง ความเอื้อเฟื้อมันจะน้อยลงไป มันก็ได้จากการเดินทาง อาถึงได้มาคิดได้ว่า การเดินทางมันคือสายตาของเรา ไม่งั้นเราจะไม่เห็นอะไรหรอก เราจะเห็นแต่สิ่งที่เราเคยชิน จำเป็นมาก”
 
‘รงค์ วงษ์สวรรค์ เป็นนักเขียนที่เอาใจใส่กับงาน และต้องการให้ผู้อ่านได้รับประโยชน์และข้อเท็จจริงมากที่สุด เขาจึงต้องคลุกคลีกับสิ่งที่จะเขียนด้วยตัวเองเสียก่อน เพื่อความเข้าใจในสิ่งที่เขียนอย่างแท้จริง และเพื่อให้ผู้อ่านได้รู้ในสิ่งที่ไม่มีใครมองเห็น
 
“ตอนนั้นน่ะ เราจะคิดว่า อะไรที่คนเขาไม่ได้เขียน อย่างอา ตอนที่อาเริ่มทำงานหนังสือพิมพ์ใหม่ๆ อาอยู่ที่สยามรัฐ คลองในกรุงเทพก็ตื้นเขินกับสกปรก ทีนี้เราก็นึก..ใจเราต้องถามตัวเองว่า เราอยากให้คนอ่านของเรารู้อะไรบ้าง ถ้าไปถามคนที่เดินผ่านเราบนถนนในกรุงเทพ คุณรู้จักคลองอะไรบ้าง บางคนแทบไม่รู้จักเลย ถ้าคนอยู่แถวเทเวศร์ ก็อาจจะบอก ผมรู้จักคลองเทเวศร์ ใช่มั้ย ทีนี้เราต้องนั่งคิดว่า ทำไมเขาควรจะเห็นคลองในกรุงเทพบ้าง เพราะเขาไม่เคยเห็น ตื่นเช้าก็รีบออกจากบ้านไปทำงาน อยู่กระทรวงกลาโหมก็ไปกระทรวงกลาโหม อยู่กระทรวงเกษตร ก็ไปกระทรวงเกษตร อยู่ห้างร้านก็ไปห้างร้าน แต่เขาไม่เคยเห็นคลอง อย่างนี้มันก็เป็นหน้าที่ของเรา ที่จะเป็นสายตาแทนเขา ไปถ่ายรูปคลอง ซึ่งถ่ายยากมาก คลองไหนจะตื้นเขิน ไหนจะเหม็นเน่า แล้วก็ต้องเอาเรือไปนะ เอาเรือจ้างไป ปะยึบๆๆ ไป กว่าจะถ่ายรูปคลองทุกคลองในกรุงเทพได้ก็หลายวันนะ แล้วเราก็เอาภาพพวกนี้มาลงในหนังสือพิมพ์ หรือมาเขียนประกอบ คนเขาก็เห็นว่าคลองเป็นอย่างนี้นี่เอง แต่ขณะเดียวกัน คนในนราธิวาส หรือคนในเชียงรายก็ได้รู้ เขาก็เห็นว่าคลองหน้าตาอย่างนี้นี่เอง หรืออย่างสะพาน อาก็ถ่ายรูปสะพานทุกสะพานในกรุงเทพ คือเราจะเสนอสิ่งที่คนเขาไม่ทันได้มอง เข้าใจมั้ย มันจะน่ารัก คือเขาไม่เคยเห็น ก็จะได้เห็น เราเองก็ได้เห็นด้วย คือเราจะเสนอสิ่งอย่างนั้น นี่คือหน้าที่อย่างหนึ่งของนักหนังสือพิมพ์และนักเขียนนะ สิ่งที่มันซ่อนเร้นอยู่ตรงหน้านี่แหละ แต่เราไม่เคยก้มลงมอง อย่างคลองหลอด มันมีปลอกลอยอยู่ อาก็ไปถ่ายรูปเพราะแถวนั้นมันมีโสเภณีเยอะ มันก็ทิ้งcondomลงในคลอง เราก็ไปถ่าย คือว่าเราจะเสนอสิ่งที่รอบๆ ตัวเราเอง อาคิดว่ามันเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของการทำงานหนังสือพิมพ์ คิดว่าจะเสนอสิ่งที่เขามองข้าม หรือเขาไม่ทันเหลียวมอง เสนอให้เขาได้มอง แม้แต่ในตึกรัฐสภา มันยังมีอะไรที่น่าดูตั้งเยอะแยะ แต่ไม่ค่อยไปถ่ายมันออกมา เพราะเดี๋ยวนี้เราจะไปมุ่งถ่ายแต่เฉพาะนักการเมือง แต่เราลืมถ่ายไปตั้งหลายอย่าง ว่า ส้วมรัฐสภามันเป็นยังไง เหม็นฉิบหาย ข้างหน้าคุยถึงเรื่องเงินแสนล้าน งบประมาณ แต่ส้วมเหม็นเยี่ยวหึ่งเลย เข้าใจมั้ย นี่คือวิธีของอา อาจะนำเสนอสิ่งที่คนเขามองข้าม”
 
