Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

เบื้องหลังบทละคร ซ้ำซาก หวือหวา อย่าหาเหตุผล?

 

 
ทุกครั้งที่ไตเติ้ลละครเรื่องโปรดปรากฏอยู่ตรงหน้า(จอ) นอกจากพระเอก นางเอก นางอิจฉา หรือเพลงเพราะที่คลอไป เคยสนใจหรือไม่ว่า "ใครคือคนเขียนบท" 
 
 
เบื้องหลังสำคัญคนนี้ (หรือกลุ่มนี้) มีอิทธิพลมาก ขนาดชี้เป็นชี้ตายเรทติ้งได้เลยทีเดียว เพราะถ้า "บทละครดี" ก็น่าจะจูงมือผู้กำกับ นักแสดง โกยคะแนนนิยมไปด้วยกัน 
 
 
…แต่ในความเป็นจริง "สูตรสำเร็จ" อาจไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป 
 
 
 
กลเม็ดเผด็จ "เรทติ้ง" 
 
 
"หลักการเขียนบทละคร ถ้าเขียนจากบทประพันธ์ต้องให้ตรงตามบทประพันธ์ อันนี้คือหลักที่ยึดมั่นเป็นอย่างมาก เพราะบทประพันธ์ถือว่าได้ผ่านการอนุมัติของช่องและหลายๆ ฝ่ายมาแล้ว แต่ว่าจะมีส่วนขยายเรื่องให้มันสนุกขึ้น ขยายให้เรื่องน่าติดตาม แต่คงเนื้อความเหมือนเดิมเพราะเราเคารพเจ้าของบทประพันธ์มาก สมมติว่าเป็นงานของเราเองก็คงเสียใจเหมือนกันหากออกมาไม่ดี ถ้าเป็นพล็อตที่เขียนขึ้นมาเองก็ต้องยืดหยุ่นได้หน่อย" ศัลยา สุขะนิวัตติ์ เจ้าของนามปากกา "ศัลยา" นักเขียนบทมือทองของช่อง 7 กล่าว 
 
ทุกวันนี้การแข่งขันของละครแต่ละช่องต้องชิงไหวชิงพริบกันเลยทีเดียว แต่สุดท้ายขึ้นอยู่กับคนดูว่าชอบหรือไม่ชอบแบบไหน ถ้าบางเรื่องเต็มไปด้วยสาระมากเกินไป คนดูอาจจะเบื่อ ขณะเดียวกันถ้าบันเทิงมากเกินไปก็อาจจะทำให้ดูไม่มีสาระเอาเสียเลย จำนวนคนดูหรือเรทติ้งจึงมีผลกับแนวของละครทีวีที่ออกมาในแต่ละช่วงยุค 
 
 
"เพราะเรทติ้งคือจำนวนคนดู ถ้ามีคนนั่งดูแสดงว่ามันตอบโจทย์ได้พอสมควร คือคนดูเขาไม่ต้องการอะไรที่คิดมาก ต้องการผ่อนคลายจากความเครียด และละครเรื่องนั้นให้เขาได้ หรือละครมีดาราที่เขาชื่นชอบ ไม่ว่าจะเล่นอะไรก็ตาม ละครที่มีสาระบางเรื่อง ถ้าทำออกมาแล้วเฉยๆ ไม่ได้มีอะไรให้เขาหัวเราะมาก เขาก็ไม่อยากดู คือมันต้องตอบโจทย์ 
 
เป็นหน้าที่ของคนทำว่าจะบวกความมีสาระลงไปกับความบันเทิงยังไง ต้องเป็นบันเทิงไม่ไร้สติ มีเหตุผล ไม่ไร้ความเป็นมนุษย์มนา ถ้าผสมผสานความพอดีตรงนี้ได้ ละครจะวินๆ เพราะบางทีละครสาระมากๆ สอนคนเหลือเกิน คนทำก็เสีย คนดูก็ไม่ชอบ คงอยู่ที่จังหวะและสถานการณ์บ้านเมืองก็มีส่วนเหมือนกัน การเมืองเครียดทำให้คนหาบันเทิงได้จากละคร เปิดขึ้นมาก็ยิ้มได้อย่างนี้" ศัลยา อธิบาย 
 
