เด๋อ – วุฒิกร คงคา,โลเล – ทวีศักดิ์ ศรีทองดี
ถ้าให้ย้อนเวลาอยากจะเล่าประวัติของตัวเองใหม่อยากจะเล่าว่าอะไรบ้างตั้งแต่อดีตตอนอยู่ต่างจังหวัด ถ้าคุณอยากเปลี่ยนประวัติได้เสริมแต่งได้
เกิดที่อุดร พ่อเป็นคนอีสาน เป็นตำรวจแล้วก็ไปเป็นทหารอาสารับตามเสด็จพระชนนีไปใต้ ไปพบรักกับแม่มีลูกสองคนคือพี่สาวแล้วก็มีผม
ไปใต้จังหวัดอะไร
จังหวัดนครศรีธรรมราช หลังจากนั้นเกิดผมที่อุดรก็ย้ายไปสงขลาไปแม่ฮ่องสอนอำเภอแม่สอดมาลงท้ายได้ที่หัวหินเท่าที่ผมจำความได้ที่หัวหิน แล้วพออยู่ ป.5 พ่อสอบได้นายร้อย แล้วพ่อเค้าย้ายไปหลายอำเภอหลายจังหวัดมากแต่ผมไปหยุดอยู่ที่จังหวัดอุดรเพราะเป็นบ้านปู่ ก็อยู่ ป.5 พ่อ ป.6 ก็ย้ายอีกไปอำเภอเชียงคลานจังหวัดเลย ก็กลับมาอุดรอีกจนจบ ม.3 แล้วเข้ากรุงเทพ
อยู่เลยจนถึง ม.3
คือแบบ อุดร 2 ครั้ง
คือไม่มีเพื่อนประจำเลย
แค่ปีเดียวก็ต้องย้ายแล้ว ย้ายก็เพราะมีสาเหตุบางทีแบบอยากไปอยู่ใกล้ๆ แม่อยากดูแลแม่
แสดงว่าคุณไม่มีสิ่งผูกพันเลยนอกจากครอบครัว เป็นคนไม่อยากไปโรงเรียนไหม
ไม่ ผมอยากไปนะ ผมเป็นเด็กแบบว่าเชื่อฟังพ่อแม่และก็คือครอบครัวระยะหลังก็มีปัญหานิดหน่อย ผมก็เลยอยู่กับแม่มากกว่าดูแลแม่ด้วยยามที่แม่เศร้า เข้ากรุงเทพมาอยู่คนเดียว
เข้ากรุงเทพมา ม.4
ปวช.
เรียนโรงเรียนอะไรก่อน พอจบ ม.3 แล้วเข้าอะไร
ผมชอบวาดรูปไง แต่ทางบ้านไม่มีใครเห็นเลย ปู่ย่าก็มีญาติทำงานธนาคารทั้งหมดเลย ทางพ่อก็รับราชตำรวจ เพราะฉะนั้นเค้าจึงไม่เห็นว่าจะไปเรียนศิลปะวาดรูปทำไม พอดีแม่เห็นว่า ญาติทางแม่ทั้งหลายเค้าวาดรูปก็เลยส่งมากรุงเทพ ก็มาอยู่คนเดียวอยู่บ้านน้าก็อยู่ได้ไม่นานเพราะน้าเค้าคิดว่าเราเป็นเด็กเกเร
ทำไม
เราชอบเล่นกีต้าร์หน้าบ้าน ผู้ใหญ่เค้าไม่ค่อยเข้าใจคิดว่าเราเกเร เราก็อยากมีเพื่อน
เรียนที่ไหน ตอนเข้ามากรุงเทพ
ไทยวิจิตรศิลป์
ตอนนั้นเกเรใช่ไหมเด็กไทยวิจิตรศิลป์ ชอบตีกัน
ภาพพจน์ออกอย่างนั้น ผมจะไปสอบช่างศิลป์แล้วพอดีมันไม่รู้ว่าเค้าไปสอบกัน อุปกรณ์ที่เค้าเอาไปสอบกันก็ยังงง กระดานสเก๊ดเป็นอย่างไงดินสอยีเป็นอย่างไงไม่รู้จักเลยแล้วต้องไปเรียนลาดกระบังรู้สึกจะเป็นปีแรกที่ต้องไป ไปเรียนลาดกระบังเราก็ไม่มีญาติใกล้แถวนั้น แม่ก็บอกอยู่ในเมืองดีกว่าเพราะมีบ้านน้าอยู่ ตั้งใจเรียนแล้วก็ดูแลตัวเองทั้งเรื่องจิตใจเรื่องความอดทนทุกอย่าง พอนึกออกไหมเด็กคนหนึ่งอายุประมาณ 16 แล้วเข้ากรุงเทพมีปัญหาอยู่บ้านกับญาติพี่น้องไม่ได้เลยต้องออกมาอาศัยอยู่คนเดียว
เป็นคนร้ายหรือเปล่าเป็นคนแบบกวน
ไม่เลย
เฉยแต่น่าหมั้นไส้
เราไม่รู้ว่าเค้ามองอย่างไง
ตอนนั้นยังเด็ก แต่ตอนนี้เป็นผู้ใหญ่รู้รึยังว่าเค้ามองยังไง
เราก็มองอยู่ดีว่าเค้ามองอะไรที่มันง่ายๆ
แล้วทำไมมาเข้าศิลปกรได้
ก็ตั้งใจเรียนจากไทยวิจิตรศิลป์ไม่เที่ยวเตร่ การที่เราขยันเรียนได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนไปประกวดได้ใช้สีฟรี เราก็ไม่ค่อยมีเงินหรอก สีนี้ก็เป็นสีอย่างดี เราก็โชคดีมาก แล้วเราก็มาติวที่นี่เพราะเพื่อนชวนมาและก็อยากเอ็นทรานติดด้วย
ติวที่นี่
ที่จิตรกรรม พอเอ็นก็เอ็นติด