สนิมสร้อย บทประพันธ์ที่’รงค์ วงษ์สวรรค์ เขียนขึ้นจากประสบการณ์ในการเข้าไปคลุกคลีในซ่องโสเภณี การได้เข้าไปสัมผัสกลุ่มคนที่สังคมดูหมิ่นอย่างใกล้ชิด ทำให้เขาให้เกียรติโสเภณีในฐานะ “ผู้เสียสละ”
 
“ เช่นเดียวกับสนิมสร้อย ผู้หญิงโสเภณีเป็นความจำเป็นในสังคมมาก เป็นความต้องการเลยในสังคม โดยเฉพาะในสังคมประเทศซึ่ง การพัฒนายังไม่… คือเรียกว่าอะไรล่ะ ในสังคมที่ยังไม่อนุญาตให้คนแต่งงานได้ ไม่อนุญาต หมายความว่า รายได้มันไม่อนุญาต คือคนไม่สามารถที่จะมีเงิน มีเมียได้ คนก็ต้องพึ่งโสเภณี อาถึงยกย่องผู้หญิงโสเภณี ถ้าไม่มีโสเภณีนะ สังคมจะปั่นป่วนแค่ไหน คดี sex criminal จะต้องสูงมากเลย โสเภณีเป็นเรื่องสำคัญมากในสังคม ซึ่งใครจะประณามหยามเหยียด อาจะต่อสู้เพื่อเขา อาถึงคิดเขียนเรื่องสนิมสร้อย โสเภณีอีกระดับหนึ่ง อีกแบบหนึ่งของสังคม เพราะโสเภณีมีคุณูปการ ลองนึกภาพสิ ประเทศที่ไม่มีโสเภณี คนงานจบปริญญาแล้วเงินเดือน 7500 ยังแต่งงานไม่ได้ ต้องพึ่งโสเภณี ใช่มั้ยล่ะ? แต่งกับมือได้เหรอ มือเปื่อย”
 
เรื่องเพศ เป็นสิ่งที่สังคมไทยพยายามปกปิด และหลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึง ปัญหาเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่น มีบ่อเกิดมาจากความไม่เข้าใจ ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ จึงให้ความสำคัญกับเรื่องเพศ และแสดงออกอย่างชัดเจนในงานเขียนและการให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องเพศที่ตรงไปตรงมา 
 
“เรื่อง sex education นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก แล้วเราก็ไม่เคยสอนจริงจัง เด็กผู้หญิงเดี๋ยวนี้ ยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรตั้งหลายอย่าง เป็นเหยื่อของคนที่จะเป็นนักข่มขืน เด็กผู้หญิงไม่ได้ถูกสอน อย่างเด็กอเมริกา เด็กผู้หญิงจะถูกสอนว่า ถ้าถูกผู้ชายข่มขืนให้ชักว่าวเลย พอชักว่าวเสร็จ มันก็ไม่มีแรงข่มขืนแล้ว เด็กผู้หญิงจะไม่เป็นเหยื่อ แต่เมืองไทยพอสอนก็หาว่าหยาบ พอสอนก็หาว่าคนพูดน่ะหยาบ….ช่วยไม่ได้ เราก็ต้องนั่งมองดูเด็กเราโดนข่มขืนอยู่เรื่อย น่าสงสาร มันควรจะพูดกันเป็นเรื่องเป็นราว เด็กผู้หญิงจะได้รู้จักป้องกันตัว ไม่ควรจะไปในที่ไหน ควรจะแต่งตัวรัดกุมอะไรยังงี้นะ อย่างทุกวันนี้เด็กผู้หญิงแต่งตัวตามแฟชั่นมากเกินไป แล้วอันตราย อันตรายจริงๆ เพราะว่าไอ้ความกำหนัดมันเกิดขึ้นด้วยหลายสาเหตุ หนึ่งความมึนเมา สองความท้าทาย สามโดยแท้จริงคือธรรมชาติความต้องการ”
 
