เมื่อท่านพุทธทาส เริ่มงานหนังสือพิมพ์และชีวิตนักเขียน

อาจารย์ครับ ระหว่างการปลุกปั้นพระเณรกับการทำงานหนังสือ งานอย่างไหนสนุกกว่ากันครับ
สมัยนั้นเราก็ทำไปพร้อมกัน เราไม่ได้ละการทำหนังสือ การทำหนังสือนี้เรียกได้ว่าเราทำมาตลอด จนมาอยู่ที่นี่ มาตอนปลาย ๆ นี่จึงเลิกทำ มันไม่ใช่สนุกแบบที่เขาสนุกกัน สนุกอีกชนิดหนึ่ง ที่ได้ทำเรื่องที่ยาก พอรู้สึกว่าได้ทำเรื่องที่ยากรู้สึกสนุก ไม่ใช่สนุกแบบเฮฮา การฝึกพระเณร เมื่อรู้สึกไม่ได้ผลเราก็เลิก
ตอนอยู่สวนโมกข์เก่านี่ อาจารย์แบ่งเวลาในการใช้ชีวิตอย่างไรครับ
ไม่มีหลักอะไร ทำตามความสะดวก ตามที่มันจะมีอะไรขึ้นมาให้ทำ แล้วแต่เวลาไหนสะดวก จะค้นคว้าหนังสือก็สะดวกเวลากลางคืน กลางคืนอ่านหนังสือได้นานพอสมควรไม่มีใครรบกวน กลางวันมักจะมีคนไปมา มีนั่นมีนี่ทำ สนุกกันไป กลางคืนค้นคว้าพระไตรปิฎกเป็นส่วนมาก ไปยืมมาจากวัดพระธาตุฯ ของตัวเองก็มีบ้าง พอได้เค้าเงื่อนที่จะแปลก็เลือกออกมาแปล เลือกสูตรที่ดี ๆ แปลก ๆ น่าเผยแพร่ พอง่วงก็เลิก ทำสมาธิแล้วก็นอน
อาจารย์ครับ ดูเหมือนอาจารย์จะตั้งใจทำงานเผยแพร่แรงขึ้น ๆ กว่าการปฏิบัติธรรม
ใช่แล้ว งานเผยแพร่นั้นทำให้ตั้งใจแรงขึ้น ๆ เพราะต้องทำให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป แล้วก็เลยหันมาสนุกกับเรื่องเผยแผ่ เรื่องการปฏิบัตินั้นเรียกว่ามีพอรักษาตัว รักษาเนื้อรักษาตัว พูดตามสำนวนภาษาปักษ์ใต้ เรียกว่ามีพอรักษาหลุง ไอ้หลุงก็คือที่ที่วัวควายมันนอน มันหวงที่ตรงนั้น มันคุ้มครองรักษา รักษาหลุงไม่ให้ใครมาดูหมิ่นได้ ก็เรียกว่าปฏิบัติเท่าที่จำเป็น แล้วเราก็ทำให้การปฏิบัตินั้นมีอยู่ในการศึกษาค้นคว้า มันจึงกลายเป็นเรื่องเดียวกันไป การเผยแผ่นั้นก็มุ่งเรื่องการทำหนังสือเขียนหนังสือเป็นหลัก เป็นอันดับหนึ่ง เรื่องการเทศน์ก็กลายเป็นเรื่องสมัครเล่นไป ใครนิมนต์ก็ไปบ้าง แต่มันไม่ใช่การเทศน์แบบเดิม ๆ คนฟังจะรู้สึกแปลก มันเป็นเรื่องการบรรยายเรื่องที่ทันสมัยไป ใช้สำนวนเปรียบเทียบสมัยใหม่ ไม่ใช่สำนวนชาดกเหมือนเมื่อบวชใหม่ ๆ
อาจารย์ครับ ตอนคิดจะทำหนังสือพิมพ์พุทธสาสนานี่ ปรารภกันว่าอย่างไรครับ
ก็เพื่อแถลงกิจการ เพราะเราคิดจะตั้งคณะธรรมทานและสวนโมกข์ ก็จำเป็นต้องมีเครื่องมือสำหรับจะโฆษณาหรือติดต่อ จึงจำเป็นจะต้องมีหนังสือพิมพ์เล็ก ๆ สักฉบับหนึ่ง จึงจัดขึ้นเหมือนอย่างเป็นเครื่องมือโฆษณาตัวเองอย่างนั้นแหละ
อีกส่วนหนึ่งก็เป็นการเผยแพร่ธรรมะเป็นบุญเป็นกุศล รวมกันเข้าทั้งสองส่วนก็เป็นหนังสือพิมพ์พุทธสาสนา เท่าที่จำได้ระหว่างนั้น ในเมืองไทยเราไม่มีหนังสือพิมพ์ทางพุทธศาสนาโดยเฉพาะออกมา ก่อนนั้นเคยมีธรรมจักษุออกอยู่สมัยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า (กรมพระยาวชิรญาณวโรรส) พอสิ้นท่านก็หยุดไป เอ้อ ดูจะมีก็แต่แถลงการณ์คณะสงฆ์เป็นหนังสือทางศาสนา (หัวเราะ) แต่ไม่ได้เป็นหนังสือทางหลักวิชาอะไร พอหนังสือพิมพ์พุทธสาสนาออกมา เขาก็ฉุกคิดกันขึ้นมา แม้บ้านนอกก็ยังมี กรุงเทพฯ ก็ควรจะมี ต่อมาไม่นานธรรมจักษุก็ฟื้นขึ้นมา และมีพุทธจักรตามออกมา