ตอนเด็กคิดว่าอยากเป็นอะไร เอาตอนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอยากเป็นอะไร
อยากเป็นครู
ครูอะไร
ครูสอนหนังสือ
หมายถึงครูสอนวิชาอะไรหรือว่าให้ได้เป็นครูสอนวิชาอะไรก็ได้
คือตอนเด็กๆ ครูก็จะถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร สิ่งแรกที่เราอยากจะเขียนอยากเป็นครู คือไม่รู้ว่าเป็นครูอะไรสอนอะไรไม่รู้
ตั้งใจจะทำงานด้านจิตรกรรมตั้งแต่เข้าเรียนไทยวิจิตรศิลป์ จบ ม.3 ก็รู้แล้วต้องเรียนทางนี้แน่ๆ
ไม่นะ คือแม่ก็มีส่วนเหมือนกัน แม่เค้ารู้เค้าบอกว่ามันมีศิลปะที่เป็นแบบเพียวๆ เลยนะกับศิลปะประยุกต์เค้าก็ถามแล้วตั้งแต่เรียน ปวช. มันมีสาขาให้เรียนไงว่าอยากจะเอาแบบไหนแบบนึงก็ศิลปะแบบเพรียวแบบนึงได้เงินนะแต่อีกแบบไม่ได้เงินนะแต่จะสามารถค้นหาตัวเองได้ แม่เค้าจบ ป.4 เองนะแต่แม่เค้าเข้าใจมีจิตวิทยา ผมก็ตัดสินใจว่าไม่สนแล้วเงินสู้เราได้ทำอะไรในสิ่งที่เราชอบดีกว่าก็เลยเลือกลงจิตรกรรมเค้าเรียกว่าสาขาวิจิตรศิลป์ก็เรียนมาจนเอ็นติด
ประวัติคุณเด๋อ
พ่อเป็นคนเมืองกาญเกิดที่อ่างทองแม่เป็นคนโคราชแล้วก็ไปเจอกันพ่อไปสอนที่เทคนิคโคราชแล้วเค้าก็เลยไปอยู่ที่โคราชผมก็เกิดที่นั่นแล้วก็โตมากับครอบครัวที่อบอุ่นมากเพราะมีตามียายมีป้าเต็มบ้านหมดแล้วพ่อเค้าก็จะไปทำงานอยู่ต่างประเทศบ่อยช่วงนั้นก็จะห่างๆ กับพ่อตอนเด็กๆ แต่กับแม่ แม่เค้าก็จะดูแลอย่างดี
พ่อเป็นศิลปิน
ไม่ใช่ครับ พ่อเป็นช่างจบไฟฟ้ามาเค้าจะทำเสาวิทยุบ้าง เป็นเหมือนวิศวกรก็ไม่เชิง แต่จะดูแลโครงงานเวลาบริษัทประมูลงานได้เค้าก็จะดูแลคุมการสร้างจนเสร็จ ซึ่งตอนนั้นก็จะไปทำที่อีรักอะไรแบบนี่ ตะวันออกกลาง ก็จะห่างๆ แล้วแม่เค้าก็จะดูแลดีบ้านผมก็จะอบอุ่นมากถึงมากที่สุด อบอุ่นจนร้อน
ก็เลยอยู่บ้านไม่ได้เหมือนกัน
ใช่ ผมก็เรียนที่โคราช ประถม มัธยม ปวช. ก็เรียนที่โคราชแล้วก็มาเอ็นที่จิตรกรรม ก็จบ ม.3 ที่อัสสัมชัญตอนนั้นผมฝันอยากเป็นวิศวกรตอนเด็กๆ หรือสถาปนิกเพราะพี่ชายเป็นสถาปนิกแล้วก็เรียนไม่จบ แต่ผมจะค่อนข้างโง่เลขแต่จะชอบภาษาอังกฤษตอนประมาณ ม.3 แม่เค้าก็แนะนำเรียน ปวช. ศิลปะต่อดีกว่าเพราะเค้าเห็นผมวาดรูปเล่นตั้งแต่เด็ก ก็เลยเหมือนกับมาเรียนทางนี้ได้ส่วนหนึ่งก็เพราะครอบครัวช่วยตัดสินใจ คือจะค่อนข้างแปลกครอบครัวอื่นอาจจะไม่อยากให้เรียน
ใช่ กำลังคิดว่าสองคนเนี่ยมีอะไรที่แปลก
เค้าแทบจะจับมือเขียนเลย ผมถามแม่ว่าสถาปนิก สถาปัตย์ หรือศิลปะกรรมดี แม่เค้าบอกว่าศิลปะแหละ ส่วนหนึ่งพ่อแม่เค้าคุ้ยเคยวงการศิลปะอยู่บ้าง พ่อเคยทำแกเลอลี่ที่โคราชเค้าเป็นนายช่างแต่เค้ามีเพื่อนฝูงที่เป็นศิลปินอยู่บ้าง เพราะฉะนั้นเค้าจะเห็นคุณค่าอะไรตรงเนี่ย แล้วผมชอบวาดการ์ตูนเล่นเค้าก็เลยสนับสนุนไปเลย
มันเป็นความฝันของผู้ใหญ่ตั้งแต่เด็กๆ เปล่า
ไม่เชิง ไม่ใช่ฝัน เค้าเห็นผมวาดเล่นแล้วเค้าก็ชอบที่ผมวาดมากกว่า ซึ่งผมก็แย้งด้วยซ้ำตอนแรก จบไปทำอะไร ศิลปินไส้แห้ง จิตกร ซึ่งผมไม่มีความคิดเป็นศิลปินเลย พอเรียนจบ ปวช. มันก็เป็นเรื่องปกติที่ต้องไปสอบจิตรกรรม ศิลปกร มันเป็นค่านิยมของเด็กเรียนศิลปะมันเป็นเรื่องปกติ ก็มาเอ็นติดก็เรียนไปแบบตั้งใจทำงานไปแบบวันๆ เหมือนกับทำงานศิลปะให้มันดีๆ ไปวันๆ ให้มันดีให้มันได้ส่ง