“อาพยายามต่อสู้เพราะ เด็กผู้หญิงผู้ชาย ควรจะมีเวลารักกัน จะรักแบบหมา puppy love ก็ตามใจ เพราะยังเด็กอยู่ แต่ว่าเมื่อถึงเวลาจะต้องไปสมสู่กัน คุณสมสู่กันด้วยกิริยางดงามหรือความถูกต้อง ควรจะเรียนรู้ว่าจะรักษาความสะอาดของร่างกายยังไง จะป้องกันไม่ให้มีท้องยังไง จะป้องกันไม่ให้มีเชื้อโรคยังไง ผู้หญิงโดนตบตั้งหลายคน เพราะว่าอวัยวะเหม็น ไม่รู้จักล้างให้สะอาด เราควรจะสอนเขาปฏิบัติการด้วยความงดงาม แต่เราไม่ได้ถือว่าพรหมจรรย์เป็นเครื่องแห่งการยกย่อง ไม่แต่งงานก็ได้ แต่พออายุสัก 19-20 ไปเจอะผู้ชายสักคน ที่มีความเป็นผู้ใหญ่ด้วยกันทั้งคู่ มีความคิดที่จะสร้างชีวิต เขาอาจจะแต่งงานกันก็ได้ แปลกอะไร แต่เมื่อคนตะวันออกถือว่าพรหมจรรย์เป็นของสูงสุด อันนี้มันความเห็นแก่ตัวของผู้ชาย ผู้หญิงเสียพรหมจรรย์ แล้วผู้ชายบอกไม่ยอม ไม่ได้ แล้วทีตัวเองล่ะ ตัวเองเที่ยวจิ้มเปรอะไปหมดเลย อันนี้มันไม่ยุติธรรมกับผู้หญิง การเสียพรหมจรรย์ก็ไม่ได้แปลว่าเขาเสียหายอะไรนี่ เพราะว่ามันไม่ใช่แค่การสวมสอดเข้าไปแค่นั้นเอง มันต้องมีอย่างอื่นประกอบ ทำให้อารมณ์เราดี ทำให้จิตใจเรางดงาม หรือทำให้เรามีความสุขที่สมบูรณ์ ผู้ชายไทยจำนวนไม่ใช่น้อยเลยที่เอาแต่ใจตัวเอง เพราะว่าไม่ได้ถูกฝึกอบรมมาเหมือนกัน ไม่ได้ถูกฝึกอบรมมาว่า ผู้หญิงเขาจะต้องมีความสุขด้วย พอตัวเองเสร็จปั๊บ…เปล่าเลย เมียนอนอ้างว้าง เมียหิวโหยอยู่ เสร็จแล้วเมียก็ต้องมีชู้ มีชู้ก็กลายเป็นปัญหาสังคมอีก เรื่องการอบรมเป็นเรื่องสำคัญมาก สำคัญจริงๆ นะ มันต้องอบรมมาตั้งแต่เด็กเลย ให้เห็นความงดงาม อย่าไปคิดว่าเป็นความชั่วร้าย เมื่อหลายสิบปีแล้ว อากลับจากอเมริกาใหม่ๆ ก็มีสมาคม P&T Parent & Teacher สมาคมครูและผู้ปกครอง เขาเคยเชิญให้ไปสัมมนา มันมีโจทย์ขึ้นมาว่า ถ้าลูกสาวเราถูกข่มขืน เราจะทำยังไง โจทย์บนเวทีสัมมนานะ ถ้าลูกสาวเราซึ่งเรียน ม.4 ม.5 ถูกข่มขืนเราจะทำยังไง อาก็ตอบเขา ให้ถามตัวเองก่อนว่า ถ้าเราอยากจะมีหลานไว้อุ้มเล่นสักคนหนึ่ง ให้เอาเด็กนักเรียน ม.4 คนนี้ไปซ่อนไว้ที่ไหนให้แกท้อง แล้วก็มีลูกออกมา เราก็มีหลานไว้อุ้ม แล้วก็เอาแกมาเรียนหนังสืออย่างเก่า สองถ้าเราไม่อยากมีหลาน เพราะฐานะการเงินเราไม่สู้ดี เราก็ต้องพาแกไปทำแท้ง แล้วก็เอาแกมาเรียนหนังสือต่อไปตามปกติ สามห้ามเฆี่ยนตีเด็กผู้หญิงคนนั้น อย่าถือว่าเป็นอาชญากรรม การไปนอนกับผู้ชายแล้วมีท้องจะต้องปลอบโยน เพราะถ้าเด็กถูกอบรมแล้วว่ากามารมณ์มันเป็นเรื่องงดงาม มันก็ไม่ได้เจ็บปวดอะไร แต่ไอ้การโดนข่มขืนยังไงก็ไม่งดงาม มันดูเป็นการทำร้าย เราก็ต้องปลอบโยนลูกสาวเราว่า ไม่เป็นไร มีการแพทย์ที่ดีนะ เย็บแผลฉีกขาด แล้วจิตใจก็กล่อมเกลาด้วยตัวเราเองนี่แหละ ไม่ต้องอาศัยจิตแพทย์อะไรหรอก ให้เด็กมีกำลังใจสู้ต่อไป อาพูดอย่างนี้ คนแก่ผู้หญิงที่นั่งฟังตกอกตกใจหมดเลย บอกอาพูดรุนแรง อาบอกมันรุนแรงอะไร มันเรื่องธรรมดา แล้วคุณจะทำไง คุณตีลูกเหรอ ด่าลูกเหรอ อีเลว อีลูกไม่รักดี ผู้หญิงก็ยิ่งไปใหญ่เลย เตลิดเปิดเปิง”
 