เธอบอกอีกว่า นักเขียนบทละครโทรทัศน์ที่ดีต้องมีวิธีคิดและมีจิตวิทยามากพอสมควร ยกตัวอย่างเช่น ตัวละครเป็นคนแรงมาก ขี้อิจฉา พร้อมที่ประหัตประหารคนรอบข้าง ก็ต้องเขียนบทให้มีรีแอ็คชั่นกลับมา แต่ต้องทำให้สมเหตุสมผล 
 
"หรือบางทียิงกันกลางวันแสกๆ คนเขียนบทต้องคิดให้รอบด้านว่าก่อนที่วงล้อชีวิตของเขาจะเคลื่อนไปมันต้องมีกติกาสังคมมากำหนดด้วย หรือถ้าตบกันกลางห้างมันต้องมีอะไรอธิบายได้มากกว่านี้" 
 
เรื่องเรทติ้งคนดูนั้น ยิ่งยศ ปัญญา ผู้กำกับละครโทรทัศน์และนักเขียนบทเจ้าของรางวัลบทโทรทัศน์ยอดเยี่ยมจากเรื่อง ดงดอกเหมย และเมื่อดอกรักบาน มองว่าละครที่จะถูกจริตกับคนไทยมีหลายสูตรและละครเรื่องใดเรื่องหนึ่งจะประสบความสำเร็จได้ขึ้นอยู่กับหลายองค์ประกอบด้วยกัน 
 
 
"ขึ้นอยู่กับว่าผู้กำกับมองประเด็นแก่นสารออกไหม ผู้จัดละครบางคนมองไม่เห็นสิ่งที่เราจัดให้ เขาก็จะไปตีความอีกแบบหนึ่ง ผู้จัดอาจจะตีความผิดเพี้ยนเพราะบางทีคนเขียนบทคิดเยอะมากเลยเพื่อหาความสมเหตุสมผล พอไปถึงผู้จัดหรือผู้กำกับแล้วไปแก้ให้มันง่าย บางทีแทบจะจำบทของตัวเองไม่ได้เลย ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า เขาได้มองเห็นสิ่งที่เราอยากเสนอหรือไม่ ในเชิงจิตวิทยาเราจะเล่นกับคนดู วางแผงกลยุทธ์อย่างไร แต่สูตรนี้กับบางเรื่อง ก็อาจไม่ประสบความสำเร็จก็ได้ คงแล้วแต่โจทย์มากกว่า" 
 
ละครบางเรื่องมีแก่นสารดี ทุกอย่างดีสมบูรณ์แบบ แต่หลายครั้งกลับไม่ประสบความสำเร็จ ยังเป็นประเด็นที่หลายคนตั้งคำถามอยู่เสมอๆ 
 
"คงเป็นเรื่องปกติ ละครบางเรื่องไม่มีสาระแก่นสาร แต่ทำไมตัวเลขคนดูสูง คนดูอาจจะไม่คิดอะไรเลย มันบอกหลายสิ่งหลายอย่างในสังคมอยู่ว่าคนอยากจะหนีอะไร ยกตัวอย่าง ผู้ใหญ่ลีกับนางมา เป็นละครอยู่นอกสายตาหมด เพราะไม่มีคนสนใจ แต่ทำไมถึงโดนจริตคนไทยเพราะมันมาถึงความวิบัติของเกษตรกรไทย และมันมีความวุ่นวายทางการเมือง ทำให้คนดูสนุกสนานและชื่นชอบ 
 
แน่นอนว่าศิลปะทุกแขนงเป็นตัวสะท้อนภาวะเศรษฐกิจและสังคมยุคนั้น ศิลปะทุกแขนงไม่ว่าจะเป็นเพนท์ติ้ง บทเพลง ศิลปะการละคร หรืองานวรรณกรรม วรรณคดี เพราะศิลปะต้องคู่กับมนุษย์อยู่แล้ว ถ้าเก็บข้อมูลทางสังคมย้อนกลับไปว่าประเทศชาติเกิดอะไรขึ้นบ้าง ละครยุคหนึ่งเปิดนมกันทะลักหลังจากนั้นกลายเป็นกระแสของคนอยากดัง เลยต้องสร้างความอื้อฉาวเพื่อให้ตัวเองดัง" เขายกตัวอย่าง 
 