ก็คือให้ส่งด้วยให้มันดีด้วย เอา A เอา B แต่ไม่ได้ฝันเลยว่าผมจะอย่างงั้นอย่างนี้จริงๆ จบไปอย่างทำโฆษณาด้วยซ้ำคิดมาตลอดตั้งแต่เรียน พอเรียนจบก็ไปทำโฆษณาพอทำโฆษณาแล้วถึงได้รู้ว่ามันขัดกับธรรมชาตินิสัยอย่างมาก คือผมเป็นคนไหวพริบไม่ค่อยดี ปฏิภาณ ความฉลาดเฉลียวในเรื่องแก้ปัญหาจะไม่ค่อยคล่อง
ใครบอก
คิดเอง แล้วก็สังเกตตัวเองจากการทำ job กับเพื่อนๆ บางทีเราจะช้ามาก สมมติมีปัญหาที่จะต้องแก้ฉากใหญ่ๆ เพื่อนเค้าก็จะปุ๊บๆ ผมก็จะอะไรหว่ะ แล้วพอไปทำโฆษณาเหมือนว่าเราติดคุกนะครับ เพราะวันๆ ต้องไปนั่งคิดโจทย์อะไรซึ่งมีปัญหาเยอะ ขนาดเดียวกันก็เป็นปัญหาที่เราต้องแก้เพื่อตามใจคนอื่น ผมก็เลยอึดอัดมากมีอยู่วันหนึ่งเคยเห็น packet ห่อขนมหนังโฆษณาต้องมี packet ที่ฉาย ต้องมานั่งพับแพ็คให้สวยเพราะถ้าถ่ายออกมาแล้วมันจะดูไม่ดี มันจะยับ ผมมานั่งพับแพ็คให้สวย 1 คืนผมได้ 2 อัน ผมน้ำตาไหล ผมคิดในใจว่าผมต้องออกผมมานั่งใจทรมานมาขายแฟ๊บขายสบู่ตอนนั้นด่ามากเลย จริงๆ แล้วตัวเองทำไม่ได้ ไม่ได้มีอะไรหรอก พอเลิกทำโฆษณาก็กลับมาเรียนโทเป็นเรื่องเป็นราว พอกลับมาเรียนโทก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องเป็นจิตกร เพียงแต่ว่าตอนนี้อยากทำอย่างนี้แหละ
เรียนทำไม
ไม่รู้เหมือนกันว่าเรียนทำไม แต่รู้ว่าจะต้องเรียนเพราะอยากทำงานต่อ
เรียนโทคณะจิตรกรรมเนี่ยเหรอ
คณะจิตรกรรม
ก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิม
กลับมาเหมือนเดิม
ก็ต้องวาดรูป
ใช่ครับ ต่อเนื่องกันไป แต่ต้องพัฒนางานให้มันเปลี่ยนแปลงไป
ศิลปะปริญญาตรีกับศิลปะปริญญาโทมันต่างกันอย่างไง
มันมีเรื่องความคิดมากกว่าตัวงานคงไม่ใช่ ตัวงานบางทีตอนเราทำในระดับปริญญาตรีมันจะมีลิมิตของเวลามันจะบังคับให้เราพรั่งพรูเราจะทำโดยความเข้าใจน้อยทำให้มันเสร็จให้มันสมให้ได้ดีที่สุดในตอนนั้นบางทีเราก็ไม่รู้ว่ามันดีรึเปล่าพอมาปริญญาโทเหมือนกับว่าเราคิดมากขึ้นว่าสิ่งที่เราทำมามันคืออะไร
แล้วคิดว่าจะทำอะไรต่อไป
ใช่ พอมาทำงานศิลปะทำๆ ไปก็กลายเป็นว่าเราพึ่งมาค้นพบเอาตอนเรียนปริญญาโทเนี่ยแหละว่ามันอยู่ในเลือด มันอยู่ในเลือดหมายความว่าเราคงทำอย่างอื่นไม่ได้แล้วแหละคิดแค่นี้ละครับ ผมสังเกตง่ายมากเลยอะไรที่ผมทำแล้วชอบมันจะลืมวันเวลาไปเลย ตอนเรียนปริญญาโทไม่อยากเรียนจบเลยจะไม่ยอมจบด้วยซ้ำถ้ายังไม่มีตำแหน่งอาจารย์ว่างอยู่เค้าต้องเร่งให้จบ ขณะเดียวกันทำงานโฆษณา 2 เดือนเหมือน 2 ปี คือผมเทียบอะไรง่ายๆ อะไรที่เราทำได้แล้วเพลินยาวแสดงว่ามันเป็นธรรมชาตินิสัยเราก็เลยอย่างเนี่ยแหละไปมันเรื่อยๆ แล้วกัน ไปไม่ได้รู้อนาคต พอดีจังหวะมีเวลาว่าง พอตอนเรียนปริญญาโทก็รังเกียจพวกอาจารย์ อาจารย์สอนศิลปะไม่เห็นจะเข้าท่า อู้..เป็นอาจารย์ไม่มีทางเป็น อยากวาดรูปไปเรื่อย ทีนี้มีรุ่นพี่เค้าชวนไปสอนพิเศษสอนแล้วเอาเงินมาล่อ เงินอาจารย์สอนพิเศษมันเยอะ พอเราไปสอน สอนๆ ไปก็สนุกดี ก็เลยเจอเส้นทางที่จะทำให้มีความสุขได้ในชีวิต ผมกับโลเลจะเหมือนกันคือเป็นพวกชอบหาความสุขให้กับชีวิตอะไรที่ไม่มีความสุขก็จะไม่ทำ เป็นโรคจิตอย่างหนึ่ง
????