ใครเป็นต้นคิดครับ อาจารย์หรือว่าโยมธรรมทาส
เป็นความเห็นตรงกันว่าจะต้องมีเครื่องมือ ใครจะเป็นคนพูดทีแรก ผมไม่ได้จำ จำไม่ได้ จะเป็นนายธรรมทาสเสียมากกว่า เพราะเขามีความคิดก้าวหน้ากว่าผมในเรื่องอย่างนี้ เขาอ่านหนังสือต่างประเทศ ซึ่งมีการออกหนังสือพิมพ์ทางพุทธศาสนาไม่น้อยกว่า ๔-๕ ฉบับ ที่อังกฤษก็มี ที่ฮาวายก็มี ที่ลังกาก็มี ที่อินเดียก็มี ที่ญี่ปุ่นก็มี ที่พม่าตอนนั้นดูเหมือนจะไม่มี ที่อังกฤษชุดแรกสุดดูจะเป็น Buddhist Review ต่อมามี Buddhism in England แล้ว British Buddhists ก็เคยมีอยู่ต่อมาจนเป็น The Middle Way ถึงทุกวันนี้
เมื่อคิดจะทำกัน ก็ให้นายธรรมทาสเป็นบรรณาธิการตามกฎหมาย ผมเป็นคนวางโครงหนังสือว่าจะมีอะไรบ้าง แบ่งออกเป็น ๓ ภาค ภาคทั่วไป ภาคพระไตรปิฎก แล้วก็ภาคปฏิบัติธรรม กระทั่งออกแบบภาพปก ๓ ภาพนั้น ผมเป็นคนวาง (หัวเราะ) แล้วให้ช่างทำบล๊อกทำให้ที่กรุงเทพฯ เราร่างว่าจะเอาอย่างนี้ ๆ เขาก็ช่วยทำให้ เราเองเขียนไม่ได้ดอกขนาดนั้น
ชื่อพุทธสาสนา นายธรรมทาสก็เป็นคนตั้ง พุทธสาสนา แล้วก็ต้องมีรายตรีมาสต่อท้ายหน่อย ที่ใช้ "ส" สะกดนั้นก็เพราะแรก ๆ เราคิดจะ เฮ่อะ ๆ อะไรล่ะ ปฏิวัติไอ้คำที่มาจากสันสกฤตเสียให้เป็นภาษาบาลีหมด จึงมีมนุสส์ มีสาสนา แบบชาตินิยม ภาษาบาลีมันของพุทธ สันสกฤตมันไม่ใช่พุทธนี่ ทำไปได้พักเดียวแหละก็ไปไม่รอด แล้วมันก็ไม่เหมาะ เพราะภาษาไทยมันตายตัว มันลงตัวอยู่แล้ว แต่เดี๋ยวนี้หมดความคิดชนิดนี้แล้ว สมัยนั้นภาษาเราก็ใช้ตามที่เขามีกันอยู่เป็นส่วนมาก แต่นอกจากเรื่องบาลีสันสกฤตแล้ว เราก็นิยมภาษาสำนวนที่ใช้กันอยู่ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ด้วย ดังนั้น ถ้าเราไม่เห็นด้วยกับที่เขาใช้กันอยู่บ้าง เราก็ไม่เอา คือเราไม่เคารพพจนานุกรมเสมอไป
แรกสุดจัดพิมพ์กันอย่างไรครับ
ไม่มีอะไรพิเศษพิสดาร คือพอเขียนต้นฉบับเสร็จ ได้ต้นฉบับถูกต้องเพียงพอแล้ว ผมก็เอาขึ้นไปจ้างโรงพิมพ์สยามพานิชการที่สีลมพิมพ์ ผมควบคุมอยู่เองจนเสร็จ พิมพ์เป็นแผ่น ๆ ขนาดพับ ๒ ทีก็ได้เท่าขนาด ๘ หน้ายก แล้วก็เอาลงมาพับ มาเย็บเล่มเองด้วยมือที่นี่ ปิดปกที่นี่ แล้วตัดข้าง เฮ่อะ ๆ ๆ ด้วยเครื่องตัดกระดาษถ่ายรูปขนาดใหญ่ เฮ่อะ ๆ ๆ น่าสงสาร ต้องพยายามในครั้งแรก ตัดทีละภาค เล่มหนึ่งมี ๓ ภาค มันก็บาง ๆ ไม่หนานักแต่ละภาค