 
 
รีเมค-รีเซลล์ 
 
กระแสของละครที่เกิดขึ้นมาเป็นช่วงๆ อย่างช่วงหนึ่งอาจจะคิดพล็อตขึ้นมาสำหรับดารานักแสดงโดยเฉพาะ แต่บางช่วงจะเป็นละครดัดแปลงมาจากบทประพันธ์ทั้งใหม่และเก่า 
 
 
หากตอนนี้ละครที่กำลังออกอากาศอยู่ทั้ง ทัดดาว บุษยา, ตะวันยอแสง และเชลยศักดิ์ หรือก่อนหน้านั้นคือ ปราสาทมืด บ่วงหงส์ ตุ๊กตาเริงระบำ ล้วนแต่เป็นละครที่นำกลับมาทำใหม่ หรือ บางเรื่องก็เปลี่ยนชื่อใหม่แต่เนื้อเรื่องเก่า 
 
"จริงๆ บทประพันธ์เป็นที่ต้องการของคนทำละครมาก บางทีหยิบขึ้นมาอาจจะลังเลเพราะบทประพันธ์มันนานเหลือเกิน แต่ว่าครั้งหนึ่งอาจจะมีคนเคยหยิบขึ้นมาทำแล้วดัง ถ้าเรื่องหนึ่งดังแล้วเรื่องอื่นๆ จากนักเขียนคนเดียวกันหรือแนวเดียวกันก็จะตามมาเป็นพรวน เพราะมันกลายเป็นกระแส แต่ว่ามีช่วงหนึ่งจะมาจากพล็อตใหม่ๆ คิดว่าละครก็เหมือนสินค้าทั่วไป พอเรทติ้งดีก็ทำออกมากันเยอะ" ศัลยา เจ้าของบทโทรทัศน์ยอดเยี่ยมจากละครเรื่อง คู่กรรม, ตะวันชิงพลบ, นางทาส, สายโลหิต, นิรมิต ฯลฯ กล่าว 
 
เช่นเดียวกับ ยิ่งยศ นักเขียนบทจากวิก 3 บอกว่าการเอาบทประพันธ์เก่าๆ กลับมาทำใหม่ไม่ได้เป็นกระแส 
 
"ทุกวันนี้ดูเหมือนว่าละครเก่าถูกรีเมคใหม่ เพราะละครรุ่นใหม่ที่เขียนขึ้นมาทุกวันมันมีปัญหาของมันเอง แม้ว่ามันอาจจะสนุกแต่มันหาเหตุผลของมันเองไม่ได้ เด็กรุ่นใหม่เขียนพล็อตเรื่องขึ้นมาก็สลัดไม่พ้นจากนวนิยายเก่าๆ มิหนำซ้ำยังหาเหตุหาผลไม่เจอ เหมือนจะสนุกแบบฉาบฉวยไปวันๆ หวือหวา แรงกันจังเลย ผู้จัดเองก็หาๆ กันจัง แต่จริงๆ มันมีปัญหา ฉะนั้นนิยายเก่ามันเป็นการการันตีว่ายังไงก็ไม่มีวันถูกลืม อยู่ที่ว่าคนเขียนบทหรือผู้จัดจะมองเห็นหรือเปล่า 
 
ยกตัวอย่างเรื่อง ผู้ใหญ่ลีกับนางมา บทประพันธ์เขียนขึ้นมาเมื่อ 50 ปีก่อน ถึงจะเอามาทำใหม่ในยุคนี้ แต่ประเด็นแก่นสารมันต้องยังอยู่ แต่สิ่งห่อหุ้มต้องทันสมัย หรือ ทัดดาว บุษยา เป็นนวนิยายที่เต็มไปด้วยบทสนทนา เป็นการเดินทางล่องเรือจากเชียงใหม่ ถ้าจะให้ล่องเรือเหมือนเดิมคงไม่ทันสมัย อันนี้คือมุมมมอง แต่ยังไงต้องรักษาหัวใจเดิมไว้ เหล่านี้เป็นเทคนิคการนำเสนอ การเล่นกับคนดู นาทีนี้คนดูรู้สึกอะไร จะลุ้นแค่ไหน จะเปิดเผยกับคนดูหรือเปล่า ตัวละครไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่คนดูรู้หมดว่าพินัยกรรมอยู่ตรงไหน แต่ตัวละครไม่รู้ อันนี้คือจิตวิทยาที่เล่นกับดู คนดูฉลาดมาก แต่ตัวละครโง่" 
 