ที่ประกวดงานศิลปะก็ไม่ได้คิดอะไรทำงานศิลปะไปค้นหาไป บางคนก็กินเหล้าอย่างเดียว เวลากลุ่มผมเวลาทำงานกันก็ทำจริงจัง แต่เด๋อดูจริงจังมาก คือเราแบบว่าก็เที่ยวด้วยแต่ก็แปลกมากถ้าทำงานก็เต็มที่เลย เด๋อเนี่ยจะทำงานเต็มที่มาก จนกระทั่งทดลองส่งงานประกวดแล้วก็ได้รับรางวัลทุกก็จะ โอ้..เก่ง
เพราะเค้ามีชื่อจากงานประกวดใช่ไหม ค่อนข้างจะได้ยิน
ถ้าเด็กนักศึกษาเค้าจะเป็นที่ยอมรับกันมาก คือตั้งแต่เด๋อได้ตอนปี 4 เทอมปลาย จากนั้นก็ได้มาเรื่อยๆ จนกระทั่งแบบว่าอาจารย์ใครๆ ก็รู้จักเค้าเก่ง
คือคุณเด๋อมารุ่งตอนปี 5
ไม่มีใครรุ่งอยู่แล้วตอนนั้นทุกคนก็มีกิจการ บางคนก็รับ job หนักเลย หาเงินเป็นเรื่องเป็นราว บางคนก็เที่ยว บางคนก็มีธุระครอบครัวแล้วก็หายไปบ้าง
ความเก่งไม่เก่งตอนเรียนมันวัดกันตรงไหน แล้วตอนจบมามันวัดกันตรงไหน เพราะอย่างตอนนี้ที่ไม่รู้จักคุณก็อยู่แนวค่อนข้างจะหน้าๆ หน่อย ของคนอายุใกล้ๆ กันดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น
อาจจะเป็นเพราะว่าการทำงานของเค้าก็ได้มันชัดเจนไง เพราะมันชัดเจนปั๊บอาจารย์รู้จักเด็กรู้จักตรงนี้มันก็เลยส่งเสริมไป
แล้วคุณเด๋อ
ผมไม่ค่อยเลย ตอนปริญญาตรีผมไม่ค่อยดัง เราเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันอยู่แล้วไงกลุ่มหนึ่งมี 5-6 คน ไร้สาระซะมากกว่าไปเที่ยว เวลาทำงานก็ต่างคนก็ต่างทำ
คือจริงโลเล เราไม่พูดว่าเก่งแล้วกันเดี๋ยวจะหาว่าชมกันเอง คือจริงๆ คนทำงานศิลปะตอนเรียนมันความเก่งมันจะเท่าๆ กัน ฝีไม้ลายมือ ความคิด เพียงแต่ว่าใครจะค้นพบตัวเองได้ก่อน เมื่อไหร่ที่ค้นพบตัวเองได้ก่อนแสดงว่าคุณไปได้เร็วกว่าคนอื่น
คนไม่มีตัวเองมีรึเปล่า ค้นแล้วไม่เจอ
มี รุ่นนึงมีอย่างมากไม่ถึง 10 คน ที่นี้โลเลเนี่ยกว่าผมจะเจอปี 3 เทอมปลาย แต่โลเลเนี่ยเค้าเจอตั้งแต่ปี 1 เพราะฉะนั้นถ้าบอกว่าการค้นพบตัวเองเป็นสิ่งเก่งของคนคนหนึ่งแสดงว่าเค้าเก่งตั้งแต่ปี 1 เค้าก้าวกระโดดตั้งแต่ปี 1 วิธีการทำงานของโลเลเค้าจะทำงานแบบเอาเป็นเอาตายซึ่งมันสอดคล้องกับนิสัยเค้าในปัจจุบันอยู่แล้วคือทำเป็นชีวิต ใครเจอตัวตนก่อนก็รุ่ง เพื่อนผมเค้าชื่อทินกรเค้าเจอประมาณตอนปี 5 เค้าเจอเค้าก็ไปได้ ผมเจอผมก็ไปได้ โลเลเจอโลเลก็ไปได้ คนที่ไม่เจอก็ไปไม่ได้ หรือบางคนเจอแต่ไม่ยอมไปก็มี แต่บังเอิญพวกเราเจอเราก็ไปต่อ ไปต่อ มันก็ดูเหมือนว่าในรุ่นมันยืนอยู่ข้างหน้าแต่ความจริงถ้ามีคนเดินมาอีกมันก็อาจมีไปได้บังเอิญพวกผมเหมือนกับมันทำจนทำอย่างอื่นไม่ได้ ตรงนี้มันเป็นพรสวรรค์หรือความเก่งรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่ไปทำอย่างอื่นไม่ได้แล้ว ทำอย่างนี้ได้ดีที่สุด ถ้าจะบอกว่าตรงนี้เป็นความเก่งก็คงจะใช่ แต่ถ้าบอกว่ามันไม่ใช่ความเก่งมันก็ใช่เหมือนกัน มันเป็นความเหมือนกับเราเจออะไรที่เราชอบแล้วเราไป
เจอตัวเองที่พูดเหมือนกับที่เค้าชอบพูดกันรึเปล่าเหมือนกับเจอแมชชินที่เราป้อนอะไรไปแล้วมันผลิตออกมาได้แต่บางคนเหมือนกับทำงานแล้วก็ยังหาไม่เลิก แต่บางคนมันเจอแล้วเอาข้อมูลใส่ลงไปให้มันปั๊มออกมาด้วยแมชชินเดิมพวกคุณเป็นประเภทไหน