ผมก็ต้องขึ้นไปคุมอย่างนี้จนเสร็จ ครั้งหนึ่งก็อาทิตย์ ๒ อาทิตย์ พักวัดปทุมคงคา เสร็จแล้วก็ส่งลงมาทางเรือ ทางโรงพิมพ์เขาก็ทำให้เร็ว เขาเห็นเป็นการบุญการกุศล เอื้อเฟื้อความสะดวกทุกอย่าง ครั้งหนึ่งไปเกิดทะเลาะกับผู้จัดการของโรงพิมพ์ซึ่งเป็นมุสลิม คือเจ้าของโรงพิมพ์เขาเป็นไทย แต่เขาจ้างคนมุสลิมมาเป็นผู้จัดการ ชื่อ ม.อิสไมล เกิดไปกระทบกันเข้า ผมไปหาว่าครั้งหลังที่มันช้าและขลุกขลัก เพราะว่าผู้จัดการน่ะแกล้ง หึ ๆ ๆ เขาเลยโกรธ เลยเขียนด่ามา เขียนจดหมายตามมาด่า เขียนอย่างเอาจริงเอาจัง เซ็นชื่อกำกับทุกหน้า หึ ๆ ๆ หลายหน้า หกเจ็ดหน้า ผมไม่ได้ทะเลาะอะไร เขาโกรธมากเขาก็ด่าเอา เป็นจดหมายที่แปลกที่สุด คงตายไปแล้ว โมโหจัด เขาก็ออกหนังสือพิมพ์อยู่ฉบับหนึ่งเหมือนกัน หนังสือชื่ออะไรก็ลืมแล้ว โดยใช้โรงพิมพ์นั้นเอง แล้วพวกคนงานน่ะมันคล้าย ๆ กับแอนตี้ มาสนใจทำให้เราก่อน แกล้งปล่อยให้ของเขาชักช้า (หัวเราะ) ก็เลยไม่ชอบหน้ากันมากขึ้น ไอ้เด็กเรียงพิมพ์มันก็แปลก ไม่ชอบหน้าผู้จัดการ แต่เจ้าของแท้เขาเป็นไทย ชื่อนายอะไรความจำลืมหมดแล้ว ก่อนนี้เคยคล่องปาก
พอเสร็จแล้วส่งออกแจกจ่ายอย่างไรครับ ไม่รู้จักใครมาก่อนเลย
ขอความช่วยเหลือจากไทยเขษมรายสัปดาห์ ไม่ใช่รายเดือนนะ รายสัปดาห์เขามีอยู่ต่างหาก พอดีเขาเห็นด้วย เขาสงสาร ก็ช่วยเหลือทำให้ โดยการพิมพ์เป็นคูปองลงในนั้น ใครอยากได้ก็ฉีกส่งมาพร้อมแสตมป์ เราก็ส่งหนังสือให้เปล่า (หัวเราะ) คงส่งมาหลายร้อยรายก็รู้จักกันกว้างขวางขึ้น จนกระทั่งมีการบอกรับ ต่อมามีสมาชิกตั้งพันกว่า
ไอ้ตอนนั้น มันเป็นที่น่าประหลาด หรือเป็นของแปลกมากสำหรับประชาชน หนังสือพิมพ์พุทธสาสนาบ้า ๆ บอ ๆ ออกที่บ้านนอก (หัวเราะ) มันมีอะไรที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ก็เป็นเรื่องที่อยากจะลองดู
ทางไทยเขษมนี่อาจารย์ติดต่อกันอย่างไรครับ
เปล่า ผมไม่รู้จัก นายธรรมทาสเขาติดต่อ แต่ผมเคยไปเยี่ยม คุณหญิงคชเสนีย์ เพราะแกนิมนต์ไป คล้าย ๆ ไปฉันเพล ก่อนนั้นเขาก็เคยเป็นคนธรรมดาอยู่แถวนี้ แล้วไปได้สามีเป็นพระยา คนในครอบครัวนี้แหละเป็นเจ้าของไทยเขษม
พุทธสาสนาที่ไม่ได้วางตลาด ไปฝากจำหน่ายที่มหามกุฏแห่งเดียว สมาชิกส่วนใหญ่จะเป็นคนกรุงเทพฯ แต่ผมไม่เคยขอดูรายชื่อเลย นักศึกษาปัญญาชนมันมีที่กรุงเทพฯ มาก แม้เดี๋ยวนี้ คนที่อ่านหนังสือของเรา ก็เป็นคนที่กรุงเทพฯ มาก
อาจารย์ครับ แล้วต่อมา มามีโรงพิมพ์เองได้อย่างไรครับ
ขึ้น ๆ ลง ๆ มันไม่สะดวก ค่าส่งก็แพง ก็คิดจะมีโรงพิมพ์เล็ก ๆ เอง พิมพ์กรุงเทพฯ อยู่ ๑ ปี ทั้งหมด ๔ เล่ม (๒๔๗๖) พอขึ้นปีที่ ๒ เล่มที่ ๑ ก็มาพิมพ์ที่นี่ เจ้าของโรงพิมพ์เล็ก ๆ แห่งหนึ่งแถวบำรุงเมือง ชื่อนายจำปา เขาช่วยหาซื้อเครื่องพิมพ์ให้ยี่ห้อทิ๊บท๊อบ ราคาไม่กี่ร้อยบาท ใช้แรงคนพิมพ์ได้ทีละ ๒ หน้า พิมพ์รูปได้ด้วย ใช้อยู่ตั้งราว ๒๐ ปี คุณชำนาญ (ลือประเสริฐ) จึงหาเจ้ามือซื้อเครื่องใหม่ได้ พร้อมแท่นตัดกระดาษ ราคา ๒ หมื่นกว่าบาท ผู้บริจาคคือคุณแดง แต้สุจิ ขอให้ผมขึ้นไปพบที่วัดธาตุทอง มีคุณชำนาญนั่นแหละเป็นไวยาวัจกร คุณนายแดงคงเป็นอุบาสิกาประจำวัดนั้น
คนเรียงพิมพ์ตอนแรกเป็นอย่างไรครับ