ปัจจุบันถึงแม้ว่าจะมีคนหันมาประกอบอาชีพด้านเขียนบทกันมากขึ้น เพราะเป็นอาชีพอิรสระและหลายคนมองว่ารายได้ดี แต่บางครั้งนักเขียนบทรุ่นใหม่เองก็ไม่ได้กระโจนออกมาจากขนบเดิมๆ 
 
"คุณนำเสนอสิ่งนี้ได้อย่างไร เช่น ไปเล่นกับชนเผ่าแล้วดันเล่นบทตลกสนทนาดูถูกชนเผ่า คุณต้องไม่ดูถูกความเป็นมนุษย์ แต่ในที่สุดสังคมก็ตัดสินเอง แสดงว่าคนเขียนบทไม่มีสามัญสำนึก บางเรื่องฆ่าห้ำหั่น ร้ายจนถึงกับฆ่าพ่อฆ่าแม่ตัวเอง สุดท้ายบอกว่า "เป็นบ้า" ถามว่าเหตุผลเพียงแค่นั้นจะรับได้ไหม หรือละครบางเรื่องยังอยู่ในวังวนเดิมๆ เช่น คนนี้เลวเพราะพ่อแม่เป็นคนเลว ความคิดแบบนี้สมัยไหนแล้ว มันแฟร์ไหมในความเป็นละคร 
 
นี่คือปัญหาของคนเขียนบททุกวันนี้ เรื่องความสมเหตุสมผลเป็นพื้นฐานอย่างหนาแน่น ต้องหาเหตุผลอย่างสมบูรณ์แล้วถึงจะปล่อยตัวละครออกมาได้ บางเรื่องหาเหตุผลไม่เจอ นั่นเป็นความชุ่ยอย่างมาก" ยิ่งยศ ย้ำ 
 
 
ละครไทย ในมุมของนักวิจารณ์ 
 
 
 
ไม่ว่าจะเป็นศิลปะแขนงใด ถ้าขาดการวิพากษ์วิจารณ์ไปก็คงจะทำให้วงการนั้นไร้สีสันไปไม่น้อย ทั้งในแง่ตัวงานและการพัฒนาวงการธุรกิจบันเทิงโดยภาพรวม 
 
อ.สกุล บุณยทัต นักวิจารณ์วรรณกรรมและอาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร วิจารณ์วงการละครโทรทัศน์ของคนไทยในงาน "จุดประกาย workshop" ที่จัดโดยหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ว่าเป็นในลักษณะของการเลียนแบบทางความรู้สึกต่อเนื่องกันมา จนทำให้คิดว่าละครโทรทัศน์ไทยต้องมีลักษณะแบบนี้ หรือต้องมีเนื้อหาอย่างนี้ 
 
"ปัญหาในเชิงธุรกิจในวงการบันเทิงไทยในปัจจุบันที่ทำให้ละครโทรทัศน์ไม่ก้าวไปถึงไหน เพราะมันผูกอยู่กับช่องซึ่งเป็นคนกำหนดทิศทางและกำหนดว่านักแสดงจะต้องเป็นคนนั้นคนนี้ ลักษณะของเรื่องราวจึงถูกกำหนดหรือสร้างให้เป็นแบบนั้น ซึ่งอันที่จริงแล้วละครไทยไม่ต่างอะไรไปกับละครดั้งเดิมในละครนอกสมัยที่เล่นลิเกกัน คือตัวละครมีลักษณะของการชิงรักหักสวาท มีการมีชู้ มีภาวะของการแย่งชิงมรดก อิจฉาริษยากันด้วยอารมณ์ทั้งหมดถึง 9 อารมณ์ด้วยกัน เช่น มีรัก มีโกรธ มีเกลียดชัง ฯลฯ แต่หากจะพูดถึงละครโทรทัศน์จริงๆ มันเป็นวิธีการทางตะวันตก ซึ่งเขายึดอารมณ์หลักเพียงอารมณ์เดียว และมีอารมณ์รองลงไป ไม่ใช่ว่าจะต้องมาตบตีกันหมดทั้งเรื่อง แล้วถือว่านั่นเป็นจุดขายที่สำคัญ อันนี้เป็นจุดแตกต่าง" 
 
นอกจากนี้เขายังให้ข้อสังเกตถึงบทละครในบ้านเราว่าเป็นสิ่งซ้ำซากและซ้ำซึ่งกันและกัน ทำให้ไม่เห็นภาพพจน์ของตัวผู้เขียนบทเลย ทั้งๆ ที่การเขียนบทที่ดีนั้น ประเด็นสำคัญคือผู้เขียนต้องมองเห็นภาพ (Imaginary) คือจินตภาพหรือภาพที่อยู่ข้างในจากตัวผู้เขียนเองก่อน 
 
 
ด้าน จรูญพร ปรปักษ์ประลัย นักเขียนบทและนักวิจารณ์วรรณกรรม ตั้งข้อสังเกตว่า 
 
"สื่อละครหรือรายการโทรทัศน์บ้านเรา จริงๆ ถือเป็นอีกสื่อที่ขึ้นๆ ลงๆ ตามภาวะของเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม สังเกตได้ว่าบางช่วงบางเวลาจะมีรายการโทรทัศน์ที่ดีอยู่หลายรายการ ขณะเดียวกันในอีกช่วงเวลาถัดมาก็อาจจะมีรายการที่เรียกว่า "ไม่ไหว" เลยก็มี ยกตัวอย่างช่วงนี้ที่ภาวะสังคมค่อนข้างจะเครียด จึงมีละครค่อนข้างเบา (มากๆ) ออกอากาศให้ดูเพื่อผ่อนคลายกัน" 
 
 
ขณะที่ อมราพร แผ่นดินทอง มือเขียนบทจากค่าย GTH เผยว่า แม้การเขียนบทเพื่อสร้างภาพยนตร์กับบทละครโทรทัศน์จะแตกต่างกัน แต่มีส่วนที่นำมาใช้ด้วยกันได้เพราะหากเป็นคนทำบทแล้วหน้าที่หลักคือการเป็นคนเล่าเรื่อง 
 
"ต่างกันก็ตรงบทละครส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นมาจากการดัดแปลงจากบทประพันธ์หรือนิยายที่มีอยู่เดิม ขณะที่ภาพยนตร์จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาจากไอเดียใหม่ๆ" 
 
 
ส่วนการสร้างเรื่องอย่างไรให้อยู่ในความทรงจำหรือประทับใจคนดู เธอบอกว่า 
 
"big idea มีส่วนสำคัญมาก ว่าความคิดหลักหรือแก่นของเรื่องนั้นๆ ต้องการจะสื่ออะไร อย่างการทำหนังรักขึ้นมาสักเรื่อง หากจะเขียนบทเกี่ยวกับเรื่องแอบรัก แอบชอบ หรือเรื่องรักอกหัก นั่นก็ดูจะธรรมดาเกินไป เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นวนเวียนซ้ำอยู่ในเรื่องแบบนี้ ฉะนั้น ความใหม่และความแตกต่างที่น่าสนใจ จึงเป็นสิ่งที่คนเขียนบทต้องคิดหาออกมานำเสนอ" 
 
ฉะนั้น สูตรสำเร็จของบทละครเป็นอย่างไร คงไม่สำคัญเท่ากับการตอบตัวเองให้ได้ว่า เพราะอะไร…เราถึง "ยัง" ดูละคร 
 

โดย : พรชัย จันทโสก 
Life Style 
วันที่ 5 มีนาคม 2553 
จาก : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