เราไม่ได้กำหนดด้วยซ้ำว่าจะเจอตัวเองเมื่อไหร่ มันเหมือนกับว่าเราอยากทำอะไรในตอนนั้น
แล้วตอนนี้ยังหาต่อเปล่า หาอย่างสาหัสเท่าแต่ก่อนเปล่ารึมันเริ่มรู้อย่างช้าๆ แล้วก็โครงสร้างเดิมก็คงไว้
ใช่ๆ เป็นอย่างหลังมากกว่า
เพราะว่าอะไร
เพราะว่าเราค่อนข้างมันเหมือนเราเริ่มเข้าใจธรรมชาติของตัวเราแล้วว่าเราชอบอะไร เรามีรสนิยมแบบไหน หนังที่ชอบดู เพลงที่ชอบทำ อารมณ์เวลาทำงานเป็นอย่างไร ความหมกมุ่นมันคือเรื่องอะไร มันเหมือนเราแยกมลสารในตัวเองได้เราก็รู้ว่าเราจะใช้อะไรมันเราจะหยิบอะไรมาใช้มันก็ง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อน ขณะที่แต่ก่อนทำไมกูต้องเป็นคนแบบนี้หว่ะ ทำอะไรบ้าๆ บอๆ กูอยากจะระเบียบบ้างไม่ได้เหรอถึงตอนนี้มันจะรู้ว่าทางระเบียบยังไงก็ไม่เอาสมมตินะครับมันจะมีเส้นของมันอยู่
สภาพแวดล้อมด้วยรึเปล่า ผู้เสพ ผู้ชื่นชม เกี่ยวไหม
ไม่เกี่ยว พูดตรงๆ ไม่รู้จักเลยนะ ผมเขียนรูปผมนึกถึงคนอื่นไม่ได้เลย โลเลพูดโลเลเขียนรูปนึกถึงคนอื่นไม่ได้เลย ต้องพูดกับตัวเองก่อน
ไม่แคร์ใครด้วยงานเสร็จไปแล้วจะเป็นอย่างไง
ถ้าคิดทำงานไม่ได้เลยนะ เราไม่เหมือนคำโฆษณาจะต้องยึดติดอะไร จะต้องวางแผน
ขณะงานที่คนอื่นสั่งให้คิดยังคิดไม่ได้เลยยิ่งพอเป็นงานตัวเองยิ่งไม่ได้เลย
เนี่ยเป็นจุดแตกต่างระหว่างไฟน์อาทกับแอดไฟน์อาท
ก็แน่นอน
ศิลปินมีเบสท์เซลเลอร์รึเปล่าเหมือนหนังสือมันยังมีวิถีเบสท์เซลเลอร์มีวิถีของมัน
มีครับ มีแน่นอนทุกวงการมีเกมสำหรับไต่เต้าหมดขึ้นอยู่ว่าคุณจะเลือกเกมไหน
คือตอนนี้กำลังบอกว่างานให้มันเสร็จออกมาก่อนเถอะ ส่วนมันจะออกมาไปตรงนั้นอย่างไงนั่นมันอีกเรื่องนึง
อีกเรื่องนึง ซึ่งตอนนั้นคือเรื่องเกม เราเชื่อของเราเองกับคนข้างนอกว่ามีกระบวนการที่เป็นรูปธรรมที่ทำให้เอาง่ายๆ ถ้าดาราแสดงแล้วดังศิลปินทำงานเขียนแล้วอยู่ในห้องมืดๆ แล้วกลายเป็นใครสักคนหนึ่งที่มีความหมายมากๆ กติกาของพวกคุณเปิดเผยได้เปล่า มันไม่กระบวนการ คือมันอาจแตกต่างจากสมมติว่า เอาอย่างเนี่ย สมมติว่าเมื่อกี๊คุณเด๋อบอกว่าเราทำงานดีๆ ออกมาชิ้นหนึ่งแล้ว งานดีๆ จะไปถึงคนได้เปล่า
ศิลปะไปเคาะประตูบ้านไม่ใช่แน่นอนวิธีของคุณมันคืออะไร
ที่เราสัมผัสด้วยการ PR ตอนที่เราทำกลุ่มเราเอาวิธีการนี่มาใช้อันนี้เพื่อที่จะพยายามบอกในสิ่งที่เราต้องการจะบอกให้ออกไปสู่มวลชน บอกตามตรงระยะเวลาที่เราทำมา 2ปี มันก็ประสบความสำร็จขนาดนี้แต่เราทำได้ขนาดนั้นซึ่งถ้าเทียบมาตรฐานทั่วไปนะมันน้อยมากในการเผยแพร่ทางด้านข่าวสารตอนนี้เรากำลังทำกลุ่มเราอย่างจะเผยแพร่ความคิดเราออกไปมันได้ในระดับที่เราดีใจแต่ว่าถ้าไปเทียบอย่างสำนักพิมพ์ธรรมอะไรอย่างเนี่ย ไม่เทียบกันไม่ได้เลยเพราะเราไม่เข้าใจเรื่องระบบ
แสดงว่าเนี่ยทำกันเอง
ทำกันเองหมดเลยคือทำกันเอง
ใช้คอนเนตชั่นใช้อะไรเป็นสำคัญไม่ได้ใช้ที่มีอยู่แล้ว
ก็คือว่าพยายามเรียนรู้ว่าเค้าทำกันอย่างไงทำไมคนถึงรู้จัก
คิดว่าเราต้องทำเองรึเปล่า อย่างเช่นทำงานเสร็จเราไม่ควรไปยุ่งกับธุรกิจเราควรจะมีอาทดิเรอหรือมีผู้จัดหรือมีคน PR ให้เราคิดว่าจำเป็นเปล่า
ที่ผมพูดเมื่อกี๊ไม่ใช่งานศิลปะนะ แต่ในแง่ของการทำงาน มันต้องแยก เราพูดถึงงานเสร็จแล้วผ่านกระบวนการคิดหรือกระบวนสร้างสรรค์มาแล้ว กระบวนการสร้างสรรค์มันได้จบแล้วทำยังไงให้คนรู้ว่ามีงานชิ้นนี้อยู่ในโลก ถ้ายังคงไม่เกี่ยวกับสะโคโพโลมิน เพราะสะโคโพโลมินเป็นหนังสือมันต้องอาศัยการเผยแพร่ แต่การทำงานศิลปะเนี่ยคือเริ่มต้นมาเราก็ไม่ได้คิดอะไรอยู่แล้ว ที่สัมผัสตั้งแต่ตอนเรียนนะส่งงานประกวดได้รางวัล พอได้รางวัลทางสถาบันก็ทำประชาสัมพันธ์มีหนังสือมีอะไรต่างๆ นั่นคือพื้นฐานเลยที่ทำให้คนรู้จักงานเรา เรายังเคยคิดเลยส่งงานประกวดก็ดีเหมือนกันนะเราไม่ต้องเสียเงินเลยเราแค่ทำงานให้ดีมากๆ ถ้าส่งประกวดไม่ได้รางวัลอย่างน้อยคนก็ได้มาเห็น เพราะเรื่องการจัดแสดงงานเองมันเป็นเรื่องยากมากเลยในสมัยเรียน
เพราะว่าอะไร
คือเรามองไม่ออกเลยว่าจะต้องทำอะไรบ้าง
แล้วมันเกิดขึ้นอีกไหมตอนนี้
หลังจากเรียนจบมาผมเคยไปทำงานออฟฟิศ ใช้สิ่งที่ได้ในออฟฟิศเอาใช้ สมมติเราอย่างแสดงงานหนึ่งแต่ผมก็ไม่มีพาวเวอร์ถึงขนาดจะไปวางแผนว่ากลยุทธให้คนมาดูเยอะมากๆ คิดได้แค่ส่งข่าวหนังสือมีที่อยู่หาที่อยู่แล้วก็ส่ง แค่นั่น แล้วก็ส่งให้เพื่อน ส่งให้อาจารย์ ส่งให้คนรู้จักตอนหลังมีอีเมล์ก็ส่งอีเมล์ก็หว่านไป
ความสุขของคนทำงานอยู่ตรงไหน
หลังทำงานเสร็จแล้ว แน่นอนเราเขียนหนังสือเราก็อยากให้คนอ่าน เราอยากได้ความเห็นของเค้าด้วยแหละ
ซึ่งมันต่างจากการเขียนบันทึกไว้อ่านคนเดียวหรือแม้แต่นักเขียนบางคนก็ยังอยากเอาบันทึกตัวเองให้คนอื่นอ่าน รูปเขียนก็มีภาษาของมัน ไวยากรณ์เหมือนตัวหนังสือเพียงแต่ว่าเราก็อยากบอกอารมณ์ตอนนั้นให้คนอื่นเห็นเหมือนกัน เพื่ออะไรเป็นสามัญสำนึกของความเป็นศิลปินเหมือนคนทำหนังก็อยากให้คนเห็นความคิดของตนเอง ไม่งั้นก็คงฉายอยู่ที่บ้าน หนังสือก็ต้องพิมพ์ พิมพ์อย่างเดียวไม่พอก็ต้องขายต้องจัดเปิดตัวหนังสือเหมือนกันครับ
ความอยากให้คนเห็นมีเส้นขีดไว้รึไงว่าห้ามโฆษณามันมีจรรยาบรรณอะไรอีกรึเปล่า
ไม่มีหรอก ไม่มี จริงๆ ฝรั่งเป็นเกมที่ต้องโปรโมทเลย
นั่นนะซิ ทำไมของเราไม่มี เพราะว่าอะไร
คนทำมันจะมักไม่ได้คิดถึงวิธีการที่จะเอาตัวเองออกไป แต่ถ้าเป็นหนังสือเนี่ยแน่นอนเลยมีสำนักพิมพ์มีคนจัดการมันถึงได้เผยแพร่ไป ส่วนศิลปะเนี่ยถ้าเราไม่มี มันไม่มีเลย
เรื่องนี้มันเกิดขึ้นมาตั้งนานแล้วทำไมไม่มีใครแก้
ตรงเนี่ยมันเป็นปัญหาโลกแตก มันเป็นปัญหาค่านิยมเลยแหละ ทำไมฝรั่งไม่ได้เรียนศิลปะทำไมเค้าถึงเข้าใจได้ เค้าเรียกว่ามันเป็นพื้นฐานของมนุษย์ที่ต้องเข้าใจสุนทรี เค้าใจประวัติศาสตร์ อย่างง่ายๆ เค้าพาเด็กเข้าไปในหอศิลป์หรือว่าไปตามพิพิธภัณฑ์ให้เด็กนั่งลอกสะเก๊ดรูปไปแล้วก็จดบันทึกว่ามันมีที่มาอย่างไง การจดบันทึกที่เด็กติดในสมองเมื่อเค้าโตไปภาพตรงนั้นมันก็ยังคงอยู่ เป็นเพราะว่าอย่างเนี่ยรึเปล่า เค้าว่าศิลปะมันจะเจริญในช่วงที่บ้านเมืองมันอิ่มหนำสำราญแล้ว แล้วช่วงนี้บ้านเมืองไม่เคยอิ่มหนำสำราญเลยรึไงศิลปะถึงไม่ได้ไปเฟื่องฟูไปถึงคนข้างล่างประชาชนเป็นเพราะว่าเราคิดอะไรชอบคิดถึงผลของมันและมองในสิ่งที่มองเห็นได้ก็คือบ้านเราให้เศรษฐกิจเจริญกว่าเนี่ยแล้วค่อยมาสบาย ลำบากอย่างเนี่ยจะมานั่งดูรูปสวยๆ ได้ไง แต่ความจริงแล้วเรื่องสุนทรีหรือความรู้สึกเราไม่เคยคิดกันทำไมเราเป็นประเทศขนาดนี้ทำไมเราไม่คิดว่า.. คือมันเห็นผลที่เป็นความรู้สึกผลมันไม่ใช่ตัวตน คือความรู้สึกที่คนจะมีความสุขกับการเสพความงานหรือการเสพบทกวีอะไรต่างๆ การใช้ความรู้สึกกับธรรมชาติ เรามองข้ามตรงนั้น เพราะเราเห็นว่ามันไม่ใช้เงินเสพ
คุณกำลังจะบอกว่าวัฒนธรรมเราไม่ให้ความสำคัญกับจิตใจ
ผมว่าอย่างนั้น
ถามคุณเด๋อ ให้เปรียบเทียบตัวเองตอนเนี่ยกับศิลปินสมัยกรีกโรมันไดน่าซองกับช่างของไทยคุณว่าคุณคล้ายอะไรมากกว่า ที่คุณออกมาในสังคมตอนนี้หรืองานที่คุณออกมา หรือในสะเตตรัดที่คุณเป็นอยู่
จริงๆ ผมว่ามันไม่ต่างกันนะ
คุณรู้จักศิลปินไทยสักกี่คนในชีวิตนี้
มันเหมือนกับว่าอดีตเนี่ยช่างหรือช่างปติมากรสมัยกรีกหรือว่าช่างทำงานศิลปะไทยค่อนข้างผูกอยู่กับศาสนาทำเพื่อรับใช้ศาสนา และก็รับใช้คนที่เป็นพระคุณที่เป็นเจ้าขุนมูลนายคนมีเงิน คนเหล่านี้แหละจะสนับสนุนให้ศิลปะมันเกิด เพราะฉะนั้นศิลปินไม่ว่ายุคไหนมันจะอิงอยู่กับคนกลุ่มเนี่ยมาตลอด เพียงแต่ว่าพอมันกระจายออกมามากขึ้นในปัจจุบันมันเหมือนกับคนทั่วไปก็เสพได้ไม่ใช่แค่เป็นสมบัติของคนชั้นสูง เศรษฐียังไงก็ต้องอยู่กับเศรษฐี เศรษฐีคนมีเงินที่จะต้องซัพเพอร์งานศิลปะแต่คราวนี้ของเมืองนอกของเค้ากระจายถึงขั้นที่มีเค้ามีหลายตลาด เค้ามีตลาดทั้งระดับอาร์ตติสใหญ่ ตลาดระดับอาร์ตติสปานกลาง ไปจนถึงอาร์ตติสเด็ก นักเรียน เพราะอะไรเพราะคนทั้งประเทศของฝรั่ง เค้ามีหอศิลป์ทำให้เค้าเข้าใจศิลปะตั้งแต่เด็กอย่างที่โลเลอธิบาย มันก็เหมือนกับเราเข้าพิพิธภัณฑ์ตั้งแต่เด็ก เหมือนกับเราเข้าโรงหนัง แต่ของเรามันไม่มีพิพิธภัณฑ์ให้เข้าเพราะฉะนั้นเด็กก็จะเข้าแต่โรงหนัง เด็กก็จะดูแต่หนังผมยกตัวอย่างง่ายๆ เพราะคนไทยชอบดูหนัง ชอบดูละคร แต่พอไม่มีหอศิลป์เค้าทำความเข้าใจเค้าก็จะความเข้าใจและมองก็จะมองว่ามันเป็นของสูง ขณะที่ฝรั่งมันลดลงมาแล้วลดตั้งแต่สมัยถ้าเกิดดูประวัติศิลป์ตอนที่อเมริกาเค้าย้ายเค้าเป็นเจ้าลัทธิศิลปะโลกตอนหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 วิธี PR ของอเมริกาเพื่อให้มวลชนมาสนใจศิลปะเนี่ยมันเป็นการเมืองทั้งนั้นเลย เหมือนยกดาราขึ้นมาคนหนึ่ง เหมือนกับเราสร้างนักร้องเลย และเป็นเกมหมด แม้ในปัจจุบันก็เป็นวิธีสร้างแบบนักร้องเพียงแต่ว่านักร้องของเค้ามีคุณภาพจริง นึกออกไหมเค้าหยิบขึ้นมาคนหนึ่งมีสปอตไลท์จำไปที่เค้าทั้งหมด ซึ่งเค้าเด่นจริงๆ ซึ่งโลกต้องตามเค้า โลกของศิลปะต้องตามเค้า แต่ของไทยเราไม่มีเพราะว่าเราไม่มีวัฒนธรรมดูงานแบบเนี่ยมาตั้งแต่เด็ก งานเราออกมาจากวัดแล้วมาเป็นศิลปะร่วมสมัยเลย
ที่คุณทำอยู่วัฒนธรรม มันไม่ใช่สัญชาตญาณแถวนี้รึเปล่าหรือมันมันโดนครอบด้วยอะไรบ้างอย่าง
ใช่ มันไม่ใช่สัญชาตญาณแถวนี้แน่ๆ แต่บังเอิญเราเรียนในเมืองไทยเรายังเข้าใจเรื่องแบบเนี่ยได้
เกิดผิดที่รึเปล่า
ก็ไม่ใช่เกิดผิดที่นะครับ เราวัดเอาจากตัวเรา เราก็ดูงานปูๆ ปลาๆ เหมือนกับคนอื่นเหมือนกัน เราก็ดูงานจากหนังสมุดเหมือนกัน เราไม่ได้ไปเรียนเมืองนอก เพราะฉะนั้นความเข้าใจทางศิลปะเรายังมี แสดงว่าในเมืองไทยเนี่ยมันมีความรู้ตรงนี้อยู่ แต่มันไม่ได้รับการเผยแพร่ต่อคนอื่น เด๋อพูดเรื่องอเมริกา อย่างที่เด๋อว่ามันเป็นการเมือง ผมก็มองว่ามันเป็นอย่างนั้นตั้งแต่สมัยอเมริกาเกิดขึ้นมายุโรปเค้ามีอารยธรรมใช่ไหม ทั้งเรื่องของอารยะธรรมโบราณและเรื่องงานศิลปะที่มันมีอยู่ แต่อเมริกามาทีหลัง เพราะฉะนั้นอเมริกาพยายามสร้างอารยะธรรมของตนเอง อัพเกรดของประชาชนเค้าด้วยการอัดศิลปะลงไป ทำให้ดูมีรากมีสมบัติล้ำค่าอยู่ในประเทศ คือเค้าคิดอย่างเนี่ย พอมีตรงเนี่ยปราฎกว่าสิ่งล้ำค่าตรงเนี่ยมันเป็นเหมือนกับมีเกราะสำคัญมากๆ เลย ที่ทำให้ประเทศเค้าดูมีคุณค่า เพราะฉะนั้นมีอะไรเก่าๆ เค้าพยายาม PR มากๆ เลยอเมริกานะ
เพราะด้วยความที่เค้าไม่มีอะไร
ใช่ แต่ในประเทศเราคนเกลือกกลั้วอยู่ในวัดที่สวยงามอยู่ทุกวันแต่ก็กลับไปอยู่ในกระต๊อบที่ไม่มีอะไรเลย
เราก็โชว์วัดพระแก้ว ใครมาก็โชว์วัดพระแก้ว ก็อยู่อย่างวนอยู่อย่างเนี่ยพิพิธภัณฑ์ของเก่าก็อยู่อย่างเนี่ย ของเก่าก็เก่าจริงๆ เมื่อเทียบกับทางนครวัดมันยิ่งใหญ่มาก ถ้ามองภาพ Image จินตนาการ อาจจะมียานอวกาศด้วยก็ได้
ฟังคุณพูดอย่างเนี่ยเท่ากับสิ้นหวังเลยนะที่ทำๆ มา
ผมยกตัวอย่าง สมมติเรามีรูปเขียนเราก็แสดงตลอดกาลคุณก็เห็นงานศิลปะแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ขณะเดียวกันคุณก็เรียนศิลปะมาตั้งแต่เด็ก เรียนประวัติศิลป์เอาง่ายๆ ดาวินชี่คือใคร ไมเคิล แองเจโลดีอย่างไง งามอย่างไง พอถึงวันหนึ่งคุณจะมาดูงานโดยอัตโนมัติเลย เหมือนได้เข้าโรงหนัง เหมือนได้เข้าร้านหนังสือ มันจะไม่บอกว่าเป็นของสูงจิตใจมันจะโดนสั่งว่าต้องดูงานศิลปะแล้วนะ แล้วพอคนไทยเป็นอย่างเนี่ยทั้งหมดงานศิลปะมันก็จะไปตามคันร่องเหมือนหนังเหมือนหนังสือ เคยคิดว่ามันมีอะไรใหญ่กว่านั้นเพื่อมาควบคุมไม่ให้มันไปถึงกัน เพราะศิลปะมันทำให้คนฉลาดเกินไป มันทำให้ควบคุมยาก แต่ผมไม่คิด ผมว่าเค้าไม่ได้มองมากกว่า เค้ามองกันด้วยวัตถุ
นักการเมือง เมืองไทยไปเมืองนอกก็ไป shopping ไปดูพิพิธภัณฑ์ก็ไปดูอย่างงั้นแหละ ถ้ามันมีระดับนักการเมืองเข้าใจศิลปะไม่ว่ายังไงมันก็ทำให้คนเห็น
ไม่เราพูดถึงเรื่องด้านมืดด้านลบว่าตั้งแต่สมัยอดีตมาแล้วมันมีอะไรขีดเส้นไม่ให้ศิลปะเข้าบ้านเปล่าว่ามันผิดมันสูง ทำให้คนไทยเข้าใกล้ศิลปะไม่ได้ ชาวบ้านแตะไม่ได้เพราะมันสูงไป ก็อย่างที่เด๋อพูดตอนแรกที่บอกว่าศิลปะดูมันเป็นของสูงนั่นส่วนหนึ่งแต่เอาไปเอามาในส่วนนี้คือสิ่งที่เด๋อยกตัวอย่างมันเป็นของสูงเลยดูว่ามันเสพยาก อันนี้อย่างหนึ่ง ผมว่าบทบาทตรงเนี่ยมันถูกเบี่ยงไปมองด้านแบบว่าทำไมประเทศเราจะต้องแบบพัฒนา สมมติผมมองอเมริกาหรืออังกฤษผมว่าส่วนหนึ่งเค้าพัฒนาประเทศอีกส่วนหนึ่งพัฒนาอารยธรรมของเค้าแล้วก็พยายาม PR ตรงนั้น เราจะเห็นเสมอว่าอังกฤษเค้ามีสิ่งเก่าหรือว่างานศิลปะเค้าพยายาม PR มาก หรืออย่างเรื่องแฟชั่นมันลากแฟชั่นก็มาจากศิลปะ เพราะฉะน