ผมพาเด็กคนหนึ่งชื่อประสิทธิ์ เคยเป็นเณรไปอยู่กับผมที่วัดปทุมคงคา ตอนหลังสึกกลับมาอยู่บ้าน ผมพาขึ้นไปฝากหัดเรียงพิมพ์ที่โรงพิมพ์นายจำปา ที่นั้นเขาหล่อตัวพิมพ์ขายด้วย และทำงานเป็นโรงพิมพ์เล็ก ๆ อยู่ด้วย ผมพานายประสิทธิ์ไปฝาก ๓ เดือน กลับมาก็สามารถเปิดโรงพิมพ์ได้ คนเรียงพิมพ์คนเดียวก็พอ หลัง ๆ นี่บางคราว ๒ คนก็มี เราไม่ได้พิมพ์หนังสืออะไรมากมาย พิมพ์ให้หนังสือพิมพ์พุทธสาสนาอยู่ได้เท่านั้น
ระยะต่อมาเคยคิดจะพิมพ์ใบลาน หนังสือเทศน์จากใบลาน ซื้อเครื่องสำหรับพิมพ์แบบนี้มาแล้ว จากโรงพิมพ์ของ ส.ธรรมภักดี แต่โล ๆ เล ๆ ก็ไม่ได้พิมพ์ ปล่อยให้เครื่องขึ้นสนิมอยู่จนบัดนี้ เคยฝากให้คุณจำเนียร รัตนมีศรี ไปพิมพ์ฟรี ๆ ที่บ้านดอนก็ยังไม่เอา
ตอนนั้นผู้ว่าราชการ คล้าย จิตพิทักษ์ ตอนยังเป็นผู้ว่าอยู่ที่นี่ เคยขออนุญาตเอาเรื่องของเราไปพิมพ์เป็นใบลานที่กรุงเทพฯ เรื่องของผมจึงมีโอกาสพิมพ์เป็นใบลานอยู่เรื่องหนึ่ง เดี๋ยวนี้ยังเก็บไว้ในห้องหนังสือ
ที่ไม่ได้พิมพ์ตอนนั้นก็เพราะโอ้เอ้กัน ผมก็โอ้เอ้เลือกเรื่องที่จะพิมพ์ ทางนั้นก็ดูจะไม่ค่อยเต็มใจ ก็เลยโอ้เอ้จนไม่ได้พิมพ์ (หัวเราะ) จนเครื่องพิมพ์ขึ้นสนิม แต่เครื่องของคุณแดงนั้น ทั้งเครื่องแท่นพิมพ์และเครื่องตัดใช้มาจนทุกวันนี้ ยังใช้การได้ดี
อาจารย์แบ่งบทบาทกับโยมธรรมทาสอย่างไรบ้างครับ ในการทำพุทธสาสนา
มันเรื่องนิดเดียว เกือบจะไม่มีบทบาทอะไรกันนักหนา ผมก็มีหน้าที่หาหรือทำต้นฉบับ ๒ ภาค คือภาคพระไตรปิฎกแปล กับภาคปฏิบัติธรรม ผมทำเต็มที่เลย นายธรรมทาสเขาเป็นเจ้าของภาคทั่วไป มันทั่วไปจริง ๆ อะไรที่มีประโยชน์ก็แล้วกัน บางเวลาผมก็เขียนเรื่องไปลงภาคทั่วไปบ้าง ก็ทำมากันอย่างนี้ จนหลัง ๆ นี้ผมไม่ได้ทำ ไม่สบายบ้าง ทำอย่างอื่นบ้าง นายธรรมทาสเขายังไม่ยอมแพ้ เดี๋ยวนี้ก็หาเอาจากต้นฉบับที่ผมพูดออกวิทยุ แล้วหนังสือพิมพ์ ริ้วไทย ที่ฉะเชิงเทราเขาถอดลงทุกฉบับ เขาส่งมาให้ก็สะดวกแก่นายธรรมทาส ๓ เดือนก็ ๓ บท พอเหมาะกับหนังสือพิมพ์เล่มหนึ่งพอดี หรือบางทีเขาก็เอาจากชุดลอยปทุม หรือจากที่คุณอรุณวตี มีต้นฉบับจากเทปแล้วไปลงพิมพ์ แล้วก็มีการแถลงการณ์ของเขาเอง เรื่องโรงเรียน เรื่องมูลนิธิ
ผมทำจริงจังอยู่ราว ๒๐ ปี ต่อ ๆ มาก็เอาที่พูดที่เทศน์มาเรียบเรียงไปลง ต่อ ๆ มา หลัง ๆ ก็ถอดไปลงเลยดังที่ว่ามา
พอออกหนังสือไป มีปฏิกิริยาเข้ามาอย่างไรบ้างครับ
จดหมายวิพากษ์วิจารณ์ จดหมายแนะนำ หรือจดหมายด่าก็เพิ่มขึ้น ๆ ในระยะประมาณปีที่ ๑๐ ถึงปีที่ ๒๐ มากที่สุด มันเข้มข้น สมควรที่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ แต่เราไม่รู้สึกอะไร
แต่เสียงที่เข้ามานั้น เรื่องชมมีมากกว่า เรื่องด่ามีน้อย เพราะที่จริงมันก็ไม่ควรถูกตำหนิ นอกจากพวกกินปูนร้อนท้อง ออกหน้ารับ
ที่เขียนมาด่านั้น พระก็มี เขียนมาด่า อินฺทปญฺโญ ไอ้เรื่องจะถูกด่านี้ เขียนในนาม อินฺทปญฺโญ นามพุทธทาสไม่เคยถูกด่า คนเขียนเข้ามาให้ปลด อินฺทปญฺโ ออกจากกองบรรณาธิการก็มี เรื่องสุกรยักษ์ (หัวเราะ) มีบทบาทมาก พอพิมพ์ในหนังสือพุทธสาสนาก็มีคนเขียนมาด่า แล้วคุณกี (นานายน) กับคุณวัลย์ น้องสาว เขาเอาไปพิมพ์เป็นเล่มเล็กขึ้นมา ไม่รู้เจตนาอย่างไร สั่งแจกไปยังพระต่าง ๆ เจ้าคณะอะไรต่าง ๆ ผมคิดว่าคงไปโดนพระมารยาทหยาบคาย มันก็เขียนไปรษณียบัตร ด่า ๆ ๆ อย่างเสีย ๆ หาย ๆ ด่าหยาบคายที่สุดที่ผู้ชายจะด่าผู้หญิงได้ หึ ๆ ๆ และคุณกีก็ส่งไปรษณียบัตรนั้นมาให้ผมดู (หัวเราะ)
เรื่องสุกรยักษ์ มันมีเค้ามาจากอรรถกถา แปลมาตามตัว ไม่ได้เขียนอธิบายความมาก แต่งเป็น (หัวเราะ) แต่งเป็นกาพย์
เรื่องเกี่ยวกับธรรมะแท้ ๆ ไม่มีเรื่องจะต้องถูกด่า เรื่องที่เปะปะออกไปนอกธรรมะ (หัวเราะ) นั่นแหละถูกด่า
อาจารย์ใช้นามปากกาอย่างไรครับ
ก็มีพุทธทาส เขียนเรื่องธรรมะโดยตรง แล้ว อินฺทปญฺโ กับ ธรรมโยธ นี้เขียนเรื่องให้คนโกรธ สิริวยาส เขียนโครงกลอน สังฆเสนา ก็เขียนแบบนักรบเพื่อธรรมเรื่องปรารภโลกก็ใช้ ทุรโลการมณจิต นี่นาน ๆ มีที ถูกด่าเรื่อย ก็ ธรรมโยธ กับ อินฺทปญฺโ เพราะเขย่าวิจารณ์กันอย่างแรง กระทบกันแรง ๆ ส่วน ข้าพเจ้า เขียนเรื่องแง่คิดขำ ๆ
อาจารย์ครับ คนนอกเขียนเข้ามาประจำมีใครบ้าง
เรียกว่าไม่มีดีกว่า ที่ประจำนั้นไม่มี มีก็เขียนมาเป็นครั้งคราว ส่วนใหญ่ผมก็เขียนคนเดียว ใช้หลาย ๆ นามปากกา มีนายธรรมทาสบ้าง (หัวเราะ)
สมองแม่สอด นี่ก็เขียนเข้ามาบ่อย เป็นเจ้าคุณอะไร เป็นเจ้าคณะอำเภอแม่สอดสมัยนั้น ท่านอ่านพุทธสาสนาแล้วเลยเขียนเข้ามา ได้พบกันโดยบังเอิญบนรถไฟ วันนั้นผมขึ้นรถไฟที่เชียงใหม่ ถามไปถามมาอยู่แม่สอด (หัวเราะ) เลยรู้จักกัน
อาจารย์ครับ แล้วอย่างเรื่องของ องุ่นอ่อน หรือของ นายเหตุผล มีความเป็นมาอย่างไรครับ
(หัวเราะ) นั่นแกล้งเขียน ไม่ใช่เป็นความรู้สึกหรือความรู้อันแท้จริง เป็นเจตนาที่จะให้ผู้อ่านนึกคิดในทุกแง่ทุกมุม แกล้งเขียนค้านพุทธศาสนา ว่าถ้าจะค้านมันค้านได้อย่างนี้ แล้วจะตอบกันอย่างไร ให้คนอื่นได้วินิจฉัย ได้มีความรู้ทางพุทธศาสนามากขึ้น
องุ่นอ่อนของนายธรรมทาส เขียนทำนองเลียนแบบองุ่นเปรี้ยว ตอนนั้น ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช กลับจากนอกใหม่ ๆ เขียนในลักษณะคิดค้านพุทธศาสนาเพิ่งออกมาสด ๆ ร้อน ๆ นายธรรมทาสเลยเขียนในนามองุ่นอ่อน (หัวเราะ) นายเหตุผลนั้นผมเขียนเอง แล้วก็มีคนเขียนตอบเข้ามา เฮ่อะ ๆ สนุก คุณสด กูรมะโรหิตก็เขียนเข้ามา ท่านบุญชวนก็เขียนตอบเข้ามา (หัวเราะ) แล้วมารู้ทีหลัง หัวเราะกันใหญ่ ท่านบุญชวนดูจะรู้ก่อน นายธรรมทาสคงบอก คุณสดนั้นไม่รู้จนกระทั่งมาที่นี่ นานมากทีเดียว (หัวเราะ) คุณสดตอนนั้นมากับคุณระบิล บุนนาค คุณสดแกสนใจเรื่องสหกรณ์ ผมก็พูดว่า ถ้าไม่มีธรรมะ สหกรณ์ไปไม่รอด
พวกผู้หวังดี ผู้สนับสนุน ส่วนใหญ่ก็รู้จักผ่านทางหนังสือพิมพ์พุทธสาสนาทั้งนั้น จากคนหนึ่งก็ต่อไปอีกคนหนึ่ง เป็น ๒ ๓ ๔
ตอนนั้นก็รู้สึกสนุกเหมือนกัน แต่เราไม่คิดจะทำอีก (หัวเราะ) มันต้องยุติ มันทำไม่ไหวแล้ว ตอนนั้นพุทธสาสนา กลายเป็นการศึกษามโหฬารของเรา ศึกษาชีวิตด้านสังคม ด้านปัญหาทางศาสนา ทุกอย่างนะมันน่าศึกษา มันเป็นการรู้ธรรมชาติเกี่ยวกับสังคมที่มันเห็นไม่ได้ด้วยตา มันต้องรู้ว่าอะไรเป็นอย่างไร แล้วต้องเป็นอย่างไร เป็นการศึกษาถึงที่มา เบื้องหลังที่เห็นไม่ได้ด้วยตา
เคยเอือมถึงขนาดจะเลิกทำไหมฮะ
ไม่เคยถึงขนาดนั้น แต่มันก็เริ่มเอือมขึ้นมา ทั้งเราและนายธรรมทาสมันรู้ว่าต้องพยุงไปให้ได้ เริ่มเอือมทีละนิดทีละนิด เอือมอย่างมั่นคง (หัวเราะ) จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ไม่นึกว่าจะต้องทำอย่างนั้นอีกแล้ว เดี๋ยวนี้พุทธสาสนาก็เป็นเพียงเครื่องมือสื่อสารของมูลนิธิธรรมทานเท่านั้น แต่ก่อนนี้ มันคิดจะให้ธรรมะเป็นธรรมทานด้วย
อาจารย์ดูปรู๊ฟเองทุกเรื่องหรือเปล่าครับ
ไม่ต้องดู เพราะว่าไว้ใจบรรณาธิการ ผมไม่ต้องตรวจปรู๊ฟเลยนะ ตลอดเวลา แม้แต่ตามรอยพระอรหันต์ก็ไม่เคยตรวจปรู๊ฟ บรรณาธิการทำงานได้ผลงานดี เห็นอยู่
ตอนหลัง ๆ มาทำชุดธรรมโฆษณ์นี่ เคยดูบ้าง แต่ก็นิดหน่อยเท่านั้นแหละ ขอดูตอนพิมพ์เสร็จก่อนเย็บเล่ม ถ้ามีอะไรผิดพลาดร้ายแรง ก็จะเขียนเป็นใบแก้คำผิดให้ คือดูในใบพิมพ์เสร็จ เขาก็พิมพ์มาเรื่อย ส่งทยอยมาให้ดู ผมก็ดูบ้างไม่ดูบ้าง (หัวเราะ) เฉพาะที่ผิดร้ายแรงก็เขียนบอกไปในใบแก้คำผิด คุณอรุณวตี เป็นคนดูปรู๊ฟให้จนกระทั่งส่งพิมพ์ ตอนหลังสุดนี้ผมก็แทบจะไม่ได้ดูแล้ว
อาจารย์ครับ ระยะที่ทำหนังสือพิมพ์จริงจังนี้ เวลาส่งเรื่องฉุกละหุกไหมครับ
มันตั้ง ๓ เดือน พอดี ๆ เขียนตามเรื่องราว เขียนตามความพอใจ ที่เขียนตรีมาสาภิลักขิตตกาลพจน์นั้นตั้งใจหน่อย ว่าจะพิมพ์รวมเป็นเล่มสักที คงได้เป็นธรรมโฆษณ์เล่มหนึ่งเต็ม ๆ ต้องไปเก็บคัดออกมาจากหนังสือพิมพ์พุทธสาสนาทุกเล่ม บางเรื่องผมก็พอใจตัวเอง มีเรื่องธรรมชั้นโลกุตระลึก ๆ ก็มี ผิว ๆ โลก ๆ ก็มี
เรื่องยาว ๆ อย่างเรื่องปมเขื่อง เรื่องอนัตตา นั่นแหละ ค่อนข้างจะเหน็ดเหนื่อย นอกนั้นก็ทำประเดี๋ยวเดียว มันเป็นการเขียนเรื่องที่ถนัดพอเขียนได้ ค้นคว้าอะไรมากมายไม่ค่อยมี นิสัยมันไม่ค่อยดี ค้นบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ หมายตาเอาไว้บ้างเหมือนกันว่าจะอ้างอะไร ตอนนั้นต้องเรียกว่าทำงานลวก ๆ เดี๋ยวนี้ยังคิดนึกอะไรมากกว่า ตอนปัจจุบันที่เขียนหนังสือด้วยการพูด อย่างน้อยก็ทำบัตรขึ้นมาแผ่นหนึ่ง (หัวเราะ) เพื่อจะพูดวันเสาร์ เฉพาะชุดพูดวันเสาร์นั้นแหละทำบัตรหัวข้อที่พูดไว้ ตอนบรรยายชุดผู้พิพากษาต้องคิดล่วงหน้ามาก รวบรวมประเด็นต่าง ๆ ที่จะมีประโยชน์ แล้วโน้ตใส่สมุดแบบฝึกหัดเล็ก ๆ พูดครั้งหนึ่งก็ราว ๆ ใบหรือ ๒ ใบ จดแต่หัวข้อ สมุดเล็ก ๆ ที่เด็กนักเรียนใช้เล่มหนึ่งพอดี ไว้บรรยายได้ ๑๐ ครั้ง
อาจารย์ครับ แต่เวลาอ่านงานของอาจารย์นี้ งานสมัยเขียนผมรู้สึกกระชับกว่า มีรสชาติให้ขบคิดมากกว่า อาจารย์ไม่ได้ร่างโครงไว้ก่อนหรือครับ
มันพร้อมกันนะ วางพล็อตไว้ในใจแล้วก็ลงโครงร่างเขียน เรื่องที่ยุ่งยาก ต้องค้นเอ็นไซโคลปีเดีย บริตานิก้า เป็นส่วนมาก ก็มีเรื่องศีลธรรม
การเขียนตอนแรกมันมีความระมัดระวัง และก็สามารถขัดเกลาให้กระชับ แต่ชุดพูดปากเปล่านี่มันทำไม่ได้ แล้วมันก็มากเข้า บางทีก็เอาตามเรื่องที่ถนัด
สมัยเขียนนั้น ผมพิมพ์ดีดเลย ไม่ได้ร่างด้วยปากกาก่อน นาน ๆ จะมีที่ฉีกทิ้งเขียนใหม่ทีหนึ่ง ส่วนมากก็ใช้ได้เลย ขัดเกลาแก้ไขนิดหน่อย เครื่องพิมพ์ดีดเครื่องแรกที่น้าหง้วนถวายนั่นแหละ มันพิเศษที่ตัวอักษรยกขึ้นมาครึ่งหนึ่ง ไม่ได้นอนแบนแบบสมัยนี้ เพราะฉะนั้น ระยะที่พิมพ์มันจึงสั้น พิมพ์ได้เร็ว แต่เป็นแบบตีสระก่อน จึงตีตัวอักษร ส่วนมากก็ใช้เวลากลางวัน กลางคืนไม่สะดวก กลางคืนใช้อ่านค้นคว้า
อาจารย์เคยถูกคุณธรรมทาสเซ็นเซ่อบ้างไหมครับ
นึกไม่ออก อ้อ มี นึกได้แล้ว เซ็นเซ่อโคลงฝรั่ง เรื่องปลาสวมหมวก ผมไปขโมยเขามา แล้วเปลี่ยนตามใจชอบ เขาเขียนว่าปลาสวมหมวกขึ้นบกไม่ได้ ผมไปแปลงเสียให้สวมหมวกธรรมะก็ขึ้นบกได้ อย่างอื่นเกือบจะเหมือนเดิม นายธรรมทาสบอกว่า ลงไม่ได้นะ ถ้าลงแล้วทีหลัง ๆ มีคนบอกให้ลงอีก จะทำไม่ได้ เขียนให้ดีอย่างนั้นอีกไม่ได้ ก็เลยระงับไป (หัวเราะ)
นอกนั้นก็ไม่เคยมี ผมก็ไม่เคยไปเซ็นเซ่อของเขา ไม่มีหน้าที่ เขาก็ไม่ต้องส่งให้ผมดูก่อน เว้นแต่เรื่องธรรมะที่เขาเขียนแล้วไม่แน่ใจ มาให้ผมช่วยดู กันไม่ให้มีอะไรผิดพลาดเท่านั้น แก้นิด ๆ หน่อย ๆ
ตอนสงครามโลกที่เขาเซ็นเซ่อหนังสือพิมพ์กัน ของเราก็สะดวก ไม่มีปัญหาอะไร นายธรรมทาสเขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับคุณเพรียง โรจนรัส เขาเป็นกรรมการเซ็นเซ่อหนังสือพิมพ์แห่งชาติ อยู่ที่บ้านดอน เราก็ส่งให้เขาเซ็นเซ่อที่นี่เลย
ผมดูพุทธสาสนาเก่า ๆ เห็นบางปีก็รวมหลาย ๆ เล่มเป็นเล่มเดียว บางปีก็ ๒ ปีเล่มเดียว
มันเป็นเรื่องทำไม่ทันโดยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง หรือว่าโกงมั่ง (หัวเราะ) ประหยัดงานให้มันน้อยเข้า เวลามีงานอื่นยุ่ง ๆ โกงสมาชิก บางปีทั้งปี ๔ เล่มลดเหลือเล่มเดียวก็มี แล้วก็ตอนสงคราม มีปัญหาเรื่องกระดาษหายาก บางทีก็ใช้กระดาษอาร์ตพิมพ์ทั้งเล่ม แต่เล่มบาง ๆ บางที ๒ ปีเล่ม ก็ตอนสงครามนี่แหละ เรื่องหากระดาษอะไรนี่ มันอยู่ในหน้าที่ของนายธรรมทาสเขา
อาจารย์ครับ อย่างปีที่ ๒ ผมเห็นมีสำเนาปาฐกถาของอาจารย์ที่ไปพูดที่นครศรีธรรมราชมาลง ทำได้อย่างไรครับ ตอนนั้นยังไม่มีเทปบันทึกเสียง
ผมจำไม่ได้ คงไปพูดก่อน แล้วเอาที่จดย่อนั้นมาเรียบเรียงอีกที โครงมันยังอยู่ เค้าเรื่องมันยังอยู่แล้วก็ดีกว่า มันได้พูดไปทีหนึ่งแล้ว เนื้อความมันเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น มันเป็นระยะฝึกหัด ยังไม่เป็นที่พอใจ
อาจารย์ครับ งานเขียนชิ้นแรก ๆ สุดและท้าย ๆ สุดคืออะไรครับ
เรื่องแรก (หัวเราะ) แต่งในการฉลองโรงเรียนนักธรรมวัดพระธาตุไชยา คือเมื่อผมเปิดสอนไปปีหนึ่งแล้ว ท่านพระครูโสภณฯ (เอี่ยม) ท่านก็จัดการฉลองเพื่อหาเงินบำรุงการศึกษาที่นั่น แล้วก็พิมพ์หนังสือแจก เงินพิมพ์ก็ไปเก็บจากน้าหง้วนเหมือนกัน เป็นเจ้าของโรงเรียนนี่ (หึ ๆ ๆ) ดูเหมือนจะพิมพ์ที่โรงพิมพ์พุทธมามกะ ตอนนั้นผมขึ้นไปอยู่กรุงเทพฯ แล้ว (๒๔๗๓) ผมเขียนเรื่องพระพุทธศาสนา ค่อนข้างแปลกสำหรับชาววัดสมัยนั้น ซึ่งไม่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องแบบนี้ เรื่องต่อมา ผมเขียนเรื่องประโยชน์แห่งทาน พิมพ์รวมในหนังสือชื่อ "กุมภชาดก" ซึ่งอาจารย์พระครูชยาภิวัฒน์ (กลั่น) แปลมาจากภาษาบาลี และมีเรื่องของคนอื่น ๆ อีก พิมพ์มาแจกงานพระราชทานเพลิงศพของ พระครูโสภณเจตสิการาม (คง) (๓๐ พ.ค. ๒๔๗๓) ซึ่งเป็นอุปัชฌาย์ ตอนนั้นยังเรียนอยู่กรุงเทพฯ หนังสือนี้เราหาไม่ได้เลย ตอนนั้นก็พิมพ์ที่โรงพิมพ์เดิมที่เป็นโรงพิมพ์ของนายเถา ศรีชลาลัย (เปรียญ) คือโรงพิมพ์พุทธมามกะ แถวประตูสามยอด เป็นโรงพิมพ์เล็ก ๆ ห้องเดียว นายเถาคนนี้เป็นศิษย์สมเด็จฯ วัดเทพฯ ต่อมาได้รับราชการที่กระทรวงการต่างประเทศ เปลี่ยนชื่อเป็นปรีดา ค้นคว้าเรื่องทางโบราณคดีไว้เป็นหลักเป็นฐานหลายเรื่อง ต่อมาผมได้เอาเรื่องเกี่ยวกับการทำทานที่เขียนขึ้นสั้น ๆ ครั้งแรกนี้มาเขียนให้สมบูรณ์ พิมพ์แจกในงานฉลองสัญญาบัตรของพระครูคณานุกูล (ศักดิ์) อาจารย์คู่สวด ตอนนี้เอาไปพิมพ์ที่โรงพิมพ์กรุงเทพฯ เดลิเมล์ที่สี่พระยา พวกมหาเปรียญลาพรตที่ไปทำงานที่นั้น บอกว่ายังไม่เคยเห็นใครเขียนแบบนี้เลย ทำอย่างไม่น่าจะทำได้ มีอ้างอิงบาลี อรรถกถาฎีกาสมบูรณ์ (หัวเราะ) ก่อนมาสวนโมกข์ ดูเหมือนจะเคยตั้งโครงเขียนเรื่องอริยสัจจ์ แต่ไม่สำเร็จ ต้นร่างยังคงอยู่ (หัวเราะ) ดีแล้วที่ไม่ได้เขียน ความคิดเด็ก ๆ แบบนั้น เขียนมาคงขายขี้หน้าตายเลย เมื่ออยู่สวนโมกข์เก่าไม่นานก็เริ่มเขียนตามรอยพระอรหันต์ เขียนเป็นตอน ๆ เพื่อสำหรับการศึกษาของตนเองด้วย เพื่อลงในหนังสือพิมพ์พุทธสาสนาด้วย เขียนอยู่หลายปี ในที่สุดก็ค้างอยู่แค่นั้น ดังที่เล่ามาแล้ว
เรื่องล่าสุดที่เขียนอย่างจริงจังก็เห็นจะได้แก่ "สมเด็จในความรู้สึกของข้าพเจ้า" (๑๒ มิ.ย. ๒๕๑๖) มีพระเถระชั้นสูงรูปหนึ่ง บอกว่าแต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีหนังสืองานศพครั้งไหนสู้ครั้งนี้ได้ คล้าย ๆ กับว่าถ้าตัวเองตายอยากให้มีใครเขียนแบบนี้ ผมเขียนเพราะเห็นแก่พระดุลยพากษ์สุวมัณฑ์ พระดุลย์ขอร้อง พระดุลย์เป็นศิษย์ที่รักบูชาสมเด็จสุดประมาณ เป็นทั้งอาจารย์ เป็นทั้งอุปัชฌาย์ เป็นการเขียนในยุคที่เบื่อการเขียนเต็มที่แล้ว
ขอบคุณเรื่องรางดีๆจาก : http://www.buddhadasa.org/