หลายคนอาจจะเข้าใจว่า นักเขียนต้องจำกัดพื้นที่การทำงานอยู่แต่ในที่เงียบๆ แต่สำหรับ ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ ความเงียบกลับเป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการระหว่างทำงาน และสถานที่ทำงานของเขาก็ไม่ได้จำกัดอยู่แค่บนโต๊ะหนังสือเท่านั้น
 
“มันอาจจะเป็นเมื่อเริ่มต้นชีวิตทำงานหนังสือพิมพ์ เขียนก็เขียนในโรงพิมพ์หมด เขียนในที่อึกทึก คนเดินไปเดินมา เรานั่งเขียนหนังสือ เรามีconcentrate เรามีสมาธิ ฉะนั้นอาจะเขียนหนังสือได้ ในรถ ในเรือ ในเครื่องบิน อาเอาพิมพ์ดีดขึ้นไปเลย อามีพิมพ์ดีดเครื่องแค่นี้(ทำมือกว้างประมาณ1ฟุต) ซื้อมาจากอังกฤษ นั่งพิมพ์มา เพราะเป็นโรคนอนไม่หลับเวลาเดินทาง เขียนหนังสือง่ายที่สุด คือเขียนในที่คนเยอะๆ นั่งเขียนในร้านกาแฟ กินกาแฟ ดูดบุหรี่ไป เขียนหนังสือไป เขียนเสร็จก็เอาไปขาย ทีนี้ถ้าเงียบๆนะ มันเพ้อเจ้อ พอนั่งเงียบๆ มันจะเลื่อนลอย ปกติอาอยู่ตรงนี้ อาต้องเปิดวิทยุทั้งวัน เปิดทั้งวันทั้งคืนที่ทำงาน แล้วก็เปิดเพลง แต่เปิดเพลงก็ไม่ได้ ถ้าเพลงดีๆลืมเลย ฟังแต่เพลง ไม่ได้เขียนหนังสือเลย ถ้าเพลงมันๆ ที่เราชอบนะ หยุดเลย ฟังเพลง เปิดวิทยุนี่ดีที่สุด….มันพูด ยิ่งเอเอ็มยิ่งชอบเลย พูดเรื่องชาวนาชาวไร่ อะไรก็ว่ากันไป ฟังเพลงลูกทุ่ง ขอเพลง เราเปิดแต่เราไม่ได้ฟังหรอก ปล่อยให้มันผ่านหูไปมันเป็นnoiseเท่านั้นเอง มันไม่ใช่voice มันเป็นเสียงผ่านหู แต่บางคนก็ต้องเงียบมาก ถึงจะเขียนหนังสือได้ ต้องเงียบเลย เราไม่ได้ ถ้าเงียบแล้วเราเพ้อเลย เราคิดอะไรเรื่อยเฉื่อยไปเลย แม้แต่เพลงอย่างว่า ก็เปิดวิทยุเอเอ็มดีที่สุด คือเขาพูดในสิ่งที่เราไม่ค่อยสนใจเท่าไร แต่ขอให้มันมีอะไร ให้รู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียว รู้สึกว่าเรายังอยู่กับใครต่อใคร แล้วเราก็ทำงานเราไป มีเพื่อนคนหนึ่งนะ เพื่อนที่รักกันมาก อายุเท่าๆกัน 75 แล้ว เขามาเยี่ยมเราที่นี่ แล้วก็นั่งคุยกัน เขาพูดอะไรที่เราตกใจมากเลย บ้านเขาอยู่ที่ไหนรู้มั้ย บ้านอยู่คลองถม เป็นเจ้าของตึกแถวคลองถมตั้งหลายหลัง นั่งคุยๆกันอยู่ตรงนี้ เมียก็ทำกับข้าว เขาพูดว่า ‘รงค์ๆถ้านายกับเราไม่ได้คุยกัน ไม่มีเสียงอะไรเลยใช่มั้ยในนี้? เขาพูดนี่ใจหายวูบเลย เขาพูดแบบคนกรุงเทพจริงๆ ถ้าเราไม่ได้คุยกัน ก็ไม่มีเสียงอะไรเลยนะ ไม่มีจริงๆ นอกจากเสียงอย่างนี้ มันเงียบไง เรานี่เงียบไม่ได้ กลางคืนก็เปิดวิทยุจนสว่างเลย เข้านอนก็เปิดวิทยุ แล้วเดี๋ยวก็หลับ เพราะเป็นคนที่หลับง่าย แต่ต้องเปิดไว้ทั้งคืน พอตื่นมาต้องได้ยินเสียงวิทยุ มันพูดอะไรก็ไม่รู้มัน แค่นั้น ถ้าเงียบมากๆ มันก็จะเพ้อเจ้อไปเรื่อย เงียบมากไม่ได้ มันอยู่ที่การฝึกฝนเริ่มต้น เพราะเราฝึกในโรงพิมพ์ ซึ่งเสียงคน เสียงคนเดิน เสียงเครื่องจักร เสียงอะไรต่ออะไร แล้วเราก็ทำงานได้ ถ้าอยู่นิ่งๆก็เปิดวิทยุ สำคัญที่สุด”
 
ถึงแม้ ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ จะทนทานต่อชีวิตที่ยากลำบากจนมาเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งในประเทศไทย แต่ความเสื่อมไปตามกาลของร่างกายก็เป็นสิ่งที่ไม่มีใครหนีพ้นได้ กว่า 7 ปี ที่โรคไตคุกคามชีวิตของพญาอินทรี แต่จิตใจที่เข้มแข็งก็ฉายผ่านแววตาของนักเขียนและนักเดินทางวัย 75 ผู้นี้ ตลอดเวลาของการสนทนา
 
“เมื่อเป็น 2 ปีแรก….ปวดร้าว เจ็บปวดหัวใจมาก ทำไมต้องเป็นเรา มันเป็นโรคที่เสียเงินมาก มันเป็นโรคที่ไม่ใช่รักษานะ มันเป็นการไปบำบัดให้มันต่อชีวิตไป ถ้าเราไม่ไปฟอกไตเราก็ตาย ก็มีผล 2ปีแรกทำอะไรไม่ได้ หยิบดินสอก็ดินสอหล่น ไม่มีแรง หยิบแปรงสีฟัน แปรงสีฟันก็หล่น 2ปีแรก มันรู้สึกปวดร้าวทรมาน ว่าทำไมต้องเป็นเรา โชคร้ายมาก แต่หลังจากเชื่อฟังหมอ แล้วปฏิบัติตามคำสั่งของหมอ นี่ปีที่7แล้ว มันก็ดีขึ้นเป็นลำดับ แต่มันไม่ใช่หายนะครับ หายก็นอกจากเปลี่ยนไต ลูกชายก็จะให้เปลี่ยนไตคนละใบ เพียงแต่อาเห็นว่ามันไม่ยุติธรรมกับชีวิตของเขาที่เป็นหนุ่ม เขาจะต้องเติบโตไป เราไม่ควรจะเอาไตเขามา เราฟอกไปเรื่อยๆ กี่ปีตายก็ช่างมัน แต่ว่า พอหลังจากปีที่สองแล้ว ทำงานได้ตามปกติ ยังเขียนหนังสือได้ ก็เริ่มมาเขียนหนังสือใหม่ เดี๋ยวนี้ก็ทำงานตามปกติแล้ว ทำเหมือนกับเมื่อยังไม่เป็น ใจก็สงบ คือไม่มานั่งสาปแช่งตัวเองว่าทำไมโชคร้ายที่เป็นโรคนี้ ค่ารักษามันแพงมาก เดือนค่ารักษาแสนกว่าบาท ต้องจ่ายไปนี่ เออ…ค่ายาห้าหมื่นกว่าบาท ค่าฟอกไตสิบครั้ง ครั้งละห้าพัน เป็นห้าหมื่น แสนกว่าบาท แต่บังเอิญลูกชายส่งมาช่วยด้วย”
 
ด้วยสุขภาพที่ไม่เอื้ออำนวย ถึงขนาดไม่สามารถเดินทางโดยเครื่องบินได้ บวกกับงานเขียนที่ต้องสะสางจำนวนมากในแต่ละเดือน เราสงสัยว่านักเดินทางตัวยงอย่าง’รงค์ จะยังอยากออกเดินทางอยู่หรือไม่? คำตอบที่ได้ทำให้เราต้องอมยิ้ม เมื่อรู้ถึงความฝันของนักเขียนผู้นี้
 
“อยาก เคยใฝ่ฝันแบบโง่ๆ ว่าจะเดินทางไปในอวกาศสักครั้ง เป็นไปไม่ได้แล้ว เดี๋ยวนี้เดินทางไปในกรุงเทพ ยังลำบากเลย หมอไม่อยากให้เดินทาง”
 
“เขากลัวความดัน มันจะรบกวน เดี๋ยวมันช็อก ช็อกแล้วมันตายเลย ไม่เป็นไรหรอก ถึงเดี๋ยวนี้ไม่ได้เดินทาง มันก็มีองค์ประกอบในชีวิตที่ช่วยเยอะ ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือ หนังสือท่องเที่ยวดีๆ สนุก รายการโทรทัศน์ดีๆ ก็สนุก รายการท่องเที่ยว แต่มันน่าเสียดาย ที่ส่วนมากเป็นรายการของประเทศอื่น รายการของเรากันเองค่อนข้างจะหายาก ที่ดีๆนะ มันทำไม่ถึง อะไร เมื่อก่อนก็มีของ ดร.สมเกียรตินั่นก็โอเค ดีมากนะ ชุดที่ ดร.สมเกียรติทำ(พาโนรามา) นั่นดีทีเดียว แล้วก็มีนักเขียนหลายคนเกิดขึ้น มีหลายคนที่เป็นลูกศิษย์ของ ดร.สมเกียรติ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมี กลายเป็นทำชื่อตลกโปกฮาไป มันก็มีเหมือนกันน่ะ แต่ว่ามันกลายเป็นตลกๆ ไป สารคดี ดีๆ นี่มันดูแล้วให้ความสุขมาก เคยใฝ่ฝันว่าตัวเองอยากจะทำรายการสารคดีโทรทัศน์ ใฝ่ฝันไว้ แต่มันก็เลิกล้มความคิดนี้มานานแล้ว การท่องเที่ยวนี่มันดีจริงๆ”
 
การมาพบกับ’รงค์ วงษ์สวรรค์ในครั้งนี้ เหมือนเป็นการเปิดหูเปิดตา ทำให้เราเชื่อว่า การเดินทาง ไม่เคยสูญเปล่า เพราะอย่างน้อยการเดินทางทุกการเดินทาง ย่อมมีเรื่องราว และเรื่องราวเหล่านั้นคือบทเรียนที่ทรงคุณค่า ที่ไม่สามารถหาได้จากตำราเล่มใด
          นอกจาก เปิดตา เปิดใจ และเรียนรู้ชีวิตจากการเดินทาง………….สิ่งที่เติมเต็มความเข้าใจในโลกให้กับมนุษย์ 
 
ตีพิมพ์ในนิตยสาร ยูงทอง ของคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ฉบับปีที่ 43 “ รักเดินทาง ” พ.ศ.